ตุลาคม 2559

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
25 ตุลาคม 2559
All Blog
13 ตุลาคม 2559






เชื่อว่าหลายคนคงจดจำวันนี้ ไปจนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ วันที่พวกเราชาวไทยทุกคนสูญเสียพ่อหลวงผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเรา


วันนี้เราตั้งใจจะกลับบ้านนอกเพราะกะว่าจะกลับมากทม.วันเสาร์เพื่อวันอาทิตย์จะได้มีเวลาเตรียมขนมส่งในวันจันทร์ มันเป็นวันปกติธรรมดาๆ วันนึงสำหรับเรา เช้านี้ยังคงตื่นสายเหมือนเดิมแสงแดดยามเช้ายังสดใสเหมือนเช่นทุกวัน กว่าภารกิจที่ร้านจะเสร็จก็เกือบเที่ยงรีบเร่งนั่งรถเมล์ไปหัวลำโพง ผ่านพาหุรัด รถยังติดเหมือนเดิม เกือบจะไม่ทัน ลงรถได้โกยอ้าวไม่เหลียวหลัง เหมือนเช่นทุกครั้งรถไฟฟรีมีผู้โดยสารเกือบเต็มทุกตู้แต่วันนี้เป็นวันธรรมดาเลยยังพอมีที่นั่งเหลือให้เลือกนั่งได้บ้าง พอรถวิ่งออกสู่ชานเมืองเริ่มเห็นท้องทุ่งนาสีเขียวกว้างมากขึ้น บางพื้นที่ข้าวเริ่มออกรวงแล้ว สายลมที่พัดผ่านยังคงสร้างความสดชื่นเย็นสบายเหมือนเช่นทุกที


กว่าจะถึงบ้านก็เย็นมากแล้ว เดินหาคุณยายก่อนเลย โน่นอยู่ในสวนกล้วยเดินหาซะรอบบ้าน ตอนแรกก็เดินลงไปในสวนกล้วยรอบนึงละนะแต่ไม่ยักกะเห็นเลยขึ้นไปถามแม่บนบ้าน แม่บอกว่าอยู่ในสวน คราวนี้เลยตะโกนเรียกไปด้วยปรากฏต้นไม้สูงบัง ตัวก็เล็กนิดเดียวเดินท่อมๆ ถางหญ้าไปเรื่อยเลยถือโอกาสเล็มหญ้าแถวนั้นไปด้วยซะเลย


ตะวันเริ่มลับขอบฟ้าแล้ว พากันขึ้นบ้าน แยกย้ายกันอาบน้ำเตรียมกินข้าวแม่เตรียมกับข้าวไว้เพียบเลย พ่อมานั่งเป็นประธานรอแล้ว ทีวีที่ถูกเปิดทิ้งไว้อยู่ดีๆ ก็ขึ้นพื้นหลังสีดำเราลุกจากโต๊ะกินข้าวมานั่งที่โซฟาหน้าจอทีวี.....

ซักพักเราเห็นผู้ประกาศข่าวใส่ชุดสีดำออกมาประกาศข่าวพ่อหลวงเสด็จสวรรคต

นาทีนั้นแม้ในใจจะไม่อยากได้ยินในสิ่งที่ผู้ประกาศคนนั้นพูดแต่เสียงผู้ประกาศคนนั้นก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่สมองของเรากลับอื้ออึงลำคอตีบตัน เหมือนเวลาเดินไปอย่างเชื่องช้ามากๆ ได้ยินเสียงแม่เรียกกินข้าว รู้สึกว่าตัวเองหันกลับไปตอบว่าแป๊บนึงเดี๋ยวไปกิน ทุกคนรอบตัวดูเป็นปกติไม่ได้ยินเสียงร้องไห้จากใคร ไม่ได้สังเกตอากัปกิริยาของย่าที่นั่งอยู่ข้างๆเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองจะถูกเอาถ่านออกไปก้อนนึงพลังงานเหลือแค่ครึ่งเดียว ระบบประมวลผลไม่สมบูรณ์ ลุกไปนั่งกินข้าวแบบไม่รู้รสชาติของกับข้าวเลย

หลังจากกินข้าวแบบไม่รู้รสชาดผ่านไป ก็มานั่งดูทีวีต่อสลับกับดูข่าวจากหน้าเฟสบุ๊คยิ่งดูยิ่งอ่านยิ่งทำให้พลังงานในตัวเริ่มน้อยลงเรื่อยๆจนคิดว่าน่าจะพอดีกว่า

พอล้มตัวลงนอน ภาพข่าว บทความ ข้อความ ต่างๆนาๆพากันหลั่งไหลเข้ามาในหัว มันมากจนทำให้นอนไม่ได้ เลยลุกขึ้นนั่งซักพักมือเท้าเริ่มชาวูบวาบ ความคิดยังคงหมุนเวียนอยู่ในหัวไม่ไปไหน เพื่อนเก่าที่หายไปนานเริ่มกลับมาและเริ่มชัดเจนขึ้นในความรู้สึก นาทีนั้นคิดว่าต้องแย่แน่ๆ น้ำตาเริ่มไหลคิดว่าไม่ไหวแน่ๆ พรุ่งนี้ต้องกลับบ้าน เพราะว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา ทำไมต้องมาอยู่ในที่ๆไม่ใช่ที่ของเราในเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ด้วยเราจะผ่านคืนนี้ไปได้ยังไง


ความทรมานเกิดขึ้นในจิตใจ ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่อยากกลับไปเริ่มต้นใหม่ เราต้องมีสติ ใจเย็น ๆ ๆ ๆ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปถ้านอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอน นั่งอยู่แบบนี้แหละถ้ามันไม่ดีขึ้นพรุ่งนี้เราจะกลับบ้าน ใจเย็นๆ ๆ ๆ ๆ นั่งสงบสติอารมณ์หายใจเข้าออกช้าๆ จนจิตใจสงบลงและคิดว่าน่าจะดีขึ้นแล้ว เลยลงนอนจนหลับไป

เช้าวันใหม่ เป็นวันที่ไม่สดใสเหมือนเคย ในหัวยังคงตื้อๆไม่มีกะจิตกะใจจะทำไร ทุกอย่างดูหม่นหมองไปหมด คนอื่นๆ ยังใช้ชีวิตปกติเราไม่แน่ใจว่าพวกเค้ารู้สึกอย่างไรกันบ้างไม่ได้สังเกตหรือคิดจะปลอบใจใครเลย เพราะเราเองก็รู้สึกแย่จนไม่คิดว่าจะช่วยใครได้ วันทั้งวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า เราดูข่าวแบบดูๆหยุดๆ ไม่สามารถจะดูได้ตลอดทั้งวัน จิตใจมันรับไม่ไหวจริงๆ ตอนอยู่รวมกันก็ทำตัวปกติ แต่พอเข้าห้องนอนเปิดข่าวอ่านน้ำตาก็ไหลไม่หยุด ยังดีที่เพื่อนเก่าไม่มาหาแล้ว คืนนี้หลับลงได้ไม่ยากเย็นนัก

วันรุ่งขึ้นเรากลับบ้าน พอเข้ามาในเมืองหลวงบรรยากาศความเศร้าโศกรายล้อมอยู่รอบตัวไปหมด ทุกคนแต่งชุดไว้ทุกข์มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนที่ดูโศกเศร้า เรายังคงซึมเศร้าไม่ต่างจากวันแรกแต่วันนี้เราได้กลับบ้าน ได้อยู่ในที่ๆเราคุ้นเคย ทำให้จิตใจไม่ตกอยู่ในหลุมที่ดำมืดมากนักแต่เราก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะพูดคุยหรือทำอะไรเหมือนเคย


ผ่านมา 10 กว่าวันแล้ว จิตใจเราดีขึ้นมากไม่เศร้าอมทุกข์เหมือนวันแรกที่ได้รู้ข่าว เราเชื่อว่าทุกคนล้วนเศร้าโศกเสียใจทุกข์ใจ ซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ ทุกข์ใจนั้น เราเชื่อว่าทุกคนไม่อยากจมอยู่กับมันนานนักเพราะมันทรมาน มันบั่นทอน มันหดหู่ มันทำให้เราเสียเวลาที่จะทำอะไรๆไปตั้งหลายอย่างทุกคนคงอยากออกมาจากความทุกข์ใจนั้นให้ได้เสียที

เราก็เหมือนกัน เราก็ไม่อยากจมอยู่ในกองทุกข์นั้น หลายวันที่ผ่านมาเราเห็นบทความอยู่บทหนึ่ง หลายครั้งมาก และบทความนี้เองที่ทำให้เราหลุดออกมาได้


“อานนท์ ไม่ต้องเศร้าใจไปหรอก พุทธะอยู่ในทุกหนแห่ง ในใบไม้ ในแม่น้ำหรือว่าในแสงแดด ลมที่สัมผัสตัวเจ้าก็คือพรจากเรา อานนท์เรายังอยู่ในดินทรายนี่ด้วยนะ อานนท์ เราอยู่ในใจเจ้า เราอยู่ในตัวเจ้า นอกกายเจ้าเราปกคลุมเจ้าจากทุกหนแห่ง”


ถ้าใครได้ดูหนังเรื่องพระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก คงจำได้เป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าที่พูดกับพระอานนท์หลังจากท่านปรินิพพานแล้ว

ความรู้สึกของเราไม่ต่างจากพระอานนท์ตอนที่องค์พุทธะเสด็จปรินิพพานเลยแต่คำสอนของพระองค์ จะทำให้เรามีชีวิตต่อไป หากเรานึกถึงพระองค์เมื่อใดพระองค์ก็จะอยู่กับเรา พระองค์ไม่เคยจากเราไปไหน พระองค์อยู่ในใจของเราตลอดเวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศก็เช่นกัน ท่านไม่เคยจากเราไปไหนพระองค์อยู่ในใจของเราตลอดเวลา เพียงแค่เรานึกถึงพระองค์และทำตามคำสอนที่พระองค์ให้ไว้ เจริญรอยตามในสิ่งที่พระองค์ปูทางริเริ่มไว้ให้พวกเราสานต่อ แค่นี้เราเชื่อว่าพระองค์จะต้องทรงดีพระทัยที่ลูกๆของท่านไม่ลืมคำสอนของท่าน ท่านทรงทอดพระเนตรมองดูลูกๆ ของท่านทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดอยู่ทุกหนทุกแห่ง....


"ข้าพเจ้าภูมิใจที่ได้เกิดในแผ่นดินในรัชสมัยของรัชกาลที่ 9 หากชาติหน้ามีจริง ข้าพเจ้าจะขอเกิดเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป"




Create Date : 25 ตุลาคม 2559
Last Update : 25 ตุลาคม 2559 21:19:45 น.
Counter : 1324 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

i_mafuang
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ผู้หญิงธรรมดาที่ชอบเพ้อเอาถ้วย
MY VIP Friends