|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
กฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ 1-16
ช่วงนี้สนใจอ่านเรื่องกฏแห่งกรรม ได้ข้อคิดแนวทางและกำลังใจได้บ้าง เลยย่อมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านบ้าง ไม่งั้นอ่านแบบดิฉันเป็นเดือนก็ไม่หมด ถ้าอยากอ่านแบบเต็มรายละเอียดครบสมบูรณ์ก็คลิกไปอ่าน //www.fungdham.com/rule-of-fate.html
วิธีลดกรรม บทสวดมนต์พุทธคุณ ธรรมคุณ พาหุงฯ และฯลฯ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=imaginer&month=19-09-2010&group=5&gblog=63
สถานที่ไปปฎิบัติ ศูนย์ปฎิบัติธรรม วัดเวฬุวัน ขอนแก่น (ที่ปฎิบัติฝึกสมาธิกรรมฐานสาขา 2 ของหลวงพ่อจรัล) //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=imaginer&month=09-2009&date=28&group=4&gblog=111
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=imaginer&month=27-01-2010&group=9&gblog=90
หนังสือ...กฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑
-ผลกรรมของหลวงพ่อ พระภาวนาวิสุทธิคุณ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโมวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี )
สร้างกรรม-กินอาหารที่ยายถวายพระ
ตอนอยู่ที่โรงเรียนมัธยม ยังอยู่กะยาย ยายให้เอาอาหารไปถวายพระ แล้วเราก็เอาไปทานเสียเอง
ยายถาม ไปวัดเจอสมภารไหมล่ะ บอกยายว่าผมไม่ได้ขึ้นกุฏิหรอก ให้เด็กมันถ่ายปิ่นโตให้แล้วผมก็มา ยายบอกว่าต่อนี้ไปต้องรับพรด้วยนะ รับพรสมภารมาแล้วก็มาบอกยาย ยายจะได้ชื่นใจแล้วบอกท่านด้วยว่ายายให้เอาอาหารมาถวาย
วันหลังเอาอีกแล้ว ให้ไปอีกก็เจอเพื่อนอีก โรงเรียนปิด ก็แบบเดิมกินเสร็จแล้วไปตีผึ้งต่อ ยายถามว่า เจอสมภารมั้ย เจอครับ รับพรเสร็จผมก็มา แท้ ๆ สมภารดันมาอยู่บนบ้านเรา เราไม่ทันแหงนดูบนบ้าน สมภารนั่งยิ้ม ยายเป็นคนใจบุญ พระชอบมาเยี่ยม แต่อาตมารำคาญ พอสมภารกลับไปแล้วโดนหนัก บอกว่าบาป ถามว่านี่กี่เที่ยวแล้ว เราบอกว่า ๒ เที่ยวแล้วครับ ยายบอกว่า นี่ต้องเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม กินข้าวไม่ลง เราก็ถามว่าเปรตสูงกว่าต้นตาลมั้ย ยายบอกว่าไม่เห็น เราไม่เชื่อหรอก ว่าหลอกเราแต่เราไม่พูด เถียงไม่ได้
โกงค่าเรือจ้าง
ในเวลากาลต่อมาไปโรงเรียนต้องนั่งเรือจ้างข้ามฟากเดือนละ ๒๕ สตางค์ อาตมาโกงค่าเรือจ้างไม่ให้ค่าเรือจ้าง กินก๋วยเตี๋ยวผัดไทย แถมเลี้ยงเพื่อนด้วยนะ ก็โกงค่าก๋วยเตี๋ยวเขาอีก
ยิงนก-หักคอ-หักขานก
ในเวลาต่อมา โรงเรียนปิดหลายวันเทอมสุดท้ายแล้ว ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลเขามาขอแรงอาตมาไปยิงปืน ไปยิงนก เราก็ไม่รู้บุญบาปมันมีจริงอย่างไร สนุกดีก็เอาปืนลูกซองดาวกระจาย ๕ นัด เช้ากินข้าวแล้วก็ออกตามทุ่งตามหนองยิงนกเป็ด นกกระสา พอยิงได้จับหักคอใส่ตะข้อง พอนกมันจิก จิกก็ถลกหนังเลย ทรมานเหลือเกิน ยิงนกกระสาถูกปีกมันหักแล้วมันบินไม่ได้เราก็ขับมัน เหนื่อยมาก แล้วก็จับได้ ทำไง หักขาเลย นกก็ดิ้นร้องไห้ตาย
ต่อมาได้บวชในพระพุทธศาสนา พ่อแม่ให้บวชโดยไม่ได้เลื่อมใส ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่อย่างนี้ กะว่าจะบวชสักพรรษาเดียว
ใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว
เริ่มมารักษาการเจ้าอาวาสที่วัดนี้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นี่ ก็เริ่มใช้กรรมมาตามลำดับ โดยที่ว่าในปีต่อมาใช้เรื่องก๋วยเตี๋ยวก่อน เรามานั่งสมาธิของเรา มันก็เกิดไปเข้าญาณวิถีของเขาชื่อว่า นางกลุ่ม นางกลุ่มมีสามีชื่อตากิ๊ม เขาไม่รู้ว่าเราโกงก๋วยเตี๋ยวเขา แม่กลุ่มกับตากิ๊มเกิดฝันพร้อมกัน ฝันว่าเทวดามาบอกว่าถ้าต้องการให้ลูกชายหายเกเร แล้วกลับมาเรียนหนังสือละก้อ ให้ไปตามลูกชายมาแล้วให้ไปบวชเณรที่วัดอัมพวัน รับรองแก้ได้แน่ อาตมาก็ถามว่า ทำไมไม่บวชที่วัดอื่น โยมกลุ่มก็เลยเล่าให้ฟังว่าที่พาลูกมานี่เพราะฝันไปว่า เทวดามาบอกว่าให้มาบวชที่นี่ ช่วยรับไว้หน่อย
เรานึกแล้วว่าจะต้องได้ใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยวเขาแน่ แต่ไม่บอกก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ พอได้ ๗ วัน ก็เลยเล่าเรื่องเของอาตมาให้เณรฟังว่าอาตมานี่โกงค่าก๋วยเตี๋ยวแม่เจ้า แม่เจ้าก็ไม่รู้ แล้วไอ้ผ้าไตรที่นะ อะไรต่ออะไร ๒๐๐ นี่ กระซิบบอกแม่นะบอกว่าเจ๊ากันไปนะ ไม่ต้องเอามาให้ ถือว่าใช้ค่าก๋วยเตี๋ยวกันไป พอเล่าเสร็จแล้วเณรบอกว่าผมเกิดศรัทธาเสียแล้ว ก็ตั้งใจปฏิบัติ
ต่อมาก็ขอสึกว่าจะไปเรียนหนังสือแล้ว ก็สอบได้ในปีนั้น แล้วไปเป็นทหารอากาศต่อมาก็ได้เลื่อนเป็นนายทหารอากาศไปเลย
นี่คือใช้หนี้ค่าก๋วยเตี๋ยว ถ้าไม่ได้ใช้ในชาตินี้ก็ต้องใช้ดอกชาติหน้านะ กฎแห่งกรรมมีจริง
แต่กฎแห่งกรรมที่อาตมาประเมินผลและได้ประสบการณ์มารู้ล่วงหน้าได้ เพราะใช้สติระลึกก่อนเป็นตัวรู้ล่วงหน้า ตัวสัมปชัญญะตัวผลักดัน ทำให้แก้ไขเหตุการณ์ได้ทันเฉพาะหน้า เรียกว่า ตัวสัมปชัญญะ ที่อาตมารู้นี้ก็เนื่องจากว่าเราเจริญสมาธิ เจริญสติอยู่ตลอดเวลา ขอให้ท่านไปพิจารณาด้วยตนเอง ด้วยเจริญกุศลภาวนาไปเรื่อย ๆ ไม่จำเป็นต้องมีเวลาว่าง เวลาที่ท่านทำงานก็ภาวนาไป
ในเวลาต่อมา อาตมาก็นั่งเจริญภาวนาโดยไม่ได้ขาด แล้วก็มีการอโหสิกรรม และแผ่เมตตา ขอให้ท่านเอาไปใช้กันทุกท่าน ก่อนที่จะแผ่เมตตาออกไปต้องอโหสิกรรมก่อนนะ ถ้าไม่อโหสิกรรมออกก่อนท่านจะแผ่ไม่ออก อโหสิกรรมให้ใจสบาย ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร ไม่อิจฉาริษยาใคร แผ่เดี๋ยวนั้นถึงเดี๋ยวนั้น แล้วก็มีการรับตอบด้วยนะ อันนี้มันเป็นของใครของมัน
ใช้หนี้ค่าเรือจ้างตาก้อย
พอมาเจริญสมาธิ จิตสงบก็นึกขึ้นมาได้บอกรีบใช้หนี้ค่าเรือจ้าง นึกไปนึกมาถูกต้องที่เคยโกงเขามา อาตมาก็ไม่ได้ไปบ้านเขานาน จนมาบวชเป็นสมภารเจ้าวัด ก็เอานมไป เอาโอวัลตินไป เอาสตางค์ใส่ซอง ๒๐๐ บาท ถือราคาก๋วยเตี๋ยวเป็นเกณฑ์ ชื่อตาก้อย แก่แล้ว อาตมาเอาเรือจอด เขาก็ตกใจว่าพระมาทำไม แกเจ็บหนักเป็นอัมพาตจะตายแล้ว ก็เอาสตางค์ไปใส่มือกระซิบบอกที่หูว่า โยมก้อย อาตมาตอนเป็นเด็กเคยโกงค่าเรือจ้างโยม เดือนละ ๓๐ สตางค์จำได้มั๊ย แล้วเอานมโอวัลตินมาด้วย บอกลูกสาวว่าช่วยชงให้โยมด้วย อโหสินะโยมนะ อาตมาเป็นเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แหมบุญของเราเหลือเกินเขาแปลกใจกันว่า พระก็มาหลายวัดแล้วมีแต่มาบอกบุญ องค์นี้แปลกเอาสตางค์มาให้ วันหลังลูกสาวเอาข้าวสารมาให้ที่วัดเรานี่ เรียกว่าบุญงอกได้ คนที่มีจิตดีต้องมีมารต้องใช้หนี้ มีอุปสรรคตลอดเวลากาล คนที่มีความดีต้องมีอุปสรรคแน่นอน ไม่ใช่ดีไปตลอด เราเข้าใจผิดคิดกันว่า เราสร้างกรรมดีเหมือนมีกรรมมาบัง ข้อเท็จจริงก็คือใช้เวรใช้กรรม เป็นความดีแล้ว
ใช้หนี้ค่าเรือจ้างยายนวม
อยู่มาอีก ๒-๓ เดือน อาตมานั่งสมาธิตั้งสติ นึกต่อกันไปได้ว่า เคยโกงค่าเรือจ้างยังอยู่อีกท่าหนึ่ง ชื่อยายนวม อาตมาก็ไปแกก็จะตายเสียอีกแล้วขึ้น ไปกระซิบที่หูบอกโยม อาตมาเมื่อเป็นเด็กเคยโกงค่าเรือโยม อาตมามาขอให้อโหสิกรรมอาตมาด้วยนะ เสร็จแล้วก็ให้ ๒๐๐ บาท พร้อมกับนม โอวัลตินตามเดิม วันหลังเขาทำบุญ ๗ วัน ยังเอาสตางค์มาถวายเราอีก ได้มากว่า ๒๐๐ อีก พอกลับมาได้ ๒ วัน โยมนวมก็ตาย อาตมาก็ได้ใช้หนี้ตลอดนี่มันเป็นบุญเป็นกรรมของเราโดยเฉพาะ
มาตอนหลังมีคนไปผ่าท้องที่สุขศาลาอนามัยชั้น ๑ บางปะอิน ที่ริมน้ำ อาตมาก็ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมเขา
พอดีคืนนั้นอาตมาก็แผ่เมตตาอโหสิกรรม สติบอกอีกแล้วว่าจะต้องไปใช้หนี้เต่า ที่รับจ้างต้ม เต่าตัวละ ๑ บาท ให้พวกขี้เมา ปรากฏว่าเต่ามันมีความสามัคคี ดิ้นเสียจนหม้อดินแตกหนีเข้ากอไผ่ไปหมด ระวังพรุ่งนี้อย่าเอาใครไป อาตมาก็ไปกับคนขับรถปิคอัพ ถ้าไปก็ตายหมดเลย ตายหมดแน่นอน อาตมาก็หาเรื่องเพทุบาย เขาก็โกรธอย่างร้ายแรงว่าไปชวนเขามาแล้วก็ไม่เอาเขาไป อาตมาก็บอกกะคนขับรถว่า ไปเยี่ยมเขานี่เจ้าคอยตั้งเวลาไว้ว่าแค่ ๑๕ นาทีนะ คอยเตือน อาตมาให้รีบกลับด่วน โดยเราคิดแล้วถ้าไม่กลับตามเวลา ๑๕ นาที รถจะคว่ำที่พระนครศรีอยุธยาและเราจะต้องตาย เลยผลสุดท้ายไม่เอาใครไปเลย
พอได้ ๑๕ นาทีก็บอกเจ๊ชื่อศรีนวล ร้านเบ๊เต็กเส็ง อาตมาขอลาละ บอกมีธุระ รีบกลับ ฝนที่อำเภอพรหมฯ มันยังตกอยู่ถนนมันลื่น รถเสียหลักคว่ำ ๘ รอบ ศีรษะโดนทั้งบนทั้งล่าง ล็อคประตูไว้ จีวรขาด รถบี้ ถลอกปอกเปิดหมด ต้องมาปวดแสบปวดร้อนอยู่เป็นเวลาแรมเดือน อาตมาไม่กล้าไปโรงพยาบาลเพราะอายเขา ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัวเลย มันถลอกหมด อันนี้ก็ได้ใช้หนี้เต่าแต่ยังใช้ไม่หมด
ใช้หนี้หักคอนก
ในเวลาต่อมา อาตมาก็นั่งสมาธิ ๖ เดือนเศษที่จะถึงวาระแห่งความตาย ก็มีนิมิตบอกอาตมาให้ทราบว่า พระเดชพระคุณท่าน วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๑ เที่ยงสี่สิบห้าต้องจากวัด ตายไปใช้หนี้นกที่หักคอ วันที่ ๑๖ ตุลาคมออกพรรษา อาตมาก็มานึกดูว่าเราต้องลาเขา ก็ประชุมสงฆ์มอบอัฐบริขาร เสียสละปลงบริขารให้หมด มอบให้องค์อื่น เงินวัดมีเท่าไรมอบให้มัคทายกแล้วก็องค์ไหนจะเป็นสมภารต่อไป
นี่มันรู้ล่วงหน้าได้ มันมีประโยชน์มากนะ คนที่ไม่มาจะทำยังไงเขาจึงจะรู้ได้ ก็เจริญกรรมฐานเดินจงกรม นั่งกรรมฐาน
มีโยมท่านหนึ่งชื่อโยมชาญ กรศรีทิพา เขามีโรงงานน้ำตาลที่สิงห์บุรี เขาก็ฝันว่า รัชกาลที่ ๕ ไปเข้าฝันบอกให้เขามาที่วัดนี้ ก็เลยรู้จักกันเป็นเวลาหลายปี ในเวลาต่อมาอาตมาเห็นว่าคนนี้มีประโยชน์ต่อวัด ถ้าหากเราจะเป็นอะไรไป เราต้องบอกเขาเสียก่อน อันนี้เอาไปใช้ได้เวลาจะแผ่เมตตา กระแสจิตนี่เป็นพลังงานอันหนึ่ง อาตมาพิสูจน์ได้ เช่นเอาผ้าขาวมากอง แล้วเราเอากระดาษสีมาทับแล้วเอาพลังงานกระแสแดดหรือไฟฟ้าส่อง จะทำให้กระแสนี่ไปติดผ้าขาวได้ เหมือนอย่างแผ่ส่วนกุศล ขอให้ท่านทำจิตดี ๆ ติดได้ แต่ก็หาคนทำไม่ได้ง่าย ๆ นัก ต้องทำจิตใจให้ถึงก่อน
ส่งกระแสจิตลาตายกลายเป็นตัวหนังสือ
อาตมาก็เริ่มต้นว่าใกล้วันที่ ๑๔ ตุลาคมแล้ว เราก็มาสวดมนต์ไหว้พระแล้วแผ่เมตตาบอกโยมชาญ ว่าโยมกับอาตมาก็ชอบกันมาหลายปีแล้ว อาตมาขอลานะ วันที่ ๑๔ ตุลาคม อาตมาคอหักแน่ ตายอยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ก็บอกเขาอย่างนั้น ขอลา ในเวลาต่อมาคุณชาญเขาก็ไปทำงานบริษัท ไปนั่งเขียนหนังสือ ไอ้ข้อความที่เราแผ่เมตตาไป ไปติดที่กระดาษเขา ลายมืออาตมาด้วยตามที่เราแผ่เมตตาตรงกับตัวหนังสือ
ครั้นถึงวันที่ ๑๔ ตุลาคม เที่ยงสี่สิบห้านาที อาตมาก็จำเป็นต้องไปประชุมที่วัดกวิศราราม จังหวัดลพบุรีในวันนั้นด้วย รู้แล้วว่าวันนี้เราไม่ได้กลับวัดแน่นอนตามที่เรามีสติรู้ล่วงหน้า ๖ เดือน ว่าเราต้องใช้หนี้นก จะใช้อย่างไรกันแน่ คงจะไม่ได้กลับ มอบหมายการงานเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นรถเที่ยงกว่าแล้ว แซงซ้ายรถทัวร์ทันจิตออกจากปั๊มน้ำมันวิ่งเข้าชนทันที อาตมาไหล่ชนเหล็กหักไปเลย แล้วกระจกครูดเอาหนังหัวไปอยู่ตรงท้ายทอยหมด หัวขาวเลย คอพับไปที่หน้าอก หมุนได้เลยเลือดเต็มจมูก กระจกมันบาด อาตมาก็บินออกไปแบบนก ออกห่างรถไปประมาณ ๒๐ วา
แต่เดชะบุญว่ามือดีอยู่มือนึงจับขึ้นมา อาตมาก็ลองคลำว่าเราคอหักไปหรือนี่ตาไม่สัมผัส หูไม่สัมผัส ตายหมดแล้วทั้งตัว แต่มือดีสติดี แต่กลับไปหายใจได้ที่ท้อง พองหนอ ยุบหนอ ใช้ได้นะ ใครอยากจะรู้ว่าสะดือหายใจได้ลองไปคอหักดูนะ คนขับก็สลบ อาตมายังพูดได้เพราะสติดีอยู่ที่ลิ้นปี่จำไว้ แล้วหายใจทางสะดือได้ ทำไมหายใจได้ นึกถึงในท้องได้ที่เราอยู่ในท้องแม่กินอาหารทางสะดือแน่นอน หายใจได้ พองหนอ ยุบหนอ ตลอดเวลาเลย ได้ตำราเพิ่มขึ้น แต่ต้องทำได้ก่อนนะต้องมาฝึกกันให้รู้สติ ตื่นมีสติ หลับมีสติ รู้แน่ อาตมาก็พูดว่าโยมช่วยอุ้มหน่อย ไอ้พวกที่ไปมุงดูกันก็ไม่ยอมอุ้ม หัวเละแต่ยังพูดได้ ที่เข้าใจว่าหัวเละเพราะหนังไม่มี จนตำรวจทางหลวงมาบอกว่าไม่ตาย ถ้าตำรวจไม่มาเราก็คงจะจมอยู่ตรงนั้น
กรรมต้มเต่ามาซ้ำ
พอดีตรงนั้นเขาทำอิฐ เถ้าแก่เขาก็ขับรถมา อาตมามือยังดีอยู่อกข้างก็เสยค้างไว้ พอรถแล่นถึงวิทยาลัยเกษตร ได้ยินเสียงแว่วแผ่วมาแต่ไกล เสียงดังนี้ สมน้ำหน้า ๆ ได้ยินมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวต้องซ้ำ ๆ คอหักแล้วยังไม่สงสารจะมาซ้ำ สักประเดี๋ยวเห็นเต่า พอเห็นเต่าเท่านั้นแหละฝาหม้อน้ำรถอยู่ตรงนั้นหลุดพรวด ลวกเอาเราคนเดียว ตายจริงเปียกหมดเลย ไอ้แขนยังดีอยู่ก็ร้อนนะซิ รถไปถึงโรงพยาบาลน้ำแห้งพอดีหมดพอดีเลย
อาตมาก็ขออธิษฐานว่า ข้าพเจ้าขอให้ไปสบาย รู้แล้วเข้าใจแล้ว ขออโหสิกรรมทุกอย่างกับโลกมนุษย์ ในเมื่อข้าพเจ้ายังใช้หนี้ในโลกมนุษย์ไม่หมดขอให้ข้าพเจ้าไปใช้ในชาติต่อไป ประการที่ ๒ ถ้าข้าพเจ้าใช้หนี้ในโลกมนุษย์หมดแล้ว อย่าได้ทรมานต่อไป อธิษฐาน ๒ ข้อ
นายแพทย์ใหญ่หมอสมหมาย ก็เอาเข้าห้องฉายเอ๊กซเรย์ เขาพูดกันได้ยินแว่ว ๆ บอกไม่มีทางหมอใหญ่บอกไม่มีทาง หมอใหญ่สั่งให้อาตมานอนตรง ๆ บนรถ ซึ่งมีลูกล้อเล็ก ๆ ให้บุรุษพยาบาลเอาเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. โดยด่วน จัดการเย็บหนังที่มันถลกไปนี่ก่อน
อาตมาก็อธิษฐานไปเรื่อย ๆ มือดียังมีอยู่อีกมือหนึ่ง นอกนั้นตายหมดแล้ว แต่ยังหายใจได้ที่ท้องพองหนอ ยุบหนอตลอด ก็แบ่งวาระบุรุษพยาบาล ๒ คนก็ไสรถเต็มที่ รถก็เกิดตกร่องประตูเหล็ก โครม! ล้อพังหมดแพทย์อีกคนบอกตายเสียแล้วละมังหว่า เปล่าเลย คอลั่นกร๊วบเข้าที่เลย คือติดเลย ลืมตาเห็นเลย หายใจไม่ออก พอคอติด ปวดก้นแทบหลุด เลยทำให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีก ๒ ข้อ ได้ความรู้ยังไง หมายความว่าถูกจุดประสาท ประสาทคอกับประสาทก้นเป็นเส้นเดียวกัน นางพยาบาลหมอ ก็ให้เราลองบีบมือ หากว่าเราจะไม่มีแรง อันนี้ก็เป็นบุญวาสนา
พอรุ่งเช้า คุณชาญมา ถือหนังสือโทรจิตมาด้วย บอกนี่ท่านทำไมต้องเขียนหนังสือมาวันก่อนผมไปพบ ท่านทำไมไม่บอกผม ทำไมต้องเขียนหนังสือฝากเขาไป อาตมาบอกเปล่าว่าไม่ได้เขียน เขาว่านี่ไงละลายมือท่าน!
เขาลือกันว่า อาตมาคอหักไม่ตาย พอกลับมาวัดได้ อาตมาก็คุยทั้งวัน เพราะมีคนมาเยี่ยมมากมาย หมอประดิษฐ์ก็สั่งมาบอกว่า อย่าให้คุยมาก คุยมากแล้วแผลจะหายช้า ให้ฉันยานอนหลับก็นอนไม่หลับ ฉีดยานอนหลับก็ไม่หลับ จนนางพยาบาลว่า หลวงพ่อสู้ยา หมอประดิษฐ์รู้ก็ออกอุบายว่า จะถอดเฝือกให้ พอตัดเฝือกออกก็เลยเป็นลมครั้นพอพักสักประเดี๋ยว หมอบอกหลวงพ่อเดี๋ยวใส่ใหม่ ผมหลอกท่านมาไม่งั้นท่านไม่มาเลยใส่ใหม่ อ้าปากไม่ออกเป็นฤาษีเลย
เปรตปากเท่ารูเข็ม
พอกลับไปถึงสิงห์บุรี เราก็จะแย่อ้าปากไม่ขึ้น ผลสุดท้ายก็หิวน้ำเหลือเกิน กินไม่ได้ต้องหยอดด้วยหลอดกาแฟ ต้องดูด ดูดก็ไม่เข้า เวลาฉันเช้าก็ใส่เข้าไปข้าง ๆ เลยมานึกในใจ นึกถึงยายได้ เจ้าต้องเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม กินอะไรไม่ได้จริง ๆ ตั้ง ๕๐ วัน นอกเหนือจากกินไม่ได้แล้ว พูดไม่ได้ด้วย จะกินอะไรก็ต้องป้อนเราต้องมาทรมานเป็นเปรต ก็เลยนึกถึงคำยายว่าต้องเป็นเปรตเพราะไปกินข้าวที่ให้ไปถวายพระ
หลังจากที่อาตมากลับจากโรงพยาบาลแล้ว ๕๐ วันเท่านั้น กลับมานึกในใจว่า เราต้องใช้หนี้โลกมนุษย์ก็เริ่มถมดินรอบวัด ก็เริ่มสร้างหอประชุมนี้เพื่อจะอบรมต่อไป ตั้งใจไว้อย่างนั้น ต้องใช้หนี้โลกมนุษย์ด้วยการเผยแผ่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ในครั้งสุดท้าย นายชาญ กรศรีทิพา กับนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ ทั้งสองท่านนี้ก็มาทำบุญรับขวัญให้อาตมา แล้วนำเอากระดาษที่มีตัวหนังสือมาด้วย แกก็เอากระดาษออกมาว่าจะเอามาอ่านให้เขาฟัง ปรากฏว่าตัวหนังสือไม่มี มีแต่กระดาษเปล่า เดี๋ยวนี้ก็ยังเก็บใส่กรอบไว้ดูเป็นที่ระลึก
-ปลาดุกย่างเป็นเหตุ
เฮ้อ! ราย นี้อาการหนักมาก ความจริงดวงชะตาจะขาดอยู่แล้วตั้งแต่เดือนก่อนโน้น มีคนจะมาดักยิงที่บ้านพักแต่ยิงไม่ได้ เพราะที่นั่นมีพระภูมิเจ้าที่แรง ท่านคอยคุ้มกันทำให้คนที่ไปดักยิงมันมองไม่เห็นตัว มันเลยยิงไม่ได้ ความจริงมันไปเฝ้าอยู่นอกรั้วบ้านหลายวัน ไม่มีโอกาสเห็นตัวโยมคนนี้ มันเลยเลิกล้มความตั้งใจ มิฉะนั้นดวงชะตาขาดไปแล้ว ยังมีหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เป็นพระเก่าแก่ซึ่งแขวนอยู่ที่คอคอยคุ้มกันอยู่อีก องค์หนึ่ง ทำให้คนคิดร้ายทำอันตรายได้ยาก แต่ระยะนี้พ้นเคราะห์เหล่านั้นมาแล้วคงไม่เป็นไร หมั่นทำบุญสุนทานมาก ๆ หน่อย ปล่อยสัตว์มีชีวิตเช่น นก ปลา มาก ๆ ก็จะดี หลวงพ่ออธิบาย
ใช่ครับ ผมรู้ว่าตัวเองกำลังมีเคราะห์ ดวงไม่ดีก็พยายามปล่อยนกปล่อยปลามาตั้งแต่ปีที่แล้ว การปล่อยนกปล่อยปลาเป็นการช่วยชีวิตสัตว์ ไม่เห็นจะผิดบาปอะไรนี่ครับหลวงพ่อ
ถ้าเพียงเอาไปปล่อยนอกจากไม่บาปแล้ว ยังได้บุญอีกด้วย แต่เรื่องนี้มันไม่ยุติเท่านั้น มันยังมีเรื่องยืดเยื้อต่อมาอีกนะซี พูดจบหลวงพ่อถอนหายใจใหญ่ ยืดเยื้อยังไงครับ
คือหลังจากเอาเขาไปปล่อยแล้วโยมก็ไปจับเขามากินอีกนะซี ตอนนี้แหละที่บาปหนัก จวนจะแก้ไม่ตกอยู่แล้วรู้ไหม เท่ากับเราอธิษฐานเมื่อเวลาจะปล่อยเขาลงน้ำว่าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เราปล่อยชีวิตเจ้าแล้ว เราช่วยชีวิตเจ้าให้ยั่งยืนต่อไปแล้ว เจ้าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เจ้าเวรนายกรรมขอให้มารับส่วนกุศลในการปล่อยชีวิตในครั้งนี้ด้วย
เสร็จแล้วหลังจากนั้นไม่นานโยมก็ไปจับเขามากินอีก เท่ากับกลับคำสัตย์ อธิษฐานที่ให้ไว้แก่เจ้าเวรนายกรรม ทำให้เจ้าเวรนายกรรมเขาโกรธมาก เขาจึงอาฆาตพยาบาท โยมจึงต้องรับเคราะห์กรรมอยู่ขณะนี้ยังไงล่ะ นี่แหละที่อาตมาว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ อาตมาดูคนมาแยะ ๆ หลายต่อหลายคนไม่เคยพบเห็นเรื่องอย่างนี้เลย
ข้าพเจ้าบอกหลวงพ่อเรื่องนี้ไม่จริง ข้าพเจ้าปล่อยนกปล่อยปลาเมื่อปีกลายจริง แต่เมื่อปล่อยลงน้ำลงคลองแล้วก็แล้วกันไม่เคยไปตามจับมากินอีก
อาตมาไม่ได้ว่าโยมตั้งใจจะจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์มากิน แต่อาตมาหมายความว่า โยมกินปลาที่โยมสะเดาะเคราะห์เข้าไป จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อาตมาไม่ทราบเหมือนกัน แต่สรุปว่าโยมกินเขาเข้าไปแน่ ๆ โดยปราศจากข้อสงสัย ลองไปนึกทบทวนดูให้ดีเถิด
ปีกลายนี้ผมก็วิดบ่อหนหนึ่งแล้ว ตอนนั้นท่านยังเป็นผู้ว่าอยู่ ผมยังเอาปลาไปให้ท่านกินตั้งหลายตัว ท่านคงจะจำได้ตอนนั้นมีทั้งปลาดุก ปลาช่อน และปลาหมอ ท่านยังบอกว่าปลาดุกย่างอร่อยดี ตายแล้ว ถ้าอย่างงั้นก็คงเป็นปลาดุกที่ผมเอามาปล่อยตอนที่ย้ายมาเป็นผู้ว่าใหม่ ๆ ละซี ปล่อยเขาแล้วเอาเขามากินอีก ยิ่งบาปกรรมหนักยิ่งขึ้น แล้วนี่ผมจะทำยังไงดี ข้าพเจ้าบอกโกสุมด้วยความกังวลใจ
แฮ่ะ แฮ่ะ ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง เพราะเห็นว่ามันเนื้อเหลือง ๆ ตัวโต ๆ ก็คิดว่าท่านคงชอบ ผมเองก็ไม่ทราบว่าท่านเอามาปล่อยไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กินเข้าไปแล้วก็แล้วกันเถอะครับ เมื่อเราไม่เจตนาก็คงจะไม่บาปมากนัก เขากล่าวปลอบใจข้าพเจ้า
ไม่บาปกะผีอะไร หลวงพ่อท่านว่าแบบนี้บาปหนักมาก ต้องรับเคราะห์กรรมไปอีกนาน
-พิกุลเทพสถิต
บ้านไหนสวดมนต์ไหว้พระ เอาใจใส่สวดมนต์ดีทั้งครอบครัว บ้านนั้นจะมีเทวดาเข้าไปสวดมนต์ สวดอะไร มหาเมตตาใหญ่ บทใหญ่เลยเมตตาประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข เทวดาบอกว่า ถ้าบ้านใครนะ มีเครื่องบูชาพระพุทธรูป สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำเทวดาจะไปสิงสถิต
เทวดาพาลเป็นพวกชอบกินของสังเวย เวลาโจรจะปล้น จะต้องมีบวงสรวงมีหัวหมูไป เทวดาพวกนี้ชอบเข้าข้างพวกโจร
บอกคนเรามีเทวดาประจำวันเกิดทุกคน เทวดาวันเกิดออกไปเมื่อไรนะ เทวดาใหม่ยังไม่มา มักจะตาย
เทวดาก็จะไปสวดมนต์ตามบ้านเวลาตี ๑๒ แน่นอน เทวดายังบอกต่อไปว่า บ้านไหนเครื่องบูชาพระไม่สะอาด แล้วหน้าโต๊ะหมู่พระ คนนอนเกะกะอยู่ เทวดาจะไม่เข้าไปในนั้นแน่นอน บ้านไหนหมั่นสวดมนต์ เทวดาจะสวดมนต์ให้พรทุกคืน
เล่ม๒
- แม่กาหลง
คิดถึงดูว่าเหตุการณ์วันข้างหน้า วัดอัมพวันจะเจริญก้าวหน้าได้ จะต้องตั้งโรงครัว อาหารเป็นเรื่องสำคัญ บางทีแขกมาวัดไม่มีอาหารให้รับประทาน เพราะเป็นวัดที่อยู่ทุรกันดาร ป่าดงพงไพรมากมาย มีท่าน้ำเรือแล่นไปมาในลำแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นต้น
จะต้องหาบ้านสักหลังหนึ่ง เป็นบ้านของนายอำเภอเก่า ร้างไม่มีใครอยู่ บ้านหลังนี้หาคนซื้อยาก เพราะเหตุใดไม่ทราบ ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะขาย ๕,๐๐๐ บาท ถ้าท่านต้องการจะเอาไปวัดอัมพวัน ก็ยินดีจะขายให้ในราคา ๓,๐๐๐ บาท อาตมารู้สึกดีใจมาก แหมพอเหมาะกับเงินที่เรามีอยู่ที่ได้ตั้งใจไว้ นี่พี่น้องทุกคนที่อยู่บ้านนี้ เจ้าของบ้านก็ดีนะ ที่อยู่ที่นี่น่ะมาอยู่ทำไมเล่า ไปอยู่ด้วยกันนะ ไปอยู่วัดอัมพวันไปเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่วัดอัมพวันกันดีกว่านะ จะมาหลงอยู่ที่นี่ทำไมอยู่ในอบายเป็นเปตวิสัยไม่ดีแน่ ช่วยกันรื้อช่วยปลูกด้วยนะอาตมาจะเอาไปปลูกเป็นโรงครัว เพื่อทำอาหารถวายพระภิกษุสงฆ์องค์เณร และช่วยเลี้ยงพุทธศาสนิกชนที่มาวัด ให้ได้รับความสะดวกในการบำเพ็ญกุศลของเขาต่อไป ก็รู้สึกสงบดีบ้านก็นิ่งเรือนที่โยนไปโยนมาหยุดทันที ก็เป็นเรื่องประหลาด
รุ่งขึ้นเช้าเริ่มปลูกเสร็จในวันเดียว มันก็เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน ก็เริ่มต้นด้วยคุณป้าหมากดิบ ภรรยาของท่านอดีตปลัดอำเภอเป็นผู้มีพระคุณต่ออาตมามาก อาตมาเคยไปอาศัยเรียนหนังสือพักอยู่บ้านคุณป้า ในเวลากาลต่อมา อาตมาอุปสมบทแล้ว ก็ไม่เคยเจอคุณป้าเลย ไปพบเป็นชีอยู่ที่อำเภออินทร์บุรี อาตมาก็บอก แม่ชีป้าหมากดิบ มาอยู่ทำไมที่นี่เล่า คุณป้าตอบว่า บวชชี บ้านช่องหมดแล้ว เขาโกงหมด หมดเนื้อประดาตัวหมดแล้ว นี่อาตมานึกถึงพระคุณที่ได้หุงข้าวให้อาตมาไปโรงเรียนยังไม่ลืมพระคุณอันนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกัน แต่เป็นผู้อุปการคุณ จึงบอกคุณป้าไปอยู่ด้วยกันเถอะ อาตมาจะรับเลี้ยงจนกระทั่งชีวิตหาไม่ คุณป้าก็มาอยู่จึงได้อยู่เรือนที่ปลูกนี้ อาศัยเฝ้าบ้าง ไปเหนือมาใต้ คุณป้ามีลูกหลานมาก ก็ไม่ค่อยจะอยู่วัด
ถึงเวลาญาติโยมก็มาช่วยกันทำครัว ทำครัวแล้วก็กลับบ้าน ไม่มีใครเฝ้าหมู กะปิ หัวหอม กระเทียม ก็เก็บไว้ในที่กุฏิโรงครัวนี้ที่ได้ซื้อมา มีภรรยาภารโรง วันหนึ่งแม่บุญชูเวลากลับบ้าน ก็หอบหอมกระเทียมไปบ้าง หมูเหลือ ปลาเหลือ จากทำถวายพระก็เอาไป หอมกระเทียมก็เอาไป
วันหนึ่งเกิดอัศจรรย์ดลบันดาล ผีเข้าแม่บุญชู พวกเรานี่บาปกรรมเหลือเกินนะนี่ เราบาปมาแล้วต้องเป็นเปรตอยู่ที่บ้านหลังนี้มา เรามากับบ้านหลังนี้ หลวงพ่อวัดอัมพวันเชิญมา ให้มานั่งเจริญวิปัสสนาที่วัดนี้เราก็ตามมา และช่วยท่านดูแลโรงครัวด้วย เราดูไม่ได้เลย ดูมาหลายวันแล้ว พวกเราทำครัวแล้วก็เม้มของวัด เอากะปิหอมกระเทียมติดไปบ้าน เอาปลาติดไปบ้านทุกวัน เราทนดูอยู่ไม่ได้จึงมาบอกเล่าเจ้า อย่าเอาไปนะจะเป็นเปรต เราเคยเป็นเปรตในบ้านหลังนี้มาแล้ว "
เพราะเราได้ผลกรรม ของเปรตผูกใจ อำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ มันเกิดขึ้นในจิตผูกพัน สามีของเราเจ้าชู้มาก ชอบเที่ยวผู้หญิงยิงเรือมาก สามีของเราก็เจ้าชู้ตอนที่ข้าพเจ้าจะตายวิญญาณออกจากร่างไป ข้าพเจ้ามีอำนาจโลภะห่วงใยสมบัติ ห่วงใยสามีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตายแล้ว วิญญาณจึงต้องอยู่ที่นี่ คือเรือนหลังนี้ ก็เป็นเปรต
แต่เราก็โชคดีเหลือเกิน ท่านไปซื้อบ้านหลังนี้มา ท่านก็บอกกับเราว่า อย่ามาอยู่บ้านหลังนี้เลย อย่ามาเฝ้าอยู่นี้เลยเปรตเอ๋ย แต่ท่านก็ไม่ทราบว่าเรานั่งอยู่ใกล้ ๆ ท่าน ที่บ้านหลังนั้นนั่นเอง ก็ตามบ้านนี้มา ช่วยท่านรื้อช่วยปลูกเสร็จ นี่เราเป็นเปรต ท่านทั้งหลายอย่าเป็นเปรตอย่างเราเลย มานั่งเจริญกรรมฐานกันเถิด ได้ความว่าชื่อ กาหลง
และก็ผีแม่กาหลงบอกกับแม่ครัวว่า พวกเรานะมาทำครัวกันเฉย ๆ น่าจะนั่งสวดมนต์ไหว้พระเจริญกรรมฐานบ้างไม่มีเลย ทำแต่ครัวอย่างเดียว เจ้าก็ได้แต่ครัวไป กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาทางวัดไม่มีเลย นี่ไม่สามารถจะปิดประตูอบายได้
โยมพิน เจ้าของบ้านนี้ชื่อ กาหลงจริงไหม ผีจริงไหม โยมพินหัวเราะก้ากเลย มีเจ้าค่ะ อยู่ที่บ้านนั่นเป็นไข้ตาย กาฬขึ้นผุดกาย แต่ฉันไม่ได้บอกท่านเองแหละ เดี๋ยวท่านจะไม่ซื้อบ้าน เวลากาลต่อมา แม่กาหลงก็แสดงอภินิหารเรื่อย ๆ มีคนมานั่งกรรมฐาน แกก็มานั่งด้วย แสดงภาพออกมาเป็นรูปธรรมเป็นรูปเห็นชัดแล้วพูดได้ด้วย อาตมาขอยืนยันว่า
ผีก็เจริญกรรมฐานได้ ไม่จำต้องเป็นคน คนยังไม่สนใจ แต่ผีสนใจก็เป็นที่น่าอนุโมทนาก็เจริญวิปัสสนากรรมฐาน จิตมุ่งมาดปรารถนาเข้าสู่ภาวะกลับกลายจากเปรตกลายเป็นเทพธิดาได้ ไม่มีการปฏิสนธิในครรภ์แต่ประการใด เป็นอภินิหารของโอปปาติกะ ที่สร้างคุณงามความดี เกิดเป็นเทวดาก็ได้ เกิดเป็นเทพก็ได้ เป็นได้หลายอย่างโดยอภินิหารของบุญกุศลที่ตนได้สร้างมา นี่เป็นเรื่องการพัฒนาจิตของแม่กาหลง
ถ้าหากว่าเป็นหญิงใจเคียดแค้นกับสามี อาฆาตผูกพยาบาท ตายไปต้องเป็นผีดิบ จะไปกินเลือดของผู้ชายเรียกว่าผีดิบ ตายไปแล้วไปฝังแล้วไม่เน่า ขนงอกได้คิ้วงอกได้ เล็บงอกได้ทำนองนี้ แต่เราจะทำลายผีดิบก็ต้องเอาไปเผาเสีย
บางทีพ่อแม่ตาย ปู่ย่าตายายตาย บางคนบอกไม่ฝันเห็นเลย ไม่มีวี่แววเลย อย่างนี้ก็ทำบุญกันใหญ่ ข้อเท็จจริงไม่ใช่ ถ้าเห็น พ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว มาเห็นวอบ ๆ แวบ ๆ มาเห็นอยู่เสมอ นั่นแหละไม่ดีหรอกเป็นเปรตประจำบ้าน ด้วยอำนาจโลภะของคนที่ตาย ห่วงใยลูกหลาน ห่วงใยทรัพย์สมบัติ ตายแล้วอยู่ที่นั่น ไม่มีทางไปที่อื่นแล้ว เกาะอยู่ที่นั่น
อย่าไปเชื่อผีเจ้าเข้าทรง รัตนตรัยเป็นที่พึ่งทางใจ เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเรา หมายความว่า พึ่งตัวเอง สอนตัวเอง นี่แหละรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้ สามารถเป็นเกราะเพชรป้องกันตัวได้ อันตรายจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเรามีรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ
ผีช่วยงานได้ช่วยอย่างไร วันหนึ่งจำวันที่ไม่ได้ มีข้าราชการเจ้าหน้าที่มาตรวจเงินแผ่นดินตามจังหวัดอำเภอต่าง ๆ มาพักวัดอัมพวัน อาตมาออกจากโบสถ์ดึกไป ก็มาดูเด็กของเรา ไม่มีใครอยู่เลย อีกคนหนึ่งบอกว่าหลวงพ่อเขาหนีไปดูมหรสพหมดแล้วทางจังหวัดสิงห์เขามีงานกัน
แต่ข้าราชการเจ้าหน้าที่ที่พักวัดก็กลับบอกว่า หลวงพ่อไม่ต้องห่วงเขาเลี้ยงอย่างดีเลย อาหารอร่อยมากวันนี้น่ะ อาตมาถามข้าราชการที่มาพัก ขอเจริญพรใครมาเลี้ยงคุณมีอะไรบ้าง เขาบอกยำเล็กยำใหญ่ แหม อาหารอร่อยมีกาแฟ โอวัลติน มีหลายอย่างเจ้าค่ะ เอ๊ะอาตมาก็นึกสงสัยว่าเด็กเราไม่อยู่ใครมาเลี้ยง ถามเขาว่า ใครมาเลี้ยงคุณหรือ เขาก็ตอบว่า รูปร่างสวย เป็นผู้หญิงผมยาว ลักษณะดำขำเอาอาหารให้ดิฉันรับประทานกันและมีกาแฟเรียบร้อย เขาก็ยิ้มตลอดรายการ เขาบอกไม่ต้องห่วง ยินดีต้อนรับเพราะเป็นแขกของหลวงพ่อที่วัดนี้ มาไม่ให้อดอยากปากแห้ง ขาดตกบกพร่องประการใดให้อภัยด้วย เขาก็กลับพูดอย่างนี้ ก็ไม่ทราบว่าใคร หลังจากนั้นเวลากาลผ่านมา เจ้าหน้าที่ที่มาพัก ไม่เคยมาอีกเลยจนทุกวันนี้ หายหน้าไปเลยก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เขาก็ส่ายหน้าไปตาม ๆ กัน บอกเอ๊ ไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพ่อเลยนะ ขอดูตัวแล้ว ไม่มีใครแม้แต่คน ก็โดนกันหลายรายอย่างนี้น่ะ
อันนี้จะค้นเดาเอาเห็นจะไม่ยาก ส่วนใหญ่แม่กาหลงไปบริการหลายแห่ง และเขาก็เล่าอีกอย่างหนึ่ง ก่อนจะมาบริการได้กลิ่นหอมดอกไม้ หอมดอกมะลิ คล้ายดอกกุหลาบ อะไรทำนองนี้ แล้วก็จะโผล่ออกมา
[ เรื่องเล่า อาจารย์ยอด (ต้นฉบับ) ] : ผีแม่กาหลง
https://www.youtube.com/watch?v=9FrA0rYGHtk
-วิญญาณรายงานตัว
พอตายแล้วนายวิโรจน์เล่าว่า เขาตั้งสติของเขาดี เขาออกมายืนพิจารณาสังขารของเขา
อาตมาก็ถามว่า พอตั้งศพแล้ววิญญาณไม่อยู่ตรงนั้นเหรอ เขาบอกว่า ไม่อยู่ บางทีเราก็เคาะโลงบอกว่า แม่ออกมาพระจะสวด แม่ทานอาหารเสีย ก็เคาะกันไป ดีเหมือนกัน กตัญญูรู้พระคุณ แต่ที่จริงแล้ววิญญาณออกมาหาได้อยู่ที่เรือนร่าง ไม่หรอกความจริงเป็นอย่างนี้
จิตนี้จะไปไม่ติดไฟแดง ไม่มีเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาถึงเลย อย่างโยมนั่งหลับตานึกถึงบ้านถึงเลย นึกถึงที่นอนเราถึงเลย นึกถึงครัวก็ถึงเลย เหมือนอย่างโยมนั่งพักอยู่ที่นี่ จะไปที่หอฉันรับประทานอาหาร มันจะเลี้ยวตรงนี้หยุดตรงโน้นไม่ได้ มันจะถึงเลย นั่งเก้าอี้ตรงไหน ก็ถึงตรงนั้น มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ
ผมขับมอเตอร์ไซค์เอาแฟนซ้อนท้าย ไปถูกรถชนและตายแล้ว.... อาตมาขอแทรกตรงนี้ ที่บอกว่าตายอยู่กลางถนนรถชน แล้ววิญญาณอยู่ตรงนั้น ไม่จริงเสมอไป คนที่จะอยู่เฝ้าตามถนนหนทาง คือพวกสัมภเวสี ไม่มีสติ คนที่ไม่ได้ฝึกอะไรไว้ ตายที่ไหนแล้วมักจะหาที่อยู่ไม่ได้ ไม่ได้สร้างบุญกุศลไว้ เรียกว่าสัมภเวสี ตัวตายด้วยอำนาจโลภะเป็นเปรต อสุรกาย ถ้าตายด้วยอำนาจโทสะ ส่วนมากเป็นโยมผู้หญิงเคียดแค้นกับสามีเรื่องชู้สาวเป็นผีดิบ ไปเที่ยวกินเลือดผู้ชาย สำหรับอสุรกายตายด้วยอำนาจโลภะ มันจึงจะเป็นสัมภเวสี มันจึงจะเฝ้าที่
ยกตัวอย่างค่ายบางระจัน นายจัน หนวดเขี้ยว ขุนสรรค์ พันเรือง เป็นต้น อย่าลืมนะที่ค่ายบางระจัน ตายด้วยอำนาจโทสะ กำลังรบพุ่งชิงชัย กำลังมีอำนาจโทสะต่อต้านกันเลยล้มหายตายเฮี้ยนมาก เมื่อสมัยก่อนนั้น ใครจะไปเอาไม้แดงที่วัดโพธิ์เก้าต้นไม่ได้นะ และน้ำสระหลวงพ่ออาจารย์ธรรมโชติ ใครจะไปตักไม่ได้ เอาไปใส่กา การะเบิดเลย และอีกดอกจันเก้าตรา ใครไปเอาต้องเอาไปคืน อาตมาก็เคยไปเอาแต่ไม่คืน เพราะอาตมาพูดกันรู้เรื่อง
ผมได้ตายแล้ว พระนั่งเลย เอาไม้กวาดวางพอได้ยินเสียง ผมได้ตายแล้ว ก็นั่งกัน ก็ดู เอ! ผีก็ไม่ใช่ ทำไมไม่ใช่ผี โยมอย่าเข้าใจผิดนะ ถ้าตาโบ๋แล้วมีมือใหญ่ ๆ นะเป็นผีโทรทัศน์ มาอยู่ในวัดนี้ไม่ต้องกลัวผีตาโบ๋ อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผีมั่งเหมือนกัน
เอ้า งั้นพักตามใจชอบเถอะ ก็ชี้กุฏิไป เขาก็กราบ ๓ หน กราบเสร็จแล้ว ก็เอาเป้สะพายเดินออกไป เดินลอยไปบนพรมเลย เหนือพรม ๑ นิ้ว ไม่ถึงพื้น ที่น่าสังเกตคือ ตาคว่ำ แววตาไม่มี สังเกตง่าย ๆ ตาไม่มองตาเรา ยิ้มแห้ง ก้มมองพื้นเรื่อยเลย
นายวิโรจน์เขาได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมแล้ว สติเขาจึงดี อาตมาก็ถามเขาที่เขามานี้ว่า ปวดมากไหม เขาบอกว่า หลวงพ่อ แวบเดียวผมไม่รู้เรื่องเลย และผมก็มายืนอยู่อย่างนี้แหละครับ
การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี่ไม่เฉพาะแต่มนุษย์ ผีก็เจริญได้ ยกตัวอย่างแม่กาหลง มาเจริญกรรมฐานที่วัด เดี๋ยวนี้ยังอยู่ด้วยนะ เขานึกจากคำว่า เปรต เป็น เทพ ได้เป็น เทพธิดา ได้ทันทีไม่มีการปฏิสนธิ อยู่ที่วัดนี้
เวลาประมาณเที่ยงคืน ขณะที่หลวงพ่อกำลังกล่าวปัจฉิมนิเทศปิดการอบรมและอนุโมทนา แผ่กุศลแก่ภูตผีปีศาจเจ้ากรรมนายเวรและผู้มีพระคุณ ขณะนั้นก็มีเสียงหมาหอน รอบอาคารหอประชุม หลวงพ่อกล่าวว่า บัดนี้ภูตผีปีศาจทั้งหลายได้มารับส่วนบุญส่วนกุศลแล้ว เขามาอยู่รอบ ๆ หอประชุม วิโรจน์ก็มาด้วย เขายืนอยู่ข้างหลังประตู เสียงหมาหอนดังมาก ไม่มีใครกล้าหันไปดูทั้งที่ประตูหรือหน้าต่าง เมื่อหลวงพ่อพูดว่า บัดนี้ภูตผีปีศาจเขากลับไปกันหมดแล้ว บัดนั้นเสียงหมาหอนก็เงียบลงทันทีราวกับปิดเครื่องเสียง
- ปาฏิหาริย์คุณนายละม้าย
มีสติตัวเดียวสามารถทำอะไรได้ทั้งหมด
ในกาลต่อมา พอลูกเข้างานได้บ้าง เรียนจบหลักสูตรบ้าง ยังเข้างานไม่ได้ คุณนายละม้ายก็เกิดมามีกรรม เป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ อาเจียนเป็นโลหิต ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดตลอดมา หมอบอกตายเดือนนี้แน่ ไม่ต้องผ่าตัด คุณนายยังอยู่เรื่อยมาเพราะแกสวดพุทธคุณ และตั้งสติในสติปัฏฐาน ๔ ไว้มั่น
ผึ้งรักษาโรค
ในเวลากาลต่อมาเกิดมีอภินิหาร มีผึ้งมาเกาะที่บ้านรังใหญ่มาก แม่จะขออธิษฐานจิตลูกเอ๋ย แม่จะแผ่เมตตานะลูกนะ ไหน ๆ แม่ ก็ยังไม่ตายตอนนี้หรอก แต่มันปวดรวดร้าวแทบจะทนไม่ไหว แล้วก็สอนลูกว่าเวทนานี้มันเป็นเวทนาภายนอก แต่มันมีความเจ็บปวดร้าวเข้าไปถึงจิตใจ แต่เราต้องตั้งสติไว้ แม่จะขออโหสิกรรมหมด อย่าได้มีเวรมีกรรมกับใครเขา แกก็สอนลูกไปในตัว อย่าไปผูกพยาบาทต่อใครเขา เดี๋ยวกรวดน้ำไม่ถึงอุทิศส่วนกุศลให้ไป
บอกลูกเสร็จ แล้วตั้งสติอธิษฐานจิตพูดกับผึ้งว่า จงมาช่วยดูดพิษมะเร็งให้ข้าหน่อย พอคุณนายพูดจบผึ้งฝูงนั้นก็พากันบินมาเกาะที่ท้องดูดพิษมะเร็งให้แล้วก็ร่วงลงมาตายอยู่บนพื้นเรือนเป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง เป็นเวลานานร่วมปี อุจจาระและที่อาเจียนเป็นเลือดหายไป นี่อำนาจของสติปัฏฐาน ๔ ทำให้เกิดเมตตา ถ้าใครเจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้ขั้น ๑ ไม่ต้องไปพูดเรื่องยา ขั้น ๑ ได้เมื่อไรคนนั้นมีเมตตาสูง เมตตาเกิดเอง ทาน ศีล และภาวนาไม่ต้องไปตักบาตรทำบุญเสียก่อน ถ้าใครเข้าใจเจริญสติปัฏฐาน ๔ ได้ อันดับหนึ่งมาแล้ว ทานเกิดเมตตาสงสารสัตว์ สัตว์จะไม่ทำร้าย เกิดขึ้นในจิตใจ จะไม่ริษยาใคร จะไม่ผูกพยาบาทใครต่อใครอีกแล้ว เกิดเมตตามาอันดับหนึ่ง
งูดูดพิษร้าย
วาระที่ ๒ เป็นเรื่องอัศจรรย์สำคัญยิ่ง มีงูเห่าหม้อ เกิดเลื้อยมา ตอนนั้นแม่ละม้ายแกเจ็บหนักปีที่ ๒ ปีที่หนึ่งนี่ผึ้งมาช่วย เหมือนอย่างพระธุดงค์เสือจะกินก็ไม่กิน ช้างจะทำลายก็ทำไม่ได้ เพราะอำนาจเมตตาของพระพุทธเจ้ามีอยู่ในจิตใจ คือสตินั่นเอง ถ้าหากว่าใครเจริญได้เมตตามาก่อนเป็นอันดับหนึ่งคือทาน เสียสละได้ด้วยความจริงใจ ไม่หวังผลตอบแทน มันจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
แม่จะให้งูมาช่วยดูดพิษแม่ ก็แผ่เมตตา มันก็วิ่งมาพันท้องแล้วแลบลิ้นเลียท้อง เรื่องจริงนะ เลียอยู่สักพักหนึ่งงูนั้นก็คลาย เลื้อยปราดออกไปลานบ้าน งูถึงแก่ความตายก็เอางูฝังไว้ เขาสงสัยว่างูนี่คงจะเป็นงูผี แม่ละม้ายก็หาย งูที่ฝังไว้ เวลาผ่านไป ๓-๔ เดือน เขาก็ลองขุดดู ไม่มีหนังงูเลย ไม่รู้หายไปไหนเขาก็สงสัยว่าเป็นงูผี รู้วันตาย
ปีที่ ๓ พอลูกเรียนจบหมด นี่สามารถอยู่ได้ ๓ ปี ที่หมอบอกว่าเดือนเดียวตายเมื่อปีก่อนโน้น พอลูกเข้างานหมดได้เรียบร้อย เรียกลูกให้บวช บอกว่า แม่จะตายแล้วเดือนหน้านี่แล้ว เดี๋ยวจะไปฝากหลวงพ่อวัดอัมพวัน ฝากศพไว้ที่นี่ แกก็เดินทางมา บอกแม่ครัววัดอัมพวันบอกให้ช่วยในงานศพ คนบ้านเหนือบ้านใต้รู้จักกันบอกให้มาทำบุญที่นี่ มาเผาฉันด้วยนะฉันจะตายแล้ว ไม่ต้องแจกการ์ด อาตมาว่าดีไม่เปลืองการ์ด
-วิปัสสนา แก้กรรม
กล่าวถึงนางไกร พัฒนทายาท ทำงานอยู่ที่สำนักงานไร่ยาสูบเพชรบูรณ์ ผู้จัดการคนใหม่กับรองผู้จัดการไม่ถูกกันอย่างแรงเลยทีเดียว นายไกรก็ทำบัญชีโกงหรือไม่โกงเราไม่รู้ ก็ได้ความว่าผู้สอบบัญชีมาตรวจพบว่าผู้จัดการทุจริตในหน้าที่ จะบอกให้การตามจริงก็เป็นการที่จะต้องแฉผู้จัดการผู้มีพระคุณและเป็นเจ้านาย ถ้าเราจะให้การโดยเล่ห์กระเท่ห์เพทุบาย ก็เป็นการโกงรัฐบาล ี้ ในที่สุดนายไกรตัดสินใจตาย
นายไกรก็มาคิดว่า เอ! เราจะมากินยาตายคิดสั้น ๆ อย่างนี้หรือ อย่าเลย! เราจะไปหาสำนักวิปัสสนา ก็เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนอวสาน เล่าให้อาตมาฟัง เรารู้เรื่องเขาหมดแล้วก็บอก เอาอย่างนี้แล้วกัน อยู่ ๗ วัน รักษาศีล ๘ เดี๋ยวนี้ ก็ให้นั่งในโบสถ์ นั่งเสร็จแล้วก็ให้แผ่เมตตา
เราเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ จะให้การตามจริง เจ้านายก็จะติดคุก จะให้ความไม่จริงก็เป็นการโกงรัฐบาล ข้าพเจ้าจะขอบวชเจริญวิปัสสนากรรมฐาน แต่ไม่ได้บวชพระอย่างนี้ นุ่งขาวห่มขาวแล้วก็รับศีล ๘ แล้วนั่งเจริญกรรมฐานแผ่เมตตาออกไปให้กรรมการผู้สอบสวน และเจ้านายได้ทราบด้วยญาณวิถี ขอให้ท่านมีความสุขความเจริญ และขอให้ผู้จัดการของข้าพเจ้ามีความสุข ขอให้รองผู้จัดการที่หาเรื่องหาราวเป็นความจริงนั้น ขอให้มีความสุข ความเจริญ แผ่เมตตา ถ้าหากข้าพเจ้าเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้ครับถ้วนขบวนการแล้ว ขอให้บุญกุศลจงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด ทำอย่างนี้ทุกวันเลย
วันที่ ๖ ร้อนถึงเจ้านายทันที เจ้านายที่กรุงเทพฯ ก็โทรเลขด่วนเลย บอกว่าให้นายไกรมาพบโดยด่วนทีเดียว เขาก็ได้มาส่งข่าวทางบ้าน ภรรยาเขาก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหน ทราบแต่มากรุงเทพฯ ก็มีลุงคนหนึ่ง นั่งวิปัสสนาและขออธิษฐานจิต ให้กุศลดลบันดาลให้พบหลายเขยให้จงได้
ทำให้เกิดสังหรณ์ในใจ เสร็จแล้วก็เดินทางไปทางท่าโพธิ์เที่ยวถามเขาเรื่อยไป สิงห์ สิงห์ ตาคนนี้ก็ลงมาร้านกาแฟร้านเดิม และก็ถามร้านกาแฟว่า เมื่อ ๗ วันก่อนโน้น มีคนมาแถวนี้บ้างไหม รูปร่างอย่างงั้น อ๋อ มี มี มี บอกเลย พอมาถึงนายไกรน้ำตาร่วงเลย ดีใจมาก ก็มากราบและเล่าให้อาตมาทราบว่า เจ้านายให้มาตามด่วนภายใน ๗ วันนี้ ถ้าไม่ไปพบมีคดี ให้ไปพบให้ได้ นายไกรก็ได้นั่งเจริญกรรมฐาน บอกเป็นความจริงแล้วที่เราได้มานั่งเจริญวิปัสสนา ๗ วัน สามารถแก้กรรมของเราได้สิ้นสุดอย่างแน่นอน มั่นใจเหลือเกิน แล้วก็กราบเรียนให้อาตมาทราบว่า หลวงพ่อครับ ถ้าผมกลับไปนี้งานการได้ดิบได้ดีเข้าอย่างรูปเดิมแล้วผมจะทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ๗ วัด และก็เลี้ยงเช้าเลี้ยงเพลพระ ๗ วัน แล้วผมจะนิมนต์หลวงพ่อไป
นายไกรให้ทำงานได้ตามเดิม เพียงถูกตัดเงินเดือน ๒ ขั้นเท่านั้นเอง ต้องนั่งวิปัสสนาผ่านดาวเทียมจำไว้ ดาวเทียมคือรวมพลังสติไว้ ถ้าเราใช้สมาธิอย่างเดียวแผ่ไม่ออก นั่งแต่สมถะมีสมาธิอย่างเดียว ไม่มีสติสัมปชัญญะ...สมาธิสัมปชัญญะรู้ตัวเป็นของวิปัสสนา แล้วจึงแผ่ออก
-ประวัติการสร้างพระพุทธแก้วสารพัดนึก
(หลวงพ่อดำ)
ในวันเททองเป็นวันที่มีพายุดีเปรสชั้นเข้าภาคกลางฝนยังตกหนัก แต่บริเวณพิธีหล่อกลับไม่มีฝนตกมีแต่ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมื่อเททองเสร็จฝนจึงได้ตกลงมาเทใหญ่ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการหล่อ
อาจารย์กิ่งแก้ว ได้รับมอบมาจากเจ้าหน้าที่ศึกษาธิการผู้หนึ่ง ในเขตตอนเหนือสุดของจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้มาจากในถ้ำ เข้าใจว่าองค์พระจะถูกพม่านำไปในยุคสงคราม
เป็นพระเชียงแสนทรงเครื่องสิงห์สามประยุกต์ทวาราวดีเป็นพระที่พระมหากษัตริย์สร้างไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องถือเป็นของสูง จึงไม่แพร่หลาย
ในส่วนของผู้เขียนเองก่อนที่จะถึงวันเททอง ๒ วัน ผู้เขียนได้ถูกโจรกรรมรถยนต์ปิคอัพโตโยต้าพร้อมแร่ดีบุกบรรทุกอยู่ในรถราคาสองแสนบาทเศษ จึงตัดสินใจไปจุดธูปบอกพระรัศมีที่จะนำไปหล่ออีก ๒ วันข้างหน้าว่า หากท่านศักดิ์สิทธิ์จริงก็ขอให้ได้รถและแร่คืน
ในวันรุ่งขึ้นผู้เขียนได้เดินทางไปพบหลวงพ่อ ได้เล่าให้ท่านฟังถึงเหตุการณ์รถพร้อมแร่ถูกขโมย ท่านนั่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เปิดเผยออกมาว่า วันหนึ่งในขณะที่ท่านนั่งกรรมฐานอยู่ได้เห็นผู้เขียนเดินไปหาท่านสภาพคอขาด แต่ตรงท้องพูดได้ ยมทูตก็บอกถึงเวลาแล้ว ท่านจึงนึกว่าอย่างไรเสียผู้เขียนก็ต้องหมดวาระจากโลกมนุษย์ไปแน่ แต่ครั้นผู้เขียนรับว่าจะเป็นเจ้าภาพในการหล่อพระท่านจึงโล่งใจว่าอย่างไรก็ได้ต่ออายุไปได้ควรจะหมดกันแล้ว ไม่ควรจะต้องมาพบกับเหตุการณ์นี้ ท่านจึงได้ให้คำแนะนำให้ผู้เขียนทำใจให้ดี ๆ ไว้ เมื่อหล่อพระเสร็จก็จะได้รถคืน แล้วถวายพระแล้วก็จะได้แร่คืน เมื่อพิธีหล่อพระผ่านไป ประมาณหนึ่งสัปดาห์ผู้เขียนได้รับโทรศัพท์จากตำรวจนครบาลว่า มีรถทะเบียนตรงกันกับที่ผู้เขียนได้แจ้งความไว้ เมื่อสำรวจทรัพย์สินดูทุกอย่างในรถอยู่ครบ เว้นแต่แร่ดีบุกราคาสองแสนเศษที่หายไปเท่านั้น
ก่อนถวายพระ ได้มีผู้หญิงโทรศัพท์มาตามคนขับรถเก่าผู้หนึ่งที่บ้าน ึได้ตรวจสอบเลขที่บ้านและตามไปพบ แกล้งถามไปว่าคนขับรถผู้นั้น นำของมาฝากไว้ยังอยู่หรือเปล่า เจ้าของบ้านเป็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับคนขับรถ ได้ยอมรับว่า นายต็อก อดีตคนขับรถได้นำแร่ดีบุกมาฝากไว
ทำไมจึงต้องโทรศัพท์ไปหานายต็อกผู้นี้ เจ้าของบ้านได้เล่าว่า นายต็อกนี้เป็นเพื่อนเรียนหนังสือร่วมชั้นโรงเรียนเดียวกันมาในสมัยชั้นมัธยม ได้นำของมาฝากไว้บอกว่าโกดังเก็บของน้ำท่วม ขอฝากของไว้ชั่วคราว พอวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณสามทุ่มได้ย้อนกลับมาขนของไปพร้อมกับชายจีน ๒ คน เธอสงสัยว่าตอนมาขนนั้นได้มีการต่อรองราคากัน จึงเป็นที่สงสัยประกอบกับนายต็อกได้บอกกับเธอว่าจะมาพบเธออีกในวันสองวันนี้ เธอตั้งใจจะต่อว่า ว่านายต็อกนำของอะไรมาฝากกันแน่ เพราะบ้านหลังนี้บิดาได้ซื้อไว้สำหรับให้เธอและน้อง ๆ อยู่เรียนหนังสือกลัวจะรู้ไปถึงบิดา ก็รอมานานพอสมควรจึงไปค้นสมุดพบเบอร์โทรศัพท์ของนายต็อกเข้า จึงได้โทรไปตามพร้อมกับเสริมอีกว่าหากไม่โทรไปจิตใจกระวนกระวายอย่างไรพิกล
เมื่อผู้เขียนได้ตรวจสอบเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ผู้ซื้อแร่คือใครจึงได้รอให้งานถวายพระผ่านไปก่อน จึงไปพบนายตำรวจที่ได้แจ้งความ และพาไปบ้านเถ้าแก่ที่รับซื้อแร่ไป ตัวเถ้าแก่ไม่อยู่ร้าน คงอยู่แต่ภรรยาจึงได้ทำการค้นบ้าน พบแร่ดีบุกอยู่ ภรรยาเถ้าแก่จึงได้ขอร้องอย่าได้เอาเรื่องกับสามีตน โดยยินยอมชดใช้ค่าเสียหายตามราคาของให้ทั้งหมด
ต่อมาผู้เขียนได้ทราบว่า จ่าอำนวย หัวหน้าทีมหล่อพระเป็นมะเร็งที่อกระหว่างนมทั้งสองข้าง และได้เสียชีวิตในเวลาถัดมา จ่าอำนวยผิดสัจจะวาจากับหลวงพ่อดำไว้ โดยการไปหล่อองค์ท่านเพิ่ม และไปจำหน่ายให้ร้านของเก่า
Create Date : 03 ธันวาคม 2552 |
|
46 comments |
Last Update : 31 มีนาคม 2560 12:22:25 น. |
Counter : 6326 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 15:41:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 15:41:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 15:44:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 15:46:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 15:51:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 15:55:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 15:57:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 19:07:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 19:10:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 19:13:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 19:16:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 19:18:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 3 ธันวาคม 2552 19:20:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 6 ธันวาคม 2552 19:51:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 6 ธันวาคม 2552 19:58:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 6 ธันวาคม 2552 19:59:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 6 ธันวาคม 2552 20:03:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 6 ธันวาคม 2552 20:04:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 6 ธันวาคม 2552 20:06:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 6 ธันวาคม 2552 20:09:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 6 ธันวาคม 2552 20:10:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 17:55:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 17:57:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 17:59:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:00:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:04:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:08:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:09:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:23:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:24:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:30:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:34:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:35:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:37:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:38:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:41:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:42:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:44:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 10 ธันวาคม 2552 18:45:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 14 ธันวาคม 2552 18:55:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 14 ธันวาคม 2552 18:57:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 14 ธันวาคม 2552 18:59:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 14 ธันวาคม 2552 19:01:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 16 ธันวาคม 2552 19:54:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 16 ธันวาคม 2552 19:57:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) 16 ธันวาคม 2552 20:14:54 น. |
|
|
|
|
|
|
|
-สัญญาณมรณะ
สัญญาณแห่งมรณะมันจะบอกล่วงหน้า แต่เราก็แก้ไม่ได้ เราก็ต้องตายตามนั้น บางคนก็แก้ได้ถ้าเชื่อฟัง เรื่องกรรมแห่งนิมิตของมรณะ นิมิตแห่งความตาย ถ้าเราเชื่อเราก็แก้ได้ ถ้าเราไม่เชื่อเราก็แก้ไม่ได้ มันอยู่ที่คนเชื่อ
เสียใจเรื่องอะไร เล่าให้ฟังซิ เขาก็เล่าบอกว่า
เมื่อคืนฝันร้าย มีนายนิรบาล แต่งตัวผ้าแดง โพกศีรษะมา ๔ คน จะเอาตัวผมไป ดึงแขนดึงขาใหญ่เลย ผมบอกยังไปไม่ได้ ลูกยังเล็กอยู่ ก็เลยตกใจตื่น เสียใจ
คืนที่สองฝันซ้ำอีก บอกว่าต้องเอาตัวไปให้ได้ ถือบัญชีมากางแล้ว ต้องเอาไปนะ เขาสั่งให้เอาตัวไปให้ได้ในวันนั้น กรู่ก็ขอร้องไว้ ขอร้องอย่างไรก็ไม่ได้ เขาบอกมีบัญชี นายกรู่ไม่ยอม ในเมื่อไม่ยอมเช่นนี้แล้วก็ตกใจตื่น
คืนที่สามฝันอีก ฝันว่า ๔ คนมาแล้ว ถือบัญชีมาด้วยบอกว่า กรู่ รู้ไหม ที่เขาให้เอาตัวเจ้าไปเพราะเหตุใด
ตอนที่เรือล่ม ลูกสาวคนหัวปีของเจ้า ยังอยู่ในท้องใช่ไหม นี่จนลูกจะแต่งงานอายุ ๒๔ ปีแล้ว เจ้าพูดว่าจะบวชทำไมไม่บวช นี่เสียสัจจะ เป็นกฎแห่งกรรม เจ้านายเขาให้เอาตัวไปในวันนี้ให้จงได้
อีกคนหนึ่งตาโปน นุ่งผ้าแดงใส่เสื้อแดงโพกผ้าสีแดง มีผ้าห้อยคอสีขาว มีความสงสารนายรู่บอกว่า กรู่เอ๋ย เอาละข้าสงสารเจ้า ลูกยังเล็กนักเอาอย่างนี้ได้ไหม ภายใน ๒ ปีนี้ บวชเสีย เจ้าบวชภายใน ๒ ปีนี่ได้ไหม บวชเสียจะได้ไม่เอาไป
กรู่ก็บอกว่าบวชไม่ได้ครับ หลวงพ่อผมก็บวชไปองค์หนึ่งแล้ว เป็นสมภารมีลูกชายคนเดียวคือผมเท่านั้น ผมไปบวช เขาจะหาว่ามาอาศัยข้าววัดกิน กำลังทำมาค้าขาย เขาบอกว่า
ตามใจนะ ไม่ได้ว่าอะไรนะ ต้องบวชเรียนภายใน ๒ ปีนี้ ถ้าไม่บวชตายนะ รถชนคอหักตายนะ ถ้าบวชแล้วคงไม่ขับรถ จะเอาอย่างไรกันแน่ แล้วก็ตกใจตื่น
เขาก็ร้องไห้มาหาอาตมา เล่าให้อาตมาฟัง อาตมาฟังแล้วก็จด บอกว่า กรู่ บวชเถอะ อยู่ต่อมาได้ ๑ ปี ก็ไม่บวช ขับรถให้อาตมาตลอดรายการ
ต่อมานายกรู่ฝันว่า มันปวดที่ตับ ปวดในปวดนอกจะตาย ทำนองนี้เป็นต้น แต่แล้วมันก็เป็นจริงขึ้นมาตามลำดับ
เหลือไม่กี่วันจะแต่งงานลูกสาว นายกรู่ฝันอีก บอกว่า เจ้ามีลูกจะแต่งงานแล้ว อายุ ๒๔ ปี เจ้าก็คงจะเป็น ๔๘ เจ้าจะต้องตาย ตายอย่างอเนจอนาถ เพราะเสียสัจจะ ที่บนบานสานกล่าว
วันนั้นเป็นวันครบ ๒ ปีตามที่ยมทูตบอกไว้ พอบ่ายสองโมง อาตมากลับจากงานสักประเดี๋ยว เจ๊ลี้ ร้านช่างทองที่สิงห์บุรี มาบอกอาตมา
ลูกน้องของฉันไปนครสวรรค์มา เห็นรถนายกรู่คว่ำที่มโนรมย์ คอหักตาย ลูกน้องฉันเขายังไปช่วยเลย คนอื่นไม่เป็นอะไรเลย
ก็ได้ความว่าขับรถไป มีผู้หญิงซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ขับตัดหน้า จะให้รถคว่ำ จะได้เก็บข้าวเก็บของ นายกรู่เห็นผู้หญิงขับรถก็ชะลอ แล้วก็บึ่งแซง รถมอเตอร์ไซค์ก็ตัดหน้า นายกรู่เบรคเต็มที่ โผล่ศีรษะออกมาบอกคนข้างหลัง บอกให้ระวัง เลยรถคว่ำทับคอหัก ตายคาที่ คอหมุนได้เลย ครบสองปีพอดี ตรงกับวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ตรงกับความฝัน และต้องตายอย่างนี้ด้วยนี่แหละเสียสัจจะ คนเสียสัจจะมักจะตายแบบนี้ทั้งนั้น หรือมิฉะนั้นล้มหัวฟาดน็อคพื้นตาย มีหลายรายดังที่กล่าวนี้
มีบางท่านก่อนถึงแก่กรรมสามารถรู้เวลา รู้วัน รู้เดือนของการมรณกรรมได้ก็มี โดยมากท่านเหล่านี้ มีจิตมั่นคงไม่หวั่นไหว เพราะรู้ความจริงของสังขารและกฎของธรรมชาติ ส่วนมากท่านเหล่านี้ ได้สร้างสมบุญแต่อดีตชาติ หรือได้สะสมบุญบารมีในชาติปัจจุบันไว้มาก ท่านที่เป็นนักปฏิบัติธรรม หรือท่านที่มีจิตมั่นคงในพระพุทธศาสนา ได้บำเพ็ญกุศลอยู่เสมอ มีการสวดมนต์ ให้ทานอยู่เป็นนิจ มีการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นประจำ จะไม่มีความหวาดหวั่นแต่อย่างใด
ทุกคนมีสัญญาการเกิดการตายมาแล้วทั้งนั้น ทุกคนจะต้องเป็นไปตามสัญญาที่กำหนดไว้
-พระญวณแก้กรรม
วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร กรรมเก่าต้องใช้หนี้ทั้งนั้น แต่เรื่องใหม่นี่เราคงไม่ได้ทำกันอีก คนที่สร้างกรรมไว้แล้ว เมื่อสำนึกได้รับผิดได้ก็ต้องยอมรับใช้กรรม ไม่มีอะไรที่จะแก้ได้ ต้องใช้ทั้งนั้น ต้องใช้กรรม ไม่ใช่บุญบาปล้างกันได้นะ
นายบัวเฮียว เป็นชาวญวณ เดิมทำงานรับจ้างฆ่าวัวฆ่าหมู
เริ่มหมดกรรม วันหนึ่งเขาจะถึงบุญกุศล จะหมดเวรหมดกรรมของเขา เขาก็เดินกลับไปที่พัก ก็ไปเจอพระธุดงค์องค์หนึ่งปักกลดอยู่ ตักน้ำถวายท่าน พระท่านก็แนะนำบอกว่าไปหาอาชีพอย่างอื่นเถิด เป็นบาปเป็นกรรมเหลือเกินนะ รุ่งเช้าขอลาออกจากเถ้าแก่ ไปบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
บวชแล้ว ก็ไปศึกษาเรื่องวิปัสสนา เดินธุดงค์ไปตามสภาพ ๑๐ กว่าปี แล้วเจริญอานาปาณสติ พุทหายใจเข้า โธหายใจออก ทำมาโดยมีสมาธิคร่าว ๆ ดิ่งเข้าไปโดยเอกัคตารมณ์ เวลานั่งแล้วจะเห็นหมูเห็นแต่วัวแต่ควายที่เคยฆ่า มันทำให้สำนักสมัญญาในจิตใจเศร้าหมองตลอดเวลา ไม่สามารถจะแก้ได้
นิมิตเกิด
วันหนึ่งท่านเกิดนั่งสมาธิเกิดนิมิตขึ้นมา จิตสบายก็เกิดนิมิตว่า นี่คุณจะแก้กรรมเอาไหม ที่คุณทำบาปทำกรรมเอาไว้นี้คุณยังแก้กรรมไม่ได้เลย ทำไมจะแก้กรรมได้ ถามตามนิมิต ๆ ก็เปิดฉากขึ้นมาว่า วันที่ ๑๖ เขาจะเปิดอบรมนักศึกษากันที่วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี
แล้วฉากที่สอง ก็เปิดออกมา รูปร่างวัดเป็นอย่างนี้ ให้เดินทางมาโดยด่วน แล้วพระคุณเจ้าจะแก้กรรมได้ จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานดังที่กล่าวแล้ว แล้วรูปร่างสมภารเป็นอย่างนี้ ๆๆ ว่าอย่างนี้
กรรมแสดง
คืนที่ ๒ แสดงอภินิหารแล้ว คือร้องเป็นหมู เป็นวัว เป็นควายหมดเลย ร้องมาชนเสากุฏิแล้วชนเสาต้นสัตบรรณหัวร้างข้างแตกเลือดไหลออกมา แล้วทีนี้ก็มัดเป็นหมู นอนงอเป็นหมู แล้วร้องอี๊ด ๆ ร้องอย่างหมูเลย แล้วเลือด
กำหนดสติแก้
พอได้สมาธิพลสมาบัติแผลไม่มีที่คอนี่ แล้วเลือดหายไป และศีรษะที่เป็นแผลก็หายไปทันที มันเป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน
อย่าลืม อย่าทิ้งเวทนา โยมต้องสู้ ถึงจะรู้ ตัวกรรมที่รู้จากเวทนาคือตัวทุกข์ถึงรู้ว่าตัวเองทำอะไร ถึงจะรู้กัน อย่างทหารมาอบรม นั่งเวทนาได้ก็กำหนดได้ แสดงออกแล้ว พร่ำ ๆๆ เดินรอบวัดเลย เสียอกไม่ฆ่าเขาหลายศพ มันมาปรากฏในเวทนาทันที
บางคนไปฆ่าผักฆ่าปลามา ปวดแข้งปวดขา
มีนักศึกษาเคยมาที่นี่ เวลาปฏิบัติบอกปวดจะตายแล้วเจ้าข้า เลยบอกให้กำหนดเวทนา กำหนดหนักเข้า ๆ เคยไปหักขาเขียดขากบตอนเป็น ๆ เอามาทำอย่างนั้น ๆ เขาเล่าละเอียด พอรู้เรื่องว่าตัวทำกรรมมาแล้วกำหนดและแผ่เมตตาแล้วหายทันที ๆ และจะไม่ปวดแข้งปวดขาอีก
เวทนาสำคัญมากนะ จับให้ได้กำหนดให้ได้ บางครั้งมันเป็นกรรมวิธีในตัวเองที่เราไปทำเขาไว้ กำหนดไว้ให้หายโดยสติสัมปชัญญะ โดย สติปัฏฐาน ๔ และการกำหนดอย่างนี้ พระบัวเฮียวเวลากลับไปถึงบ้านรื้อที่ ชวนญาติโยมไปสร้างวัด ญาติโยมนุ่งขาวปฏิบัติวิปัสสนา เจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่านก็เลยเลิกใช้พุทโธ ใช้เวทนากำหนดเป็นการใหญ่ เป็นการแก้กรรมของเวทนาทุกขเวทนาที่เราทำไว้
นี่คนลืมนึกกฎแห่งกรรมไม่ได้ เข้าไปประสบทุกข์มีเวทนาวิปัสสนาสติปัฏฐาน รู้กรรมตอนเวทนา นั่งสบายไม่รู้หรอกว่าทำกรรมอะไรไว้
ขอฝากเทคนิควิธีปฏิบัติไว้ด้วย ถ้าทนต่อเวทนาไม่ได้เลย เลิก ๆ โยมจะรู้กรรมแล้วใช้กรรมไม่ได้ ต้องตอบปฏิเสธกันเรื่อยไป
นายจ่าคนนี้บอกหลวงพ่อ ผมรู้แล้วผมเสียใจมาก แล้วก็เอาหัวไปชนกับลูกกรงนี่บ้าง เสียใจมาก ตี ๔ พังประตูไปเลย คอกกรรมฐานพังเลย นี่เป็นภาพกฎแห่งกรรมต้องระวัง เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้ บางอย่างมันท้อมันถอย อย่าม้วนเสื่อหนี
เพราะฉะนั้น พวกญาติโยมในระดับวิทยากรที่จะไปสอนเขา ต้องควบคุมดูแลไว้ก่อนนะ ถ้าคนไหนมีกรรมมากต้องควบคุมให้มาก เดี๋ยวมันแสดงฤทธิ์อย่างนี้ ถ้าคนไม่เคยสร้างกรรมมาไม่เป็นไร ๆ เลยนะ ถ้าคนไหนสร้างกรรมไว้ในอดีตชาติหรือในปัจจุบันนี้ต้องควบคุมให้ดี หนีได้ง่าย ฟุ้งซ่านได้ง่าย บ้าบอคอแตกไปก่อนบ้างก็ไปชนโน่นชนนี่ โดดโน่นโดดนี่ อะไรไปอย่างนี้นะ นี่กรรมชัดต้องใช้เขา
ประสบการณ์จากการอบรมพัฒนาจิตใจ
เพื่อน ๆ คุยกันเสียงดังรบกวนแม่ชีมาก หลายคนไม่ยอมทำตามทำสอนที่ว่า กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย และทำความเพียรมาก ทั้ง ๆ ที่ทุกคนสมัครใจมากันเอง
ส่วนดิฉันทำตามอย่างเคร่งครัด ตัวอย่างเช่น ให้เดินช้า ๆ เหมือนคนไข้ แล้วไปนั่งเฉย ๆ ไม่ขยับเลย แม้ขาชาก็ให้กำหนดว่า ชาหนอ ๆๆ ในใจ กำหนดไปเรื่อย ๆ แล้วจะคลายไปเอง ดิฉันไม่เชื่อจึงลองทำตามดู อาการชาหายไปจริง ๆ ศรัทธาเริ่มมากขึ้น
แต่ปัญหาของดิฉันคือ นอนตื่นสาย ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ หลวงพ่อบอกว่าทำสมาธิแล้วนอนกำหนด อยากตื่นเวลาใด ตื่นได้โดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก
นอนหลับสบาย ไม่ฝันร้ายเหมือนนอนอยู่บ้าน แม้จะนอนน้อย ก็ไม่ง่วง
สติปัฏฐาน ๔ ปิดอบายภูมิได้
สรุปได้ความว่า การที่ฆ่าตัวตาย ผูกคอตาย ญาติพี่น้องทำบุญให้ไม่ได้ผลแน่ ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานแผ่ส่วนกุศลจึงจะได้รับผล
เพราะผีมาบอกอย่างนี้
ญาติโยมผู้ปฏิบัติธรรมทุกท่าน ถ้ามีเวทนาต้องสู้ กำหนดให้ได้ ปวดท้อง ปวดขา หรือปวดตรงไหน ปวดหนอ ตายให้ตาย เดี๋ยวท่านจะเห็นกรรม เมื่ออดีตชาติท่านทำอะไรไว้ท่านจะโล่งใจ จะได้แก้กรรมด้วยการแผ่เมตตา อโหสิกรรม นี่กรรมฐานแก้กรรมอย่างนี้
บางทีเรามีเวทนาหน่อยเลิกเลย ไม่รู้จะแก้อย่างไร ครูอาจารย์เขาบอกกำหนด ปวดหนอ ๆ
คนที่เป็นหนี้เขา ยังใช้หนี้ไม่หมด สร้างความดีไม่ขึ้นหากินไม่ขึ้น บางคนหาเงินโดยค้าขายร่ำรวยจริง แต่เก็บไม่อยู่ ทำอย่างไรก็ไม่อยู่ ไม่รู้ไหลออกไปทางไหนหมด
อาตมาก็ดูให้ บอกให้มานั่งกรรมฐานเสีย แก้กรรมนี้ ก็ได้ความว่าสร้างเวรสร้างกรรมมามากยังใช้ไม่หมด พอใช้เวรใช้กรรมหมด อโหสิกรรมแผ่เมตตา บำเพ็ญกุศลเสร็จเรียบร้อย ทีนี้เงินเก็บอยู่ละ เป็นเศรษฐีได้
นี่กลายเป็นคนมีเงินมีทองไปแล้ว นี่แหละใช้หนี้ใครไม่หมดไม่เจริญหรอก ทำไม่ขึ้น คนนั้นไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา เขาจึงทำยาก
บางคนหาเงินหาทองร่ำรวยจริง ๆ ได้มาเก็บไม่อยู่ ต้องไหลออกไปจนได้ มีเรื่องให้ไหลออกไป ก็เพราะเราใช้กรรมไม่หมด มันต้องใช้กรรมอยู่ตลอดไป อย่าไปเสียใจ
เล่ม๕
-นิมิตของลูกสาวนายพลลี
จำไว้ ผู้ที่คิดร้ายต่อผู้ที่มีพระคุณ ต่อให้คิดการอันใดก็ไม่มีทางสำเร็จ เพื่อความสบายใจให้กลับไปปฏิบัติกรรมฐาน ลูกจะได้พบกันพระที่ดี อย่าลืมแผ่เมตตาแก่ผู้ที่คิดร้ายต่อเรา อย่าผูกจิตพยาบาท แล้วเขาจะแพ้ภัยแก่ตัวเอง
-ประสบการณ์ที่วัดอัมพวัน
สังเกตดูตัวเองว่า ถ้ากระวนกระวายใจมาก มันยิ่งปวดมาก ก็เลยเปลี่ยนวิธีใหม่ เลยนั่งดูเฉย ๆ พยายามสะกดกลั้นความปวดไว้ มันอยากปวด ปล่อยให้มันปวดไป ต้องทนให้ได้ เพราะหลวงพ่อบอกว่า ถ้าผ่านจุดปวดไปได้แล้ว ต่อไปจะไม่ปวด กว่าจะผ่านจุดปวดไปได้ใช้เวลาเป็นปีเลย ถ้าไม่มีความเข้มแข็งอดทนและไม่มีสัจจะแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติจะไม่มีทางผ่าน
หลังจากนั้น ดิฉันก็ให้สัจจะว่า จะทานอาหารมื้อเดียว คือตอนเพล ตัดมื้อเช้าออกไป ทำให้มีเวลาปฏิบัติได้มากขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลกับอาหารมื้อเช้า ไม่นอนกลางวัน ไม่พูดกับใครเป็นเวลา ๗ วัน ไม่สนใจใครทั้งนั้น เดิน ๑ ชั่วโมง นั่ง ๒ ชั่วโมง กำหนดจิตไปเรื่อย ๆ ทำให้จิตเป็นสมาธิ สติมั่นคง แน่วแน่ดีมาก
เช้าวันหนึ่งประมาณตี ๔ ปรากฏว่ามีงูตัวยาวลำตัวเป็นปล้อง ๆ ออกไปจากห้องนี้เสีย เพราะดิฉันกลัว พอดิฉันพูดจบ งูก็ค่อย ๆ หายออกไปทางฝาห้อง ดิฉันรีบไปดูตรงจุดที่งูหายไป ปรากฏว่าไม่มีรูที่จะออก
เมื่อครบกำหนดเข้ากรรมฐานตามที่ให้สัจจะไว้แล้ว ดิฉันก็นำเรื่องมีงูเข้ามาในห้อง ให้คุณแม่สุ่มทราบ คุณแม่สุ่มบอกว่า เขามาขอส่วนบุญ เมื่อครั้นคุณแม่สุ่ม มาเข้ากรรมฐานที่กุฏิหลังนี้ งูตัวนี้ก็เข้ามาหาท่านเหมือนกัน
ท่านก็สอนว่า ให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน เรื่องอดีตและอนาคตอย่าไปเก็บมาคิด ให้จิตรู้อยู่กับตัว อย่าส่งจิตออกไปข้างนอก
การทำบุญปฏิบัติธรรม สามารถลดกรรมที่ตัวเองทำไว้ได้มาก ก่อนนี้ดิฉันเคยทุบหัวปลาช่อน เพื่อใช้ประกอบอาหารจำนวนหลายตัว เพราะดิฉันมีหน้าที่ทำ ต่อมาเมื่อถึงคราวที่กรรมให้ผล ดิฉันเริ่มปวดศีรษะทุกวัน ซึ่งก่อนนี้ ดิฉันไม่เคยปวดศีรษะเลย ไปหาหมอ หมอตรวจแล้ว บอกว่า ไม่เป็นอะไร หมอก็หาว่าดิฉันเป็นโรคอุปาทาน คือไม่เป็นอะไร
ดิฉันทราบว่า การเจ็บปวดครั้งนี้ มาจากกรรมที่ดิฉันเคยทุบหัวปลาช่อนแน่นอน ดิฉันเลิกเบียดเบียนชีวิตสัตว์ ไม่ซื้อสัตว์มีชีวิตมาปรุงอาหารอีกเลย พยายามทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ และซื้อปลาช่อนจากตลาดไปปล่อยที่แม่น้ำเป็นประจำ หมั่นนั่งสมาธิภาวนา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ถึงคราวจะหายก็หายปวดไปโดยไม่รู้สึกตัว ไม่ได้ไปรักษาที่ไหนก็หายไปเอง สังเกตดูตัวเองว่า หายปวดแน่แล้วหรือ มันก็ไม่ปวด แสดงว่า หมดกรรมจากปลาช่อนแล้ว นี่คือผลจากการทำบุญปฏิบัติธรรม
-รู้กรรมด้วยธรรมะ
ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่ประดังกันเข้ามา บางครั้งเป็นพร้อมกันตั้ง ๓ โรค ขาเจ็บ เป็นไข้ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะออกมาเป็นเลือด เป็นในเวลาเดียวกันหมด มีคนแนะนำให้ไปหาพระให้ท่านดูให้ว่ามีเวรกรรมอะไร ไปหาพระที่จังหวัดนครปฐม ท่านขอกว่าท่านช่วยอะไรไม่ได้เลย เจ้ากรรมนายเวรมารุมล้อมท่านเต็มไปหมด และบอกว่า อย่าช่วย ผู้หญิงคนนี้เป็นคนใจร้ายมาก ข้าพเจ้าไม่เชื่อ จึงพูดท้าทายออกไป ถ้าอย่างนั้นก็ให้มาเอาชีวิตไปเสีย เอาไปเดี๋ยวนี้เลย พระท่านก็ย้ำถามว่า จะเอาอย่างนี้จริง ๆ หรือ ข้าพเจ้าตอบยืนยัน ท่านก็นั่งสมาธิติดต่อเจ้ากรรมนายเวรอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า เขาไม่เอา เขาจะทรมานข้าพเจ้าอยู่อย่างนี้ และจะต้องได้รับความเจ็บปวดจากการผ่าตัดอีก ข้าพเจ้าไม่เชื่อ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดอีกจริง ๆ
เวลาผ่านไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าต้องผ่าไส้ติ่ง แต่คิดว่าเป็นการบังเอิญมากกว่า รวมแล้วเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดมาทั้งหมด ๑๖ ครั้ง สลบ ๑๔ ครั้ง ไม่สลบ ๒ ครั้ง และยังไม่รู้ว่ากว่าข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิต จะต้องเข้าผ่าตัดกันอีกหรือไม่
ข้าพเจ้าเคยไปกราบนมัสการเกจิอาจารย์มาหลายองค์ แม้แต่การเข้าทรงก็เคยไปสัมผัสมา เพราะอยากรู้อยากศึกษาเรื่องลี้ลับ เรื่องเวรเรื่องกรรม ผลสรุปจากการที่ไปพบ จะพูดถึงกรณีของข้าพเจ้าคล้ายกันหมดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโหดเหี้ยมทารุณ ร้ายกาจ คิดแล้วไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งได้มาพบกับท่านเจ้าคุณหลวงพ่อจรัญ ท่านก็ชี้หน้าว่า ใจร้าย ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อยังไม่ได้พูดคุยหรือซักถามอะไรข้าพเจ้าเลย หลวงพ่อว่าแล้วก็หัวเราะ บอกว่า อดีตชาติ ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อคงใช้จิตดู เห็นหนอ...เห็นหนอ...
เริ่มปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิปฏิบัติกันที่หอประชุม ข้าพเจ้าเริ่มปวดศีรษะ แล้วก็ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ พอถึง ๕ ทุ่มก็อาเจียน ต้องทานยาแก้แพ้ให้ง่วงหลับไป หลังจากนี้ก็เดินจงกรม นั่งสมาธิ
พอเริ่มปฏิบัติ อาการปวดศีรษะก็เริ่มรุนแรงขึ้น ท้องก็ปวด ต้องนั่งเฉย ๆ อาการก็ยังไม่หาย อาเจียนออกมาเรื่อย ต้องนั่งกอดกระโถนไว้ อาเจียนแล้วอาเจียนเล่า อยู่ในห้องกรรมฐาน เลยต้องกลับที่พัก
ลูกศิษย์ของท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ ได้นำเอาตะไคร้ที่หลวงพ่อทำเป็นยาไว้ มาชงน้ำให้ดื่ม พอดื่มน้ำตะไคร้ของหลวงพ่อไปได้สักพักหนึ่ง อาเจียนก็หยุด อาการปวดศีรษะก็ทุเลาเบาคลายลงไปมาก มีแต่อาการอ่อนเพลียเท่านั้น ตอนบ่ายข้าพเจ้าเห็นว่าอาการดีขึ้นแล้ว จึงไปปฏิบัติที่หอประชุม คราวนี้ปฏิบัติได้ไม่อาเจียน ไม่ปวดท้อง ไม่ปวดศีรษะ มีสมาธิในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ดี คืนนี้ข้าพเจ้านอนหลับสบาย
พอเช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีความสุขกายสบายใจ ชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก เย็นกายเย็นใจมีความสุขมาก ความสุขสดชื่นแบบนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย กัลยาณมิตรทุกคน ต่างก็มีความยินดีและมาอนุโมทนากับข้าพเจ้า แล้วพูดว่า พี่ภา ชนะแล้ว หมายถึงชนะมารที่มาเป็นอุปสรรคขัดขวางการบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นมารมาในรูปโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าข้าพเจ้าดื้อรั้นกลับบ้านไป ข้าพเจ้าก็จะแพ้มารและแพ้ตลอดไป คุณแม่สิริท่านบอกว่า ถ้าใครมีเวรมีกรรม มีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวมาก ก็จะมีอาการ เป็นเหมือนย่างข้าพเจ้าเป็นนั้น จะมากหรือน้อยสุดแต่กรรมที่ทำไว้ หลวงพ่อท่านบอกว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะช่วยแก้กรรมให้เบาบางลงได้ ปฏิบัติแล้วแผ่บุญกุศลแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรอาจจะใจอ่อน เลิกจองเวรกับเราก็ได้ หรือมิฉะนั้นผลบุญที่เราทำเพิ่มพูนไว้มาก ๆ จนล้น จะช่วยให้เราหนีกรรมไปห่างไกลจนกรรมตามไม่ทัน และจะหลุดพ้นได้ในที่สุด
คนที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จะรู้กรรมด้วยตนเอง นี่เป็นความจริง ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาสวยมาก มายืนจ้องดูข้าพเจ้าด้วยสายตาที่ดุดันแข็งกร้าว คล้ายกับจ้องมองคู่อาฆาตด้วยความเคียดแค้น และทำท่าจะเดินเข้ามาทำร้าย ข้าพเจ้าก็จ้องมองเธอ
ข้าพเจ้าเกิดความกลัว เลยออกจากสมาธิ ภาพหญิงนั้นก็หายไป เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ข้าพเจ้าไปทำร้ายเขาไว้ เธอมาปรากฏให้เห็น ต้องแผ่เมตตาแผ่บุญกุศลไปให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้แผ่ คิดไม่ทัน ออกจากสมาธิเสียก่อน ถ้ายังอยู่ในสมาธิกำหนดตามรู้ต่อไป เราจะรู้ว่าไปทำร้ายเธอไว้อย่างไร ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อบอกว่า ข้าพเจ้าสมาธิแรงแต่จิตตก ขาดการกำหนด ต้องกำหนดให้ทัน ตามให้รู้ และให้หมั่นปฏิบัติเสมอ ๆ แล้วจะดีขึ้น
ครั้งหนึ่งกรรมตามสนองข้าพเจ้าทันตาเห็นในชาตินี้ เมื่อข้าพเจ้าอายุประมาณ ๑๐ ขวบ ได้จุดไฟเผามดตายทั้งรัง เวลาผ่านไปประมาณ ๔๐ ปี กรรมนั้นก็ตามสนอง ในคืนหนึ่งเพราะมีตัวอะไรมากัด พอเปิดไฟดูปรากฏว่ามีมดตัวเท่ามดตะนอย มารุมกัดข้าพเจ้าตั้งแต่บริเวณเอวลงไปถึงขา อยากจะเอามือถูขยี้ให้ตายให้หมด แต่ใจหนึ่งห้ามไว้ไม่ให้ทำ เดี๋ยวจะเป็นเวรกรรมต่อไปอีก เลยจับดึงออก ขนาดจับดึงยังไม่ค่อยยอมปล่อย กัดติดจนเป็นแผลเลือดออกซิบ ๆ ชั่วเวลาไม่ถึง ๑ นาที มดเหล่านั้นก็หายไปหมด เวลาผ่านไปประมาณ ๒ เดือน มดก็มากัดข้าพเจ้าอีก แต่คราวนี้มากัดไม่มากเหมือนคราวแรก ข้าพเจ้ารู้ตัวแล้วเขามาทวงหนี้ เพราะเราเคยทำเขาไว้ ก่อนนอนข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้มดทุกคืน หลังจากนั้นก็ไม่มีมดมากัดอีกเลย
อาจารย์วิภา เป็นศิษย์หลวงพ่อวัดอัมพวัน ได้กรุณาใช้สมาธิตรวจกรรมให้ข้าพเจ้า ท่านบอกว่า ข้าพเจ้าทำกรรมไว้มาก ใจร้าย (พูดเหมือนหลวงพ่อเลย) ต้องใช้เวรกรรมไปอีกนาน เพราะโหดเหี้ยม ดุ ฆ่าคน ทำร้ายทั้งคนและสัตว์ ทำให้เขามีความทุกข์เดือดร้อนเจ็บปวดแสนสาหัส บางรายถึงแก่ชีวิต และบอกว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกข้าพเจ้าทำร้ายและทรมานจนเดินไม่ได้ แถมยังเอาโซ่ล่ามขาไว้แล้วเอาไปขังไว้ในกรง จนถึงแก่ความตาย
สิ่งลี้ลับอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าประสบกับตัวเองในขณะนั่งสมาธิ ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่ระเบียงหอประชุมภาวนากรศรีทิพา ข้าง ๆ พระบรมรูปของ ร. ๕ นั่งไปได้ประมาณ ๕ นาที จิตสงบดิ่งลึก ทันทีนั้นข้าพเจ้าก็มี อาการหอบ หายใจไม่สะดวก ต้องหายใจทางปาก ข้าพเจ้าอดทนนั่งต่อไป อาการหอบยิ่งทวีความรุนแรงหนักขึ้นเหมือนกับจะขาดใจ ทนต่อไปไม่ไหวเลยลืมตาขึ้น ออกจากสมาธิอาการหอบ ข้าพเจ้าจึงไปเล่าให้ท่านอาจารย์ พ.อ. (พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน ฟัง ท่านก็รู้ทันทีว่าเป็นอาการของกรรม ท่านบอกว่าน่าเสียดาย ถ้านั่งสมาธิอยู่ต่อไปจนขาดใจไปในขณะนั้นจะดีมาก จะตัดเวรตัดกรรมที่เราเคยทำกับใครไว้นั้นหมดสิ้น และจะรู้ด้วยว่าเราไปทำอะไรเขาไว้ อาจจะไปอุดปากอุดจมูก หรือจับใครกดน้ำ หรือไม่ก็บีบคอเขา ทำให้เขาหายใจไม่ออก จะถึงกับตายหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้ามีโอกาสใช้หนี้กรรมแล้ว แต่กลับใช้ไม่หมด เพราะออกจากสมาธิเสียก่อน ความจริงแล้ว ถ้าขาดใจตายในขณะนั่งสมาธิอยู่นั้นจริง ก็จะตายเพียงแค่ความรู้สึกในสมาธิเท่านั้น ตัวจริง ๆ ไม่ได้ตายไปด้วย
การนั่งสมาธิแต่ละครั้ง มักจะมีปรากฏการณ์แปลก ๆ มาปรากฏแก่ข้าพเจ้าอยู่เสมอ บางครั้ง จะมีดวงตาหมายคู่มาจับจ้องดูข้าพเจ้า มีทั้งดวงตาดุ โกรธ บางครั้งก็ดวงตาซีดเซียวเหมือนคนตาย มาชำเลืองดู ข้าพเจ้าก็แผ่เมตตาไปให้ตามที่ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อสอน ภาพดวงตาเหล่านั้นก็หายไป จะเป็นอยู่อย่างนี้เสมอ
ตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้าไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่วัดอัมพวันแล้ว ทำให้ความเจ็บไข้ของข้าพเจ้าทุเลาเบาคลายลงไปมาก เพราะรู้จักการกำหนด ขาก็แข็งแรงดีขึ้นด้วย