แล้วเด็กบ้านนอกคอกนา ก็บินมาอยู่ถึงนิวยอร์ค
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
6 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
เรื่องที่ 5 ผมมันคนอ่อนแอ



แดดเริ่มแรงแม้จะผ่านยามเช้ามาได้ไม่นานนัก บนทางด่วนสายบางนา-ตราด มีประกายแดดระยิบระยับหลอกสายตาเหมือนมีน้ำนองกลางถนน ผมขยับแว่นดำให้ตัดแสงแดดจ้า เพิ่มความระมัดระวังในการขับรถมากขึ้น แต่อีกใจหนึ่งก็กำลังคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เพิ่งผ่านพ้นไป ไม่ว่าจะเป็นตอนเรียนหรือตอนนี้ที่ทำงานกันหมดทุกคนแล้ว แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เจ็ทยังคงอกหักและร้องไห้คร่ำครวญไม่มีเปลี่ยน แม้เพื่อนๆทุกคนจะเติบโตไปตามเส้นทางชีวิต แต่เมื่อหันมามองถึงเรื่องความรักแล้วทุกคนยังคงอ่อนแอและพ่ายแพ้ในบางครั้ง


ในกลุ่มเกย์เร เอก เก่ง กอล์ฟ เจ็ท ทุกคนโหวตให้ผมเป็นคนที่เข้มแข็งที่สุด เวลาที่เพื่อนๆไร้หลักในชีวิตหรือท้อแท้สุดๆ จึงมักพุ่งมาหาผม ให้ผมปลอบ หาเรื่องคุย หรือแม้แต่พาไปหาหมอดู สารพัดประโยชน์แบบนี้ เพื่อนๆจึงมักนึกถึงยามที่เป็นทุกข์ ผมก็แอบดีใจที่เพื่อนมอบความไว้วางใจให้ เพราะตอนเรียน ผมเป็นบ่าวอีสานเพียงคนเดียวในกลุ่ม ที่ต้องจากบ้านเกิดดินแดนทุ่งกุลาร้องไห้ ของ จ.ร้อยเอ็ดมาร่ำเรียนไกลถึงเชียงใหม่ มีเพื่อนๆที่เข้าใจเราย่อมเป็นเรื่องดี แต่ก็อย่างว่า ทุกคนมักเข้าใจว่าผมเข้มแข็งจนลืมว่าทุกคนย่อมมีด้านที่อ่อนแอ



“ชาย กูมีเรื่องจะบอก กูจะแต่งงาน” หนุ่มบอกผมด้วยสีหน้าแฝงไปด้วยความวิตกกังวล ผมนิ่งเงียบ ในใจว้าวุ่น คำถามมากมายเกิดขึ้นใจ
“อะไรนะ มึงจะแต่งงาน แต่งกับใคร แล้วนี่มันเรื่องอะไร”
“กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ กูทำผู้หญิงท้อง กูต้องรับผิดชอบ”
“ท้อง หนุ่ม ตอนนี้มึงกำลังเรียนอยู่นะ แค่ปี 2 เอง มึงจะเอาปัญญาที่ไหนไปรับผิดชอบอ”


“กูไม่รู้ พ่อกูบังคับ ให้แต่ง ฝ่ายหญิงเขาก็ไม่ยอม เขาจะเอาเรื่องกูให้ถึงที่สุด กูไม่มีสิทธิ์เลือก คงต้องเลิกเรียน ชีวิตกูมันจบแล้ว”
“แล้วเรื่องของเราล่ะ” ผมถามหนุ่มด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ชาย กูรักมึงนะ แต่กูคงทำอะไรไม่ได้ไปกว่า ขอให้เรื่องของเรามันจบลงแค่นี้” หนุ่มมองหน้าผมน้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม ผมสะกดอารมณ์ที่ดิ่งลึกลงสู่เหว สะกัดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาให้หยุดนิ่ง ก่อนเดินจากมา


ผมไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น ความเข้มแข็งที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็ก แม้ชีวิตจะยากลำบากแค่ไหน ผมก้ไม่เคยท้อแท้อ่อนแอให้ใครเห็น แม้แต่ในยามที่เจ็บหนักที่สุดในชีวิต ผมก็ไม่สามารถร้องไห้หรือแสดงออกให้ใครเห็นได้ ครอบครัวชาวนาอย่างผม มีคุณพ่อคุณแม่ที่ยังใช้ชีวิตอยู่ตามสังคมชนบท ท่านคงไม่เข้าใจหรอกว่าลูกชายกำลังร้องไห้ เพราะแฟน(ผู้ชาย)กำลังจะแต่งงาน

สายลมหนาวกำลังพัดเข้ามาคลอเคียทุ่งข้าวเหลืองอร่าม ใกล้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว พ่อกับแม่ของผมใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขด้วยหวังว่าข้าวในทุ่งจะแปรเปลี่ยนมาเป็นเงินตราส่งเสียให้ผมได้เรียนจนจบ แม้เวลาช่วงปิดเทอมยังเหลืออีก 1 อาทิตย์ ความตั้งใจในตอนแรกจะอยู่ช่วยงานที่บ้านก่อน แล้วค่อยกลับไปลงทะเบียนเทอมสอง แต่ผมไม่สามารถทนอยู่จนถึงงานวันแต่งได้ พอเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากนอนร้องไห้ตลอดทั้งคืน ผมบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่า ต้องรีบกลับไปลงทะเบียนแล้ว ผมเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ขึ้นรถจากบ้านไปตัวเมืองร้อยเอ็ด ก่อนต่อไปขอนแก่นแล้วปลายทางยามเช้าของอีกวันอยู่ที่เชียงใหม่ การเดินทางอันยาวนาน ในวันที่ใจแตกสลายช่างทรมานนัก ความรักที่เริ่มก่อตัวตั้งแต่ม.2 ค่อยสั่งสมผ่านเวลามาจนถึงปี 2 ของชีวิตมหาวิทยาลัย ได้จบสิ้นลงแล้ว ผมไม่เคยลืมเส้นทางสายนั้นเลย แม้มันจะต่างกับเวลานี้บนเส้นทางสายบางนา-ตราดแห่งนี้


อีก 10 นาที ตลาดหุ้นเปิด ผมมาถึงตึกสินธร ด้วยเวลาที่ฉิวเฉียดการถูกไล่ออก พอ 10.00 น. เวลาของการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ก็เริ่มขึ้น ตัวเลขสีเขียวกราดไปทั่วกระดาน หุ้นขึ้นคนเล่นดีใจ เศรษฐกิจไทยกำลังก้าวหน้า เพราะอำนาจการบริหารของนายกตาดูดาวเท้าติดดิน แต่ไม่วายที่บางช่วงอารมณ์ของคนซื้อขายก็ทำให้ตลาดมีทั้งติดลบแดงเทือกและเหลืองนิ่งๆแบบไม่เปลี่ยนแปลง


ผมทำงานอยู่กับกองเงินกองทอง ผลประโยชน์มหาศาลที่เปลี่ยนมือให้คนเป็นเศรษฐีหรือยาจกได้เพียงเสี้ยววินาที งานที่เห็นคนดีใจจนร้องไห้หรือเอาปืนจ่อหัว เพื่อฆ่าตัวตาย ผมอยู่กับมันได้และสนุกกับการเล่นหุ้นด้วยเหมือนกัน แม้มันอาจจะผิดที่ผมเป็นนักข่าวไม่ควรใช้ข้อได้เปรียบด้านข้อมูลตรงจุดนี้มาเล่นด้วย แต่ทำไงได้ ยุคนี้ใครมีข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยกว่าย่อมได้เปรียบ พวกที่สักแต่ว่ามีเงินก็จงเป็นแมงเม่ารีบบินมาเข้ากองไฟเสียดีๆ



ช่วงเวลาของการซื้อขาย ทุกวินาทีมีความหมาย ทุกข่าวที่ออกมาจากบริษัทและทุกข่าวที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อการซื้อขายผมต้องรีบเขียนรายงานไปยังสำนักพิมพ์ งานนี้จะหยุดไม่ได้ นิ่งเมื่อไหร่ก็ตกข่าวกันทันที ทำงานแข่งกับเวลาจนทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเป็นเครื่องโทรศัพท์แบบตอบรับอัตโนมัติเข้าไปทุกที แค่กดปุ่มแล้วบอกให้ทำไรก็ได้ แต่ละวันของการทำงานจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่เหน็ดเหนื่อย กว่าจะได้กลับบ้านก็ค่ำๆแต่ไม่วาย ผมมักจะแวะสีลมก่อนเสมอ ดื่มให้เมา ในโลกที่ผมมีเพื่อนมากมาย เพื่อนที่มีชีวิตเหงาๆในเมืองหลวงแห่งนี้


เช้าวันเสาร์ ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาแต่สมองยังไม่สั่งการใดๆว่าให้ตื่น ปวดหัวจนต้องกุมขมับไปหาน้ำเย็นๆดื่มพอให้ค่อยยังชั่ว ตอนดื่มก็ไม่คิดไร พอตอนแฮ้งค์ถึงคิดได้ เกิดอารมณ์เซ็งแต่เช้า เปิดประตูหน้าห้องพักสุดหรูออกไปดูที่ตู้จดหมาย สารพัดบิลที่เรียกเก็บเงินจากการรูดบัตรเครดิต แต่ยังมีโปสการ์ดใบเล็กพอให้ชื่นใจ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผมยังรักโปสการ์ดทุกแผ่นที่เพื่อนๆส่งมาให้และเก็บรักษาไว้อย่างดีเสมอ


จ่าหน้าถึงผมที่กรุงเทพ ปลายทางจากเชียงใหม่ นำรูปของดอกหญ้าสีแดงริมทางของถนนเส้นเชียงดาว-ฝาง ถนนแห่งความทรงจำของเพื่อนๆที่มักชวนกันขี่รถเครื่องไปค้างคืนกันบนดอยหลวงเชียงดาว



ชาย กอล์ฟ เจ็ท เพื่อนรัก
อยู่บนดอยมันหนาว อยากเข้าไปดูแสงสีของเมืองหลวงกับเขาบ้าง วันเสาร์ ที่ 24 ธ.ค.นี้ จะลงไปหานะ อ้อ....ไม่ต้องห่วงเรื่องที่พักนะ จะพักที่โรงแรม ขอให้เพื่อนๆทุกคนทำตัวให้ว่าง เพื่อไปดื่มกันหน่อยให้หายคิดถึง
รักและคิดถึงพวกแกเสมอ
เอกกะเก่ง เชียงใหม่
ปล. เมื่อไหร่จะได้ไปปีนดอยหลวงเชียงดาวด้วยกันอีกนะเพื่อนๆ



อ่านโปสการ์ดไป ยิ้มไป ลืมอาการปวดหัวไปสิ้น อยากกลับไปปีนดอยหลวงกะเพื่อนๆเหมือนกัน แต่ทำไงได้ พอก้าวออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว ชีวิตจริงแทบไม่มีเวลาที่จะได้หยุดจากการทำงาน เคยฝันเหมือนกัน หน้าหนาวไปดอยหลวงเชียงดาว พอร้อนๆไปสาดน้ำสรงกรานต์ที่คูเมือง ครั้นพอเข้าหน้าฝนไปดูท้องนาเขียวขจีที่เมืองปาย แม่ฮ่องสอน คิดแล้วอยากกลับไปเรียนที่เชียงใหม่อีกครั้ง


คิดอยู่เพลินๆพอก้มลงอ่านโปสการ์ดอีกครั้ง แล้วต้องสะดุ้ง เสาร์ที่ 24 มันก็วันนี้นี่นา ตายห่าล่ะ โปสการ์ดแผ่นนี้คงมาถึงนานแล้วสิ จากนั้นอาการลนลานจึงออกด้วยการโทรหากอล์ฟได้สถานที่นัดหมายเรียบร้อย เพื่อความแน่ใจโทรไปหาเจ็ทบอกว่ากำลังเดินทางเข้ามากรุงเทพฯแล้วแต่จะขอแวะช็อปปิ้งก่อน เจอกันตอนเย็นๆเลย



แสงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า จากสีทองค่อยๆมืดมิด พร้อมกับการแทรกเข้ามาของแสงไฟนีออนหลากสีที่เปิดขึ้นไม่ให้กรุงเทพฯยามค่ำคืนหลับไหลไปพร้อมกาลเวลา ผมแต่งตัวช้าๆ นิ่งนาน เนี๊ยบสุดๆ ฉีดน้ำหอมคลุ้งห้อง นานๆเจอกันครบกลุ่มแถมผมยังโสด แต่งโทรมๆไปคงไม่ได้เกิดกันพอดี



ลงไปจับรถไฟใต้ดิน ยืนผิงผนังมองไปรอบๆตัว เหล่าเกย์กันเองในชุดที่ไม่ต่างอะไรไปจากผมมากนัก ยืนอยู่เต็มโบกี้ กลิ่นน้ำหอมจากสารพัดแบรนด์ออกมาตีกันคลุ้งไปทั่วโบกี้ ผมแอบเห็นผู้หญิงสาวในชุดวัยทำงานทำหน้าเซ็งๆในใจคงคิดเสียดายที่ผู้ชายเมโทรกลุ่มนี้ทำไมต้องเป็นเกย์หดมด้วยนะ ผู้ชายยิ่งน้อยๆอยู่ด้วย


รถไฟใต้ดินวิ่งไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางคงที่สถานีสีลมเช่นเดียวกัน ไม่ถึง 10 นาทีจากสถานีห้วยขวาง ความสะดวกสบายนำผมมาโผล่ที่สีลม จุดหมายปลายทางของเหล่าเกย์จากทั่วประเทศ หรือจะว่าทั่วโลกก็ได้ บนซอยแคบๆแต่แออัดไปด้วยเหล่าเกย์ ทั้งแสดงออกและเก็บงำเดินผ่านไปมา แม้เส้นทางที่เดินไปจะเล็กแต่กลับเป็นเส้นทางที่อบอุ่นแสนอิสระ



ผมออกแรงผลักประตูเปิดเข้าไปในร้าน แสงสีแดงม่วงอาบไปทั่วห้อง ที่ตรงมุมสุดของร้าน เก่ง โบกไม้โบกมือให้ ผมยิ้มด้วยความสุขเดินเข้าไปหาเพื่อน เอก โผเข้ามากอด ทำให้เจ็ทที่นั่งอยู่ทำท่าทางเป็นขอมาแจมด้วย ส่วนกอล์ฟได้แต่หัวเราะในท่าทางงอนเกินงามของเจ็ท

“แหม....กว่าจะมาได้นะ แต่งตัวนานล่ะสิ กลัวไม่เกิดหรือไง” เจ็ทเริ่มค่อนขอด
“น่านะ นานๆเจอเพื่อนๆที ก็ต้องเนี๊ยบๆซะหน่อย”
“หล่อขนาดนี้มีแฟนหรือยังครับ” กอล์ฟเริ่มแซว
“หยุดเลย แกไม่ต้องมาพูดเลย คบกันให้นานเถอะ เลิกกันเมื่อไหร่อย่ามาให้กูปลอบอีกล่ะกัน” ผมสวน

“เออ...ไม่ต้องห่วงแฟนกูหรอก ยังไงคนนี้กูรักจริงโว้ย ห่วงแต่พวกไม่มีแฟนแล้วถูกเด็กหลอกแดกเถอะมึง”
“เอ๊ะ...กอล์ฟ อีนี่ชอบว่าชั้น ทำไมชั้นมีเงิน ชั้นจะซื้อให้หมด”
“โอย...........เพิ่งเจอกันแท้ๆกัดกันแล้ว หยุดๆ” เก่งเริ่มปราม
“นั่นดิ พวกนี้นะ อยู่ใกล้ๆกันแท้ๆ ยังมาทะเลาะกันอีก ไม่คิดถึงฉันสองคนเลยหรือไง ลงดอยมาตั้งไกล ไม่ถามกันสักคำว่าเป็นไงบ้าง” เอกบ่นบ้าง


“โอย...ไม่ต้องถามหรอกมั้ง อยู่ด้วยกันขนาดนั้น ดอยทั้งดอยคงมีแต่ไออุ่นรัก น่าอิจฉาจังเลยนะ เมื่อไหร่ชั้นจะมีเนื้อคู่กะเขาเสียที”
เจ็ทแกล้งทีหน้าเศร้า แต่ไม่วายทุกคนรู้ทัน ราตรีนี้จึงครึกครื้นๆด้วยทุกคนต่างผลัดกันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตตลอด 5 ปีที่ผ่านมา หลังเรียนจบและแยกย้ายกันไปตามทาง


“ชั้นอยากกลับไปเรียนอีกครั้งนะว่าไหม”
“ช่าย กูก็อยากกลับไปเรียนเหมือนกัน บางทีถ้าย้อนเวลากลับไปได้ด้วยก็คงดีนะ พวกเราคงได้กลับไปแก้ไขหรือทำอะไรที่อยากทำตอนที่เราเรียนแต่เราไม่กล้าทำ”
“ชั้นรู้แกอยากทำไร หื่นๆอย่างแกนะไอ้กอล์ฟ แกต้องกลับไปฟาดผู้ชายทุกคนให้เรียบใช่ไหมล่ะ”

“บ้า อีนี่ แกนะสิ คงแอบกลับไปบอกรักทุกคนที่แกชอบนะสิ”
“เออ...เข้าท่านะ กลับไปทำไรดี กลับไปเรีบนรู้ใจตัวเองดีกว่าไหม ให้กล้าบอกรักเพื่อนสนิท” เก่งพูดพลางทำท่าเพ้อแล้วหันไปสบตากับเอก ทุกคนพร้อมใจกันอ๊วกให้
“แล้ว ชายล่ะ ไม่อยากย้อนเวลากลับไปบ้างหรือ” เอกถาม ทำให้ทุกเงียบ หันความสนใจมาที่ผม
“อยากเหมือนกัน แต่ฉันคงทำไรให้มันดีขึ้นไม่ได้หรอก”


ตู๊ดๆๆๆ เสียงสัญญาณโทศัพท์ที่โต๊ะดังขึ้น ทำให้ทุกคนเงียบ เจ็ทสัญชาตญาณเร็วกว่าเพื่อนรีบคว้ามารับ
“หวัดดีครับ” เก็กเสียงแมนมาก ทำหน้าเข้มแล้วเปลี่ยนเป็นหน้ายักษ์ยื่นโทรศัพท์มาให้ผม
“สวัสดีครับ”



“ดีครับ อยากรู้จักครับ ผมชื่อเอ อยู่โต๊ะขาวมือ” ผมหันไปตามทิศที่บอก ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดฟิตลำตัว ไว้หนวดนิดๆยกมือทักทายผม เป็นอันรู้กันว่าสนใจอยากคุยด้วย เพื่อนยุกันใหญ่ว่าให้เดินไปชนแก้ว ผมเดินไปตามคำเรียกร้อง นั่งคุยกะเออย่างออกรส ท่าทางคืนนี้ผมคงไม่นอนเหงาคนเดียวเหมือนเช่นทุกคืนที่ผ่านมา ผมนัดแนะกับเอเป็นที่เรียบร้อยก่อนเดินกลับมาหาเพื่อนเสียงเพลงคลอเคล้าให้บรรยายกาศของการดื่มสนุกยิ่งขึ้น ทุกคนลุกขึ้นเต้น อย่างสนุกสนาน ก่อนที่เวลาจะผ่านไปจนถึงยามที่ต้องแยกจากกัน ทุกคนเดินออกมายืนออกันอยู่หน้าร้าน



“สงกรานต์ไปให้ได้นะเพื่อน ลางานกันล่วงหน้า เดี๋ยวเอารถกะบะไปออกตระเวณสาดน้ำในคูเมืองกัน” เก่งบอกคำสัญญา ทุกคนรับปาก ก่อนที่จะแยกย้ายกัน ผมเดินมาหน้าปากซอย อาการเมากำเริบทำให้เดินโซเซ รอโบกแท็กซี่กลับห้อง


“ผมกลับด้วยคนสิครับ”
“อ้าว เอ...หายไปไหนมาครับ นึกว่าลืมที่พูดกันไว้ซะแล้ว”
“อ๋อ พอดีผมเจอเพื่อนครับ เลยแวะทักทายกันนิดหน่อย คืนนี้ขอค้างด้วยได้ไหมครับ”
“ยินดีครับ” ผมยิ้มนิดในใจนึกเสร็จแน่ๆคืนนี้ พอดีกับรถแท็กซี่โฉบเข้ามาจอดนิ่งให้ผมกับเอก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง
“สนุกจังเลยนะครับ คืนนี้” เอพูดแล้วเอาหัวมาแนบไหล่
“ครับ นานๆมาเที่ยวที แต่เดี๋ยวคงมีไรสนุกๆกว่านี้แน่นอนครับ” ผมเอนหัวลงไปชนกับเออย่างไม่เกรงใจคนขับ อาการเมาเวลานี้ทำให้ความอายหายไปหมดสิ้น เอเงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนที่จะไซร้ไปทั่วซอกคอ
เอี๊ยด.......รถเบรกกระทันหันจนผมกับเอหัวคมำไปข้างหน้า


“เหี้ยเอ๊ย...เป็นห่าไรว่ะ เบรกทำไม หาเรื่องเหรอมึง” เอพูดด้วยอาการโมโห
“เป็นไรพี่ เบรกทำไม ไม่พอใจไม่นั่งก็ได้ว่ะ เอานี่เงิน เอาไป” ผมเสริม
“ผมไม่ต้องการเงินจากคุณหรอกครับ เก็บเงินของคุณไว้เถอะ” แท็กซี่พูดก่อนหันมามองหน้าผม
“หนุ่ม” ผมอึ้งกับภาพของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า เอเริ่มงงก่อนจะลงจากรถไปอย่างหัวเสีย หนุ่มออกรถไปอย่างรวดเร็วตามเส้นทางที่ผมไม่คุ้นเคย ก่อนจอดลงที่ริมน้ำเจ้าพระยา ข้างสะพานพระรามแปด หนุ่มก้าวลงจากรถ ผมลงตามมา นานกว่า 7 ปีแล้วที่เราไม่เคยได้เจอกันเลยนับจากวันที่หนุ่มบอกว่าจะแต่งงาน


“มึงทำไม ทำตัวแบบนี้ว่ะ”
“ทำแบบไหน แล้วทำไม”
“เออ...ทำไมเป็นคนแบบนี้”
“คนแบบนี้ แล้วไงครับ ผมมันไม่ดีตรงไหน”
“เออ...ช่างมันเถอะ แล้วมึงเป็นไงบ้างครับ ไม่เจอกันตั้งนาน”
“สบายดีตามที่เห็น แล้วคุณล่ะ มาอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไม่ต้องสุภาพกับคนต่ำต้อยอย่างกูก็ได้ กูมาอยู่ได้ 3 ปีแล้ว พอทำนาเสร็จก็มาขับแท็กซี่”


“หารายได้เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียดิ ก็ดีแล้วนิ ลูกคงเข้าป.1แล้วดิป่านนี้”
“ใช่ โตแล้ว”
“แล้วเมียล่ะ ทำงานไร”
“กูไม่มีเมีย เลิกกันไปตั้งแต่ลูกคลอดแล้วล่ะ” หนุ่มตอบนิ่ง ทำให้ผมพลอยอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยินด้วย
“มันยังเด็กมากตอนที่แต่งงานกัน แต่งกันเพราะความจำยอมอะไรหลายๆอย่าง พอรู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากความรักที่จะอยู่ด้วยกัน มันก็จบลงที่การแยกทางกันก็เท่านั้น”
“แล้วลูกมึงล่ะ”



“แม่กูเลี้ยง ตอนนี้ 7 ขวบแล้วกำลังซนเลย มีรูปด้วย” หนุ่มยื่นกระเป๋าใบเก่ามาให้ผม ผมรับมาพินิจดูเค้าหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเหมือนหนุ่มมาก
“น่ารักดี จองไว้ได้เปล่า เผื่อโตขึ้นมาหล่อเหมือนพ่อมัน” ผมแกล้งแซว
“ก็ทำไมไม่เอาพ่อมันเลยล่ะครับ ตอนนี้หัวใจก็ว่างและก็โตแล้วด้วย ไม่ต้องรอให้เสียเวลา” ผมเงียบ มองหน้าหนุ่ม คนที่ผมรักมาตลอดเกือบ 7 ปี ตอนนี้โชคชะตาพาให้เขามายืนอยู่ตรงหน้าผมอีกครั้ง
“มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะหนุ่ม”
“ชายมึงไม่รักกูแล้วหรือ”



“ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว ชีวิตของทุกคนมันต้องดำเนินต่อไปตามทางของมัน กูไม่อยากอยู่แต่กับอดีตที่เจ็บปวด กูลืมทุกอย่างหมดแล้ว”
“ลืมทุกอย่างหมดแล้ว ลืมแม้กระทั่งรากเหง้าที่มาของตัวเองด้วยหรือเปล่า”
“พูดงี้หมายความว่าไง”
“ชายกูขอโทษ ถ้ากูทำให้มึงต้องเจ็บต้องผิดหวัง แต่เราคงกลับไปแก้ไขอดีตอะไรไม่ได้แล้วล่ะ สู้เรามาเริ่มกันไม่ดีกว่าหรือ ให้โอกาสกูหน่อย มันคงไม่สายเกินไปใช่ไหม”
“บอกตามตรงนะ ใจกูตอนนี้มันไม่ได้รักมึงแล้ว”
“แต่กูยังรักมึง” ผมนิ่ง ในใจสับสน


“กลับบ้านกันไหม”
“กลับบ้าน”
“ใช่ กลับร้อยเอ็ดด้วยกัน กูแวะไปหาพ่อกับแม่มึงทุกครั้งที่กลับบ้าน ท่านคิดถึงมึงมากนะครับ เงินที่ส่งไปให้นั้น มันคงไม่มีค่าเท่ากับการที่ลูกกลับไปเยี่ยมท่านหรอก” ผมยังนิ่งในใจรู้สึกผิด



“แม้ว่าใจมึงจะไม่รักกูแล้ว กูไม่ว่าหรอก แต่กูเชื่อว่ามึงรักครอบครัวมาก มึงเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ท่านอยากให้มึงบวช มึงรู้หรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการมากกว่าเงินทองทั้งหมดที่มึงหาส่งไปให้ เงินทองที่ต้องแลกมากับเวลาที่มึงแทบไม่มีโอกาสได้กลับบ้านไปหาท่านเลย กลับบ้านเรากันเถอะ ไปกับกู”


บนทางด่วนสายที่ทอดผ่านสานกันคดเคี้ยวไปตามแสงไฟส่องสว่าง ทางสายนี้กำลังนำผมกลับบ้านเกิดอีกครั้ง กรุงเทพฯ-โคราช-ร้อยเอ็ด นานมากแล้วที่ผมไม่ได้กลับบ้าน แม้เส้นทางจะยังคงเป็นสายเดิม แต่ครั้งนี้ทางที่ผมกำลังจะกลับไปมีความรักความอบอุ่นจากครอบครัวรอผมอยู่และผมกำลังกลับบ้านไปพร้อมกับคนที่ผมเคยรักมากที่สุดคนหนึ่ง






















Create Date : 06 ตุลาคม 2550
Last Update : 6 ตุลาคม 2550 0:16:04 น. 4 comments
Counter : 1147 Pageviews.

 
กำลังมันส์เล้ยยยย


โดย: นางเเมงเม่าชอบเล่นไฟ (primavera369 ) วันที่: 6 ตุลาคม 2550 เวลา:19:57:46 น.  

 
แสนซึ้ง


โดย: ขวัญ IP: 76.208.157.11 วันที่: 8 ตุลาคม 2550 เวลา:13:28:54 น.  

 
ซึ้งดีอ่านะคับ^^


โดย: มาวันนี้วันเดียว IP: 58.9.34.234 วันที่: 21 เมษายน 2551 เวลา:23:31:32 น.  

 


kid teang baan jung


โดย: kawao F วันที่: 30 สิงหาคม 2551 เวลา:7:47:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Be a good guy
Location :
New York CityBoy United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เด็กจากทุ่งกุลาร้องไห้ฯฝันไกลในนิวยอร์ค
Friends' blogs
[Add Be a good guy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.