Our 7 weeks countdown
อ๋อเริ่มไปฉายรังสีตั้งแต่วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา การฉายรังสีนี้จะกินเวลาทั้งหมด 7 อาทิตย์ ไปทุกวัน ยกเว้นวันเสาร์อาทิตย์ค่ะ
โรงพยาบาลนี้ เป็นโรงพยาบาลที่เดียวกับที่ไปผ่าต้ด แต่แผนกฉายรังสีนี้ หมอและเจ้าหน้าที่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจมาก ไม่เหมือนกับแผนกผ่าตัด ซึ่งจะเครียดๆดุๆ ไม่ค่อยยิ้มแย้ม
อันที่จริง อยากจะคิดว่าทุกคนดูร่าเริงแจ่มใสเกินเหตุ คือทำงานไปคุยไป หัวเราะไป กับคนไข้ด้วยค่ะ...ไม่ใช่แต่กับหมอหรือพยาบาลเจ้าหน้าที่ด้วยกัน
คุณหมอที่ดูแลเคสอ๋อ เป็นคุณหมอผิวสีที่สวยยังกะนางแบบ และยังดูสาวมากด้วย
คุณหมอบอกว่าผลข้างเคียงจะเริ่มประมาณหลังอาทิตย์ที่สอง หรืออาทิตย์ที่สาม ส่วนอาการจะมีอะไรบ้าง และหนักหนาแค่ไหน ขึ้นอยู่กับแต่ละคน และบริเวณที่ได้รับการรักษาค่ะ
อย่างของอ๋อที่แน่ๆก็คือ จะมีอาการคันหรือแสบร้อน หรือไหม้ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีอะไร เพราะแค่ 1 อาทิตย์
แต่ที่มีแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นผลข้างเคียง หรือเป็นเพราะความอ่อนเพลียที่ไม่ค่อยได้หลับได้นอน
เรื่องของเรื่องคือ... ทุกๆวัน เราสองคนต้องตื่นกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง รีบกินกาแฟ แต่งตัว ออกจากบ้านก่อนเจ็ดโมงเช้า
มีเหตุผลสองข้อ คือ 1. โีรงพยาบาล ให้ไปถึงเวลา 7.45 น. ตรงเผง ห้ามสาย! ทุกวัน 2. จากบ้านไปโรงพยาบาลทุกๆเช้า ไม่ต่างอะไรจากขับรถจากฝั่งธนฯ เข้าไปสยามพารากอน
รถติดมหันต์ค่ะ!!!!!
ทุกๆวัน...เราสองคนต้องรีบเข้านอนไม่เกิน 10.30 น.
ปลุกนาฬิกาไว้ตีห้าครึ่งก็จริง แต่ความที่กังวลกลัวไม่ตื่น ต่างคนต่างก็ตื่นมาดูนาฬิกากันแทบทั้งคืน...ทุกคืน พอเช้าขึ้นมา ระหว่างแต่งตัวไปก็เปิดทีวี ฟังรายงานอากาศ ว่าหนาวแค่ไหน ฝนตกไหม รถติดตรงเส้นไหนบ้าง ฯลฯ
ธรรมดาๆ ก็ติดมหาศาลอยู่แล้ว ถ้าวันไหนฝนตก หิมะตก มีอุบัติเหตุก็....5555 เหมือนกรุงเทพฯที่รักเลย อันนี้ทำให้เราสองคนเหนื่อย...กดดัน...เครียด... มากกว่าการไปฉายรังสีอีกค่ะ
แต่ละวันๆ คุณ K ขับรถไป บ่นไป โวยวายไป...บางทีก็ด่าไปด้วย
อ๋อก็นั่งฟังๆๆๆๆ บางทีต้องบอกว่า.. "ยูเปิดกระจกแล้วหันไปด่าออกนอกรถบ้างสิ ไอไม่ได้เป็นคนทำอย่างนั้นซะหน่อย ทำไมไอต้องมานั่งฟังอยู่คนเดียว"
และทั้งๆที่แต่ละวันๆ ก็ขับไป...นั่งไป...เครียดกันจะแย่อยู่แล้ว บางวันยังมีให้ลุ้นระทึกซะอีกแน่ะค่ะ
เช่น เช้าวันที่สามของการไปฉายรังสี...
ตอนกลางคืน ฝนตกแบบเท แถมลมพายุพัดแรงๆตลอดคืน
เช้าก็ยังไม่หยุด... เราสองคนตื่นมา แต่งตัวไป ฟังรายงานทีวีไปอย่างที่บอก
พอขับรถออกจากบ้านได้ซัก 7 - 10 นาที คุณ K ก็ร้องโวยวายว่า.. "Oh! no no no no no...no not today....oh, please not today!"
"Oh, I can't believe this is happening!"
ปรากฎว่ายางแบนค่ะ...ล้อหน้าทางด้านที่อ๋อนั่ง!
คุณ K พยุงรถไปจนถึงปั๊มที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะไปปั๊มลมยาง
แต่พอไปถึง ก็เห็นเครื่องนั้่นติดป้ายว่า..
คุณ K หัวเสียมากมาย
ไม่น่าเชื่อเลยใช่มั๊ยคะ?
ส่วนตอนจบของเรื่องยางแบนวันนั้นก็คือ คุณ K ก็พยุงรถไปหาปั๊มถัดไปจนได้
แต่พอลงไปดู ปรากฎว่าต้องเปลี่ยนยางอะหลั่ย คุณ K ก็เลยต้องเปลี่ยนยางเอง (คนเดียว) ท่ามกลางพายุฝนโปรยปราย แต่เราก็ไปถึงโรงพยาบาลทันเวลานัดในที่สุดค่ะ
ช่วงนี้...อ๋อไม่ค่อยกังวลหรือขวัญเสียมากอย่างตอนแรกๆแล้วค่ะ กำลังใจที่ได้รับจากเพื่อนๆทำให้อ๋ออุ่นใจมาก
และขอขอบคุณ เพื่อนๆที่ขอบคุณ คุณ K มาทั้งทางหน้าบล็อก และหลังไมค์ ขอบคุณที่คุณ K ดูแลอ๋อเป็นอย่างดี
อันนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนย้ำเตือนให้อ๋อระลึกว่าคุณ K ต้องเสียสละมากแค่ไหนในช่วงนี้ เพราะนอกจากจะต้องดูแลอ๋อแล้ว ก็ยังต้องออกไปทำงานทุกวันๆ คุณ K เองก็ฝากขอบคุณมากค่ะ บอกว่ารู้สึกดีใจ คำขอบคุณจากเพื่อนๆที่ได้รับก็เป็นแรงส่งที่ทำให้เค้าไม่เหนื่อยค่ะ
บางทีอ๋อเองมีหงุดหงิด บางทีมีอารมณ์ไม่ดี บางทีคุณเคก็ทำอะไรไม่เข้าตา แต่พอคิดถึงว่า ช่วงนี้เค้าเสียสละมากๆ ก็เลยรีบหยุดตัวเองไม่ให้เอาแต่อารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้งค่ะ
คุณ K มักจะชอบพูดเสมอๆว่า.. อบากให้ตัวเองย้อนเวลาไปที่ตอนอายุซัก 30 ปี แล้วแต่งงานกันซะตั้งแต่ตอนนั้น
อ๋อบอกคุณ Kว่า.. "ในที่สุดแล้ว ...จำนวนปีในชีวิตเรา ไม่มีความสำคัญหรอก แต่การใช้ชีวิตร่วมกันในแต่ละปีของเราต่างหาก...ที่สำคัญ" (อับราฮัม ลินคอล์น)
"And in the end, it's not the years in your life that count. It's the life in your years." (Abraham Lincoln) March 8, 2013
Create Date : 09 มีนาคม 2556 |
|
96 comments |
Last Update : 9 มีนาคม 2556 8:44:00 น. |
Counter : 3515 Pageviews. |
|
|
|
อบากให้ตัวเองย้อนเวลาไปที่ตอนอายุซัก 30 ปี
แล้วแต่งงานกันซะตั้งแต่ตอนนั้น
พูดเหมือนคนที่บ้านเลยค่ะ
กำลังใจล้นหลามเช่นเคย หาอะไรทำเพลิน ๆ ที่พอทำได้ จะได้ไม่คิดเรื่องที่เป็นทุกข์เนอะ
ส่งแรงใจมาให้ครอบครัวที่น่ารักนะค่ะ คุณอ๋อ สู้ ๆ ค่า