เชียงใหม่แบบกระทันหันค่ะ



เชียงใหม่จัดเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ชาวต่างประเทศให้ความสนใจเป็นลำดับต้น ๆ จึงมีเหตุให้ต้องพาเด็ก ๆ สาว ๆ และผู้สูงอายุไปเที่ยวเชียงใหม่สองวันครึ่งค่ะ

เนื่องด้วยผู้ร่วมทริปมีหลากหลายอายุ และจำนวนวันจำกัด อีกทั้งเมืองเชียงใหม่มีที่เที่ยวเยอะมาก เราเลยไม่สามารถเที่ยวได้ครอบคลุมอย่างที่ควรจะเป็นค่ะ

วันแรกเราไปถึงตอนเย็นแล้วค่ะ เริ่มด้วยการไปรับประทานขันโตกกันที่ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ พร้อมกับชมการแสดงค่ะ การแสดงเป็นการแสดงของชาวเหนือและชนกลุ่มน้อยค่ะ



ขันโตก เป็นภาชนะที่มีลักษณะเป็นถาดมีขาตั้งสูง ใช้วางอาหาร ใช้กันในหมู่คนที่นิยมรับประทานข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก ขันโตกมีสองชนิด คือ ขันโตกยวนซึ่งทำด้วยไม้สัก ใช้กันแพร่หลายในแถบภาคเหนือของประเทศไทย อีกชนิดหนึ่งคือขันโตกลาว ทำด้วยไม้ไผ่สานประกอบด้วยหวายในบางส่วน นิยมใช้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลาว และแถบสิบสองปันนาในทางตอนใต้ของจีน ชาวเขาบางกลุ่มก็นิยมใช้ขันโตกดังกล่าวนี้ด้วย ในสมัยโบราณขันโตกเป็นเครื่องใช้ส่วนหนึ่ง ของงานพิธีต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ และพิธีทำบุญบ้านเป็นต้น อาหารที่ใช้เลี้ยงเป็นอาหารของคนไทยทางภาคเหนือและจะเป็นอาหารของภาคอื่น ๆ

หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมล้านนา และบริการของศูนย์วัฒนธรรมไทย คลิกที่นี่นะคะ //www.oldchiangmai.com



ยามค่ำคืนสาว ๆ ก็ไปเที่ยวไนท์บาร์ซ่าร์กันทั้งสองคืนค่ะ แต่ไม่ได้ของถูกใจอะไรเลยค่ะ กลับมาถูกใจที่จตุจักร กรุงเทพฯ มากกว่าค่ะ




ตอนสายของอีกวันเราเริ่มด้วยการไปดอยสุเทพค่ะ เรานั่งรถรางไฟฟ้ากันขึ้นไปค่ะ

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นวัดที่มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์และเป็นวัดท่องเที่ยว ซึ่งเป็นที่รู้จักของประชาชนชาวไทยโดยทั่วไป ในฐานะที่เป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์มากวัดหนึ่งของประเทศไทย ตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 14 กิโลเมตร อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,053 เมตร อยู่ในเขตตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

องค์พระเจดีย์ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง มีชื่อว่า ดอยสุเทพ แต่เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของฤาษี มีนามว่า สุเทวะ เป็นภาษาบาลี มีความหมายว่า เทพเจ้าที่ดี ซึ่งตรงกับความหมายของคำว่า สุเทพ นั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงได้ ชื่อว่า ดอยสุเทพ ซึ่งมาจากชื่อของฤๅษี คือสุเทวะฤาษี

ตามประวัติได้แจ้งว่า เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 19 พระเจ้ากือนา ได้ทรงสร้างวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารไว้บนยอดเขาดอยสุเทพ โดยได้นำเอาพระบรมธาตุ ของพระพุทธเจ้า ที่พระมหาสวามี นำมาจากเมืองปางจา จังหวัดสุโขทัย

บรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์พระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร นอกจากจะเป็นวัดที่มีความสำคัญมากแล้ว ยังเป็นพระอารามหลวง 1 ใน 4 ของจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย (พระอารามหลวงหมายถึง วัดที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเจ้าอยู่หัวฯ) ชาวเชียงใหม่เคารพนับถือพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารมาก เสมือนหนึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาแต่โบราณกาล

ในสมัยก่อน การขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพนั้น เป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน เพราะไม่มีถนนสะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน ทางเดินก็แคบๆ และ ไม่ราบเรียบ ต้องผ่านป่าเขาลำเนาไพร และปีนเขาต้องใช้เวลายาวนานถึง 5 ชั่วโมงกว่า จนมีคำกล่าวขานกันทั่วไปในสมัยนั้นว่า ถ้าไม่มีพลังบุญและศรัทธาเลื่อมใสจริงๆ ก็จะไม่มีโอกาสได้กราบไหว้พระธาตุดอยสุเทพ

(คัดลอกจากเวปไซท์ //www.dhammathai.org ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ)
หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดอยสุเทพ คลิกที่นี่นะคะ //www.dhammathai.org


ทุกคนจะต้องถอดรองเท้าเพื่อขึ้นไปด้านบนเพื่อไปสักการะองค์พระธาตุค่ะ



บรรยากาศโดยรอบด้านล่างค่ะ




หลังจากนั้นเราก็ขึ้นเขาลูกเดียวกันสูงขึ้นไปอีกสู่บ้านแม้วดอยปุยค่ะ มีมัคคุเทศน์น้อย พาเราเดินและซื้อข้าวของกันค่ะ ลูกสาวและหลานสาวก็ปลอมตัวเป็นชาวเขาด้วยค่ะ จากการสังเกตุชาวเขาแถวนั้นทันสมัยและค่อนข้างมีเงินจากการขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวค่ะ




เราย้อนลงมาที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ค่ะ เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ค่ะ




เนื่องจากใช้เวลากันเต็มที่พอไปถึงที่บ่อสร้าง สันกำแพง เขาก็พากันปิดหมดแล้วค่ะ เพราะเขาปิดแค่ 5 โมงเย็นเท่านั้น เรามัวแต่ไปละเลียดกาแฟและชิมเค้กที่เขาว่ากันว่าอร่อยที่สุดในเชียงใหม่ค่ะ

คนขับรถเลยพาไปเดินเล่นที่กาดดาราเทวีและโรงแรมแมนดาริน โอเรียนทัล แทนค่ะ เขาทำเป็นเวียงวังสวยงามมากค่ะ ยังกระเซ้ากันว่าเป็นโฮมสเตย์ของเศรษฐีค่ะ มีร้านค้า ร้านอาหาร อยู่ด้านในครบครันค่ะ




สายของอีกวันเราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแล้วไปสวนสัตว์เชียงใหม่กันค่ะ ด้วยประสบการณ์เราไปดูไฮไลท์ของสวนสัตว์เชียงใหม่-แพนด้ากันก่อนเลยค่ะ ไปถึงนั่งรถพ่วงไปไกลเหมือนกัน และต้องไปซื้อตั๋วเข้าชมแพนด้าอีกครั้ง เจ้าหน้าที่บอกว่าแพนด้าจะตื่นตอน 11 โมงเพื่อกินใบไผ่ เราเลยต้องไปกินข้าวมื้อสายรออยู่ในโรงอาหารแล้วย้อนกลับมาดูตอน 11 โมงค่ะ

จขบ.รวบรวมความกล้าเสนอแนะเจ้าหน้าที่ว่าน่าจะมีตารางแจกบอกเวลาให้อาหารหรือการโชว์สัตว์ เพราะแต่ละจุดไม่ใกล้กันเลย เจ้าหน้าที่ก็ไม่น่ารักเลยค่ะ หน้าบึ้งสุดฤทธิ์ แถมเจอยามกระชากขวดน้ำออกจากกระเป๋า พอเข้าไปข้างในคุณลูกสาวคุยกันตามปรกติ เขาก็จะชูป้าย "งดใช้เสียง" แถมหน้าดุอีก ก็เข้าใจนะคะว่าต้องมีมาตรการป้องกัน แต่น่าจะบอกกล่าวกันแบบน่ารักหน่อยค่ะ





ส่วนอื่น ๆ ในสวนสัตว์ โดยรวมป้ายบอกลักษณะความเป็นมาของสัตว์ ก็ดีกว่าเขาดินนะคะ




โคอาล่าค่ะ เขาก็ทำป้ายน่ารักนะคะ เด็กเห็นก็สามารถรู้ได้ว่าพวกเขาไม่ชอบน้ำ(เขาได้รับน้ำเพียงพอแล้วจากใบยูคาลิปตัส) และไม่ได้เป็นหมีค่ะ(เป็นสัตว์ในสายพันธุ์ marsupial-สัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง)




จากนั้นเรากลับไปที่ศูนย์อุตสาหกรรมการทำร่มอีกครั้งค่ะ

ตำนานร่มบ่อสร้าง(คัดลอกจากแผ่นพับของศูนย์อุตสาหกรรมการทำร่ม ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ)

ครั้งหนึ่ง เมื่อพระครูอินถาซึ่งประจำอยู่วัดบ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ธุดงค์ไปปฏิบัติกรรมฐานอยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า ได้มีโอกาสเห็นวิถีชีวิตและการทำร่มของชาวบ้าน ซึ่งเชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากชาวไทลื้อ ที่ย้ายมาจากมณฑลยูนานแคว้นสิบสองปันนาประเทศจีน และตั้งถิ่นฐานอยู่ตามบริเวณนั้นและยังคงสืบทอดการทำร่มอยู่

พระครูบาอินถาสนใจวัฒนธรรมการทำร่มนี้เป็ฯอย่างมากจึงศึกษาอย่างละเอียด และนำกลับมาเผยแพร่ยังหมู่บ้านบ่อสร้าง โดยการแยกชิ้นส่วนการทำร่มให้กับหมู่บ้านใกล้เคียงได้หัดทำด และนำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาประกอบที่หมู่บ้านบ่อสร้าง

ร่มบ่อสร้างซึ่งได้สืบทอดวัฒนธรรม และจิตวิญญาณของศิลปะการทำร่มลงไป แต่เดิม ทำเพื่อถวายพระ และใช้กันเองเพื่อกันแดดกันฝน จนเป็นที่รู้จักเลื่องลือกันทั่วไป ต่อมาชาวบ้านบ่อสร้างได้มีการคิดค้นพัฒนา โดยการหาวิธีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพและลักษณะที่โดดเด่น จนสามารถทำสำหรับจำหน่ายเป็นอาชีพเสริมหลังจากการทำนาทำไร่ จนภายหลังร่มบ่อสร้างไม่เพียงแต่ใช้เพื่อการกันแดดกันฝนเท่านั้น แต่ยังพัฒนาการออกแบบให้ใช้สำหรับงานตกแต่งบ้านเรือน ตลอดจนใช้ในพิธีต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

ศูนย์อุตสาหกรรมการทำร่มจึงเปรียบเหมือนพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต เปิดให้บุคคลทั่วไปได้ศึกษาวัฒนธรรมการทำร่มที่ครบสมบูรณ์ทุกขั้นตอน


เดี๋ยวนี้เขาให้คนวาดเป็น profit center อิสระ ค่ะ จะเชิญชวนให้เราวาดเสื้อผ้าข้าวของเช่นโทรศัพท์มือถือ หมวก ตลับแป้ง เป็นต้นค่ะ




ส่วนรูปข้างล่างนี้เด็ก ๆ ซื้อร่มและพัดเปล่ากลับมาวาดเองที่บ้านค่ะ เขามีขายสีด้วยแต่เราไม่ได้ซื้อมา แต่ใช้สีโปสเตอร์ที่บ้านแทนค่ะ

รูปซ้าย-A bird flying in the beautiful sky by Ching
รูปขวา-Spinner-Winder-Flower-Hills by Ing





ไปดูการสาวไหมกันต่อที่ชินวัตรไหมไทยค่ะ ตั้งแต่เป็นไข่จนถึงตัวเต็มวัยเจ้าหน้าที่บอกว่าใช้เวลา 45 วัน แต่เขาจะนำดักแด้มาต้มก่อนที่ตัวจะกัดรังไหมออกมา ลูกสาวเลยบอกว่าไม่ควรสนับสนุนการทำไหมค่ะ




ไปต่อกันที่ไฮไลท์ของทริปนี้ค่ะ "เวียงกุมกามนครโบราณใต้พิภพ( Wiang Kum Kam The Underground empire)" เขามีบริการรถม้าและรถต่อเองแบบมีคนขับ มีไกด์อาสา พาเราไปวัดสำคัญในเวียงกุมกามค่ะ

ต้นกำเนิดเวียงกุมกาม(คัดลอกจากแผ่นพับของศูนย์ข้อมูลเวียงกุมกาม และเวปไซท์ของ geocities ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ)

เวียงกุมกามเป็นเวียงที่พญามังรายสร้างขึ้น ในบริเวณชุมชนโบราณสมัยหริภุญไชยตาม ประวัติก่อนหน้าการสร้าง เวียงกุมกาม พญามังรายทรงยกทัพจากเมืองฝางมายึดครองเมืองหริภุญไชย พระองค์ประทับที่หริภุญไชยอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งก็มอบให้อ้ายฟ้าครองหริภุญไชยส่วนพระองค์แสวงหาที่สร้างเวียงใหม่และทรงเลือกหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำปิง "ปิงห่าง" มาสร้างเป็นเวียงกุมกาม มูลเหตุกำหนดเวียงกุมกาม เวียงกุมกามกำหนดขึ้นเพราะพญามังรายทรงประสงค์จะสร้างเมืองหลวง แห่งใหม่แทนที่เมืองหริภุญไชย หลังจากที่พญามังรายยึดครอง

เมืองหริภุญไชยสำเร็จในราว พ.ศ. 1835 พระองค์ประทับที่ - หริภุญไชยเพียง 2 ปี ก็แสดงความไม่พอใจจะใช้เมืองหริภุญไชยเป็นเมืองหลวงอีกต่อไปเวียงกุมกามเป็นเมืองหลวงยังรับเอาวัฒนธรรมจากหริภุญไชยในอีกหลายด้าน เป็นต้นว่าตัว อักษรธรรมล้านนาหรือที่เรียกว่า ตั๋วเมือง นั้นได้ดัดแปลงมาจากอักษรมอญหริภุญไชย หรือด้านศิลปวัฒนธรรม วัดกู่คำ หรือ วัดเจดีย์เหลี่ยม ที่เวียงกุมกามก็สร้างตามแบบวัดกู่กุดของหริภุญไชย เป็นต้น จึงเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งนั้น ศิลปวัฒนาธรรม

แบบล้านนาจึงค่อย ๆก่อรูปขึ้น ด้วยการ หล่อหลอมศิลปวัฒนธรรมที่หลากหลาย จนเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของล้านนาพญามังรายประทับอยู่ที่เวียงกุมกามได้เพียง ๕ ปี ปรากฏว่าในฤดูฝนเกิดน้ำท่วมเมือง อีกทำให้ประชาชนเดือดร้อนไม่เหมาะจะเป็นเมืองหลวงถาวรได้จึงทรงแสวงหาสถานที่ที่มีชัยภูมิอันเหมาะแก่การตั้งเมืองใหม่เพื่อจะให้เป็นศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักร ล้านนาที่มั่นคงถาวร จึงโปรดให้สร้าง "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"

สภาพปัจจุบันของเวียงกุมกาม ถูกทำลายลงไปมากจากรายงานของหน่วยศิลปากรที่ 4 กองโบราณคดี กรมศิลปากรได้สำรวจไว้ ปรากฏพบร่องรอยแนวกำแพงเมือง ซากโบราณสถานและเศษเครื่องปั้นดิน เผามากมายดังนั้นจึงได้บูรณะ ใน ส่วนที่เป็นซากโบราณสถานขึ้น ได้มีการขุดค้นพบเวียงกุมกามตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 แต่เพิ่งเป็นที่รู้จักกันเมื่อไม่นานมานี้หลังจากกรมศิลปากรได้ทำการแสดงแสงสีเสียง และพระราชินีทรงเสด็จเป็นองค์ประธาน(ไม่ทราบใช้คำนี้หรือเปล่านะคะ จากคำบอกเล่าของไกด์) และไกด์ยังทิ้งท้ายโดยอัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ว่า


“.....การสร้างอาคารสมัยนี้เป็นเกียรติของคนสร้างผู้เดียว
แต่โบราณสถานนั้น เป็นเกียรติของชาติ
อิฐเก่าๆ แผ่นเดียวก็มีค่า ควรรักษาไว้
ถ้าเราขาดสุโขทัย อยุธยา และกรุงเทพฯ แล้ว
ประเทศไทยก็ไม่มีความหมาย…..”




ในรูปล่างซ้ายของรูปด้านบนเป็นศิลปะพื้นบ้านเรียกว่าฉัตรข้าวถักเป็นศิลปะที่น่าภูมิใจของชาวล้านนา ทำขึ้นเพื่อเป็นศิริมงคลของผู้ครอบครอง การถักข้าวเปลือกต้องใช้ทั้งความประณีตและสมาธิของผู้ถัก และเชื่อว่าหากผู้ใดมีไว้ในครอบครอง จะมีทรัพย์สมบัติเข้ามามากมาย ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง เหมือนข้าวเปลือกที่ตกลงบนพื้นดินมักจะเจริญงอกงามไม่รู้จบ


หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวียงกุมกาม คลิกที่นี่นะคะ ขอขอบคุณ wikipedia มา ณ ที่นี้ค่ะ



และไปต่อกันที่นิมมานเหมินทร์ซอย 1 ร้านขายของแต่งบ้านชื่อดัง "สุริยันจันทรา"ค่ะ จากนั้นก็ไปร้านกาแฟที่ซอยเก้าค่ะ ประชันกันหลายร้านเลยค่ะ




ว่าจะไปบ้านถวายแหล่งรวมของแต่งบ้านที่ทำจากไม้ต่อค่ะ แต่คนรถบอกไม่ทันแล้วค่ะ ก็เลยไปรอที่สนามบินเดินทางกลับกรุงเทพฯ ค่ะ พบกันใหม่กับเชียงใหม่รอบสองเร็ว ๆ นี้นะคะ



ขอขอบคุณ BG สวย ๆ จากเวปมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี( //thaihu-so.igetweb.com)ค่ะ


Create Date : 01 เมษายน 2551
Last Update : 25 สิงหาคม 2553 14:06:42 น. 33 comments
Counter : 1219 Pageviews.

 




โดย: นายแจม วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:21:34:48 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: vintage วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:21:52:03 น.  

 
ขอบคุณนะครับ ที่เขียนบรรยา และภาพสวยๆ (น่าจะถ่ายเอง ?) มีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆอีกเยอะเลย ที่สำคัญกว่านั้น คนเจียงใหม่ น้ำใจ๋งาม ยินอีต้อนฮับกุ๊ท่านเน่อ ครับ (เจ้าว)...แวะมาแอ่วแหมกำเน่อ .....คนเจียงใหม่ แต้ๆ


โดย: กับมาแอ่วแหมเน่อ.... IP: 118.172.101.214 วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:21:55:05 น.  

 
ชอบเชียงใหม่ค่ะ อยากไปอยู่เชียงใหม่เหมือนกันแต่ไม่รูจะไปทำอะไรดี


โดย: Summer Flower วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:22:03:58 น.  

 
ขอบคุณค่ะคุณ นายแจม กับคุณ Vintage ที่แวะมาเยี่ยมค่ะ

ยินดีค่ะคุณกับมาแอ่วแหมเน่อ รูปส่วนใหญ่คนข้าง ๆ ถ่ายค่ะ ฮับฮองเจ้าต้องไปแอ่วแหมเจ้า

แวะไปที่บล็อกคุณ Summer Flower เดาว่าคุณทำบัญชีน่าจะหาอะไรทำไม่ยากค่ะ เพราะเชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่มากค่ะ ไม่แน่ใจว่าใหญ่เป็นที่สองหรือสามของไทย ตึกสูง ๆ เพียบเลยค่ะ



โดย: ุุ (chinging ) วันที่: 2 เมษายน 2551 เวลา:1:54:16 น.  

 
หวัดดีค่ะ
จะบอกว่าทำบัญชีไม่เป็นค่ะ

เป็นคนดูสินค้าเข้าจะตปท.ค่ะ ช่วงนี้ของผลิตไม่ทันลูกค้าบ่นกระจายเลยค่ะ

ฝันดีนะคะ


โดย: Summer Flower วันที่: 2 เมษายน 2551 เวลา:21:38:09 น.  

 
เที่ยวได้ครบและเต็มอิ่มเลยนะครับ

ได้นับมั้ยครับว่าบันไดของพระธาตุดอยสุเทพมีกี่ขั้นครับ
สงสัยใช้บริการกระเช้าทั้งขาขึ้นขาลงแน่ๆเลยครับ อิอิอิ



โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 2 เมษายน 2551 เวลา:22:16:39 น.  

 
เหอ ๆ เดาผิด ขออภัยค่ะ งั้นเอาใหม่ค่ะ คงต้องเปลี่ยนเป็นดูของส่งออกแทนค่ะ แต่อาจจะแย่งกันน่าดู เพราะใคร ๆ ก็ส่งออกค่ะ

ตอนยังสาวยังนับผิดนับถูกเลยค่ะคุณก๋า ตอนนี้ยายจะนับอย่างไรไหวล่ะคะคุณก๋า อยู่เชียงใหม่นี่ญาติมาเยี่ยมทุกอาทิตย์เลยหรือเปล่าคะ


โดย: chinging วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:2:39:58 น.  

 
มาช่วงเทศกาล
ผมไม่ค่อยได้พาไปไหนหรอกครับ
ทำงานอย่างเดียวเลยครับ อิอิอิ

เพื่อนเลิกคบหมดแล้วครับ

55555



โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:20:05:45 น.  

 
เหมือนกันเลยค่ะตรงเพื่อนเลิกคบ แต่เป็นเพราะเค็นทำงาน(เลี้ยงลูก)อย่างเดียว 6666

แต่มีญาติมาให้พาเที่ยวเรื่อยค่ะ เพราะคิดว่าเราว่างค่ะ


โดย: chinging วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:23:10:47 น.  

 
ครั้งสุดท้ายที่ลิตช์ไปดอยสุเทพเมื่อ 2 ปีก่อน ยังเดินขึ้นไหวค่ะ
แต่ถ้าไปใหม่คงต้องขึ้นกระเช้า ครั้งแรกที่ลิตช์ไปดอยสุเทพ
สมัยนั้นยังไม่มีกระเช้าเลยค่ะ เดินขึ้นอย่างเดียว
เชียงใหม่เหมือนบ้านแห่งที่สองของลิตช์เลยค่ะไปบ่อยมาก
เพื่อนก็ไปอยู่กันเยอะ เห็นภาพแล้วนึกถึงเพื่อนเลยค่ะ
เดี๋ยวต้องโทรหาซะหน่อย...


โดย: ลิตช์ (Litchi ) วันที่: 3 เมษายน 2551 เวลา:23:29:53 น.  

 


โดย: Summer Flower วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:9:50:30 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณลิตช์ ถ้าอยู่ในตัวเมืองน่าจะไม่ต่างจากกรุงเทพฯเท่าไหร่นะคะ ตกลงชลบุรีหรือเชียงใหม่ใหญ่กว่ากันคะ

ขอบคุณค่ะ คุณ Summer Flower Summer Flower นี่ประกอบด้วยดอกอะไรบ้างหนอ


โดย: chinging วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:12:52:01 น.  

 
สวัสดีค่า
ยังอยากไปเที่ยวเชียงใหม่อีกค่ะ
เที่ยวไม่ครบซักที
น่าดุไปซะทุกที่เลย..
..
ปล.
เป็นลูกค้าอีเบย์มา 10 ปี นี้พอดีเลยค่ะ
แต่ไม่ค่อยซื้อหนังสือเพราะว่า
แถวนี้มีร้านหนังสือเยอะ
เวลาลด บางทีถุกกว่าซื้อีเบย์อีกน่ะค่า


โดย: เพลงเสือโคร่ง วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:21:45:08 น.  

 
จริงค่ะ สำหรับเค็นเพราะไปแต่ละครั้งมีคนที่ไม่เคยไปพ่วงไปด้วย ก็ต้องไปตั้งต้นที่เป็นที่รู้จักกันร่ำไป

เรื่องหนังสือดีจังค่ะ เดี๋ยวจะย้อนตามกลับไปที่บล็อกคุณเพลงเสือโคร่งไปขอคำแนะนำเรื่องการซื้อหนังสือสักหน่อยค่ะ


โดย: chinging วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:22:35:15 น.  

 
แวะมาเที่ยวเชียงใหม่ด้วยค่ะ ไม่เคยไปตั้งหลายที่ค่ะ
ดีจังได้ลงสีร่มเองนะคะ เห็นแล้วคันมืออยากเล่นด้วยคนจัง...

พักนี้ไม่ค่อยได้เข้าบล็อกค่ะ เลยหายๆไป .... คุณเค็นสบายดีนะคะ


โดย: SevenDaffodils (SevenDaffodils ) วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:3:35:56 น.  

 
Have a nice day.


โดย: Opey วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:6:58:00 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ แป๋วและ คุณ Opey

สบายดีค่ะคุณแป๋ว แต่ก็หาย ๆไปบ้างค่ะ เพราะลูกสาวเริ่มค้อนแล้วค่ะ แวะบล็อกคุณแป๋วประจำ แต่บางทีไม่ได้คอมเม้นท์อะไรค่ะ เพราะสิ่งที่อยากบอกอยากชม มีคนอื่นบอกคนอื่นชมกันหมดแล้วค่ะ ที่บล็อกคุณแป๋วน่ารักมากค่ะ ขนาดคอมเม้นท์เขายังพยายามเขียนกันน่าอ่านทั้งนั้นเลยค่ะ

เรือ่งลงสีร่ม เค็นน่ะอยากไปเรียน folk art painting แถว ๆ ที่คุณแป๋วอยู่จังเลยค่ะ เพราะตรงนั้นน่าจะเป็นแหล่งผู้มีฝีมือ หรือไว้รอเรียนกับคุณแป๋วดี


โดย: chinging วันที่: 8 เมษายน 2551 เวลา:13:41:00 น.  

 
เคยไปเชียงใหม่ครั้งเดียว แถวยังขับรถเลียบเมือง มีโอกาสจะลงไปเหยียบในเมืองซักครั้ง

ข้อมูลดีจัง


โดย: ลุงแมว วันที่: 9 เมษายน 2551 เวลา:20:45:36 น.  

 
ขอบคุณค่ะคุณลุงแมวที่มาเยี่ยมและชมค่ะ

นี่ก็ถือว่ายังไม่เข้าถึงเลยค่ะ จริง ๆ แต่ละจังหวัดน่าจะไปอย่างน้อยสองอาทิตย์


โดย: chinging วันที่: 9 เมษายน 2551 เวลา:22:02:51 น.  

 
มาดูอีกทีก็ทานมื้อเย็นเสร็จแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะคุณ Opey ที่ถามไถ่ค่ะ


โดย: chinging วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:19:57:30 น.  

 
แวะมาทักทายเจ้า


โดย: จูริง วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:20:46:33 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณจูริง แล้วแวะไปดูการ์ตูนของ Studio Glibli แล้วยังคะ


โดย: chinging วันที่: 10 เมษายน 2551 เวลา:22:07:18 น.  

 
เดือนหน้ากำลังจะขึ้นไปเชียงใหม่อยู่พอดีเลยค่ะ จะพาลูกไปเที่ยวสักสองสามวัน ดีจังเลยได้เก็บข้อมูลของคุณ chinging ไว้วางแผนเดินทาง แต่สงกรานต์นี้ กำลังจะลงใต้ค่ะ จะไปหัวหิน ชุมพร และเขื่อนเชี่ยวหลานค่ะ ยังไม่เคยไปเลยเห็นเขาว่าเหมือนกุ้ยหลินเมืองไทย เคยไปหรือยังคะ


โดย: Devonshire (Devonshire ) วันที่: 11 เมษายน 2551 เวลา:8:07:33 น.  

 
ดีใจที่เป็นประโยชน์ค่ะ แอบเห็นลูกสาวคุณ Devonshire โตทันใช้(เรา) คงได้ไปหลายที่กว่านี้ค่ะ ยังมีอีกหลายวัดเลยค่ะที่น่าสนใจ หรือเลยไปวัดร่องขุ่น เชียงรายก็ดีนะคะ ยังไงลองแวะที่บล็อกคุณกะว่าก๋าแกแนะนำไว้เยอะเลยค่ะ

ช่างบังเอิญจริงค่ะ กุ้ยหลินเมืองไทยน่ะเป็นแผนที่จะไปตอนแรกค่ะ แต่ไม่ติดชาร์ทชาวต่างประเทศ เลยต้องไปเชียงใหม่แทนค่ะ สรุปว่ายังไม่เคยไปเลยค่ะ สงสัยคุณ Devonshire คงได้ไปก่อนแน่เลยค่ะ


โดย: chinging วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:1:14:18 น.  

 



ขอให้มีความสุขในวันสงกรๅนต์นะค่ะ

เล่นสงกรๅนต์เผื่อด้วยนะจ๊ะ

Table by Paradijs


โดย: Opey วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:5:42:43 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


โดย: จูริง วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:10:33:15 น.  

 


พึ่งกลับมาอ่านค่ะ..คุณเค็น..ลิตช์ว่าเชียงใหม่ใหญ่กว่า เจริญกว่าค่ะ เที่ยวสงกรานต์ขอให้สนุกและปลอดภัยนะคะ...


โดย: ลิตช์ (Litchi ) วันที่: 12 เมษายน 2551 เวลา:23:51:39 น.  

 
ขอบคุณค่ะคุณ Opey คุณจูริง คุณลิตช์ แต่สงกรานต์นี้กะว่าจะไม่ไปไหนค่ะ เพราะขี้เกียจไปนั่งอยู่ในรถนาน ๆ ค่ะ


โดย: chinging วันที่: 13 เมษายน 2551 เวลา:0:01:24 น.  

 
แนนไปเชียงใหม่มาตั้งหลายครั้ง ไม่เคยได้ไปครบอย่างนี้เลยค่ะ ดีจังเลย

รอบหน้า ต้องไปให้ครบให้ได้ค่ะ เดี๋ยวต้องให้คุณสามีมาดู blog เค็นแล้วล่ะค่ะ จะได้ให้พาเที่ยวให้ครบ


โดย: อัญชนา วันที่: 15 เมษายน 2551 เวลา:8:31:03 น.  

 
แอบไป copy โปรแกรมทัวร์มาค่ะ แล้วคุณพี่ที่เขาเป็นคนขับรถตู้เขาเยี่ยมมากค่ะ ทั้งตัวรถ การบริการ และคำแนะนำ นี่ยังไปไม่หมดที่ตั้งใจไว้เลยนะคะ


โดย: chinging วันที่: 15 เมษายน 2551 เวลา:16:35:52 น.  

 
ไปมาแล้วค่ะเขื่อนเชียวหลาน ไม่รู้ว่าเหมือนกุ้ยหลินรึเปล่านะคะ แต่ก็เป็นทะเลสาบเหนือเขื่อนที่สวยดีค่ะเพราะมีภูเขาโผล่มาจากน้ำเยอะแยะเลย ไปพักที่บ้านพัก กฟผ. ค่ะ เดี๋ยววีคเอนด์จะเขียนใส่บล็อกค่ะ คุณเค็นพักโรงแรมไหนในเชียงใหม่คะ พี่กำลังหาที่พักแบบประหยัด ปลอดภัย ไกลตัวเมืองอยู่คะ คราวก่อนพักที่สะเมิงรีสอร์ท ว่าซะกลางป่าเลยค่ะ...


โดย: Devonshire (Devonshire ) วันที่: 17 เมษายน 2551 เวลา:12:48:01 น.  

 
จะรอชมนะคะเขื่อนเชี่ยวหลาน ว่าแต่ที่เที่ยวเดิม ๆ ยังอ่านไม่หมดเลยค่ะ

ส่วนเรื่องโรงแรมที่ไปอยู่ไม่แนะนำเลยค่ะ เดี๋ยวไปตอบที่บล็อกอีกทีค่ะ


โดย: chinging วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:13:05:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

chinging
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 22 คน [?]








INVITING THE BELL TO SOUND


Body, speech, and mind in perfect oneness-
I send my heart along with the sound of the bell,
May the hearers awaken from forgetfulness
and transcend all anxiety and sorrow.


HEARING THE BELL


Listen, listen,
this wonderful sound
bring me back
to my true self.


THICH NHAT HANH






9 Latest Blogs
ขอขอบคุณ คุณSevenDaffodils
ในคำแนะนำวิธีการทำ Latest Blogs ค่ะ



New Comments
Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
1 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add chinging's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.