กล้ามทศวรรษ
<<
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
13 กรกฏาคม 2552

กาลครั้งหนึ่ง ความเงียบ 'LOVE IS hEAR'

โชติเวชญ์ อึ้งเกลี้ยง -. ‘กลิ้ง’


กาลครั้งหนึ่ง ความเงียบ


“ในความเงียบนั้น ถ้าเธอยังอยากจะได้ยินเสียง ”


                ท่อนหนึ่งในบทเพลง เสียงในความเงียบ ที่พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ เป็นคนเขียนเนื้อร้อง ดังขึ้นภายในโรงหนังสกาล่าในงาน love is hear ทำให้ผมรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ด้วยคอนเซปต์ของงานนี้ที่เอาคนหูดีมาฟังดนตรีกับคนหูหนวก “แล้วมันจะเข้าใจกันได้ไงว่ะ”-ผมคิด ตั้งแต่เช้าของวันที่ผมได้มีโอกาสมาช่วยงานพี่ๆ ที่โรงหนังสกาล่า ผมเห็นน้องๆ ที่หมดสมรรถภาพการได้ยินยกมือชี้นิ้ว โน้น นี่ นั่น ไม่หยุดหย่อน ในระหว่างนั้นเท่าที่ตั้งใจฟัง ก็ไม่มีเสียงที่เล็ดลอดออกมาปากเขาเหล่านั้นจริงๆ เงียบ   เงียบจนนึกหวั่นใจว่าคืนนี้เขาเหล่านั้นจะสนุกกับเราได้นานแค่ไหนกัน เงียบจนผมรู้สึกกลัว ว่าบางประโยคที่ขึ้นบนหน้าจอเท่าที่ผมรู้นั้น จะสร้างความเจ็บปวดร้าวฉานต่อน้องเขาขนาดไหน


“คุณรู้สึกถึงดนตรีหรือปล่าว?”


                ประโยคนี้ลอยเด่นบนจอภาพยนค์ คล้ายเพื่อถามใครบางคน แต่ถ้าโดยส่วนตัว ผมจะรู้สึกไม่ได้ทว่าไม่ได้ยิน ผมเชื่ออย่างนั้นมาตลอด ความเชื่อนั้นนำพาสายตาผมไปจับจ้องกลุ่มเด็กที่ขึ้นชื่อว่าหูหนวก ภาพที่เห็นคือ เขาเหล่านั้นก็ยังคงเงียบตามเดิม แต่ไม่ได้นิ่งเฉยหรือไม่รับรู้อะไร เพราะในขณะที่เสียงดนตรีดัง ตูม ตาม ตูม ตาม บางเสียงร้อนรน บางเสียงอ่อนไหว บางเสียงขี้เล่น บางเสียงแข็งกร้าว คล้ายเขารับรู้ แต่หาใช่ด้วยการได้ยินไม่ ทว่ามันคือการสัมผัส สัมผัสด้วยสายตา สัมผัสด้วยมือ สัมผัสด้วยกาย และสัมผัสด้วยใจ ใจของเพื่อนที่ต่างก็ส่งอารมณ์กันไปมา และอย่างที่กล่าวไปข้างต้น การที่เขาจะสัมผัสด้วยมือหรือกายจำเป็นที่จะต้องมีอุปกรณ์บางชนิด ซึ่งทางทีมงานเห็นว่ามันต้องเป็น ลูกโป่ง การสั่นสะเทือนของมันนั่นแหละคือการได้ยินของน้องๆ  และของเรา หากใครได้ไปชมคอนเสิร์ต แล้วพลาดที่จะกอดลูกโป่งไว้แน่น หลับตาด้วยกาย หลับหูด้วยใจ แล้วตั้งใจฟังบทเพลงผ่านลูกโป่งล่ะก็ ผมว่าท่านเหล่านั้นพลาดแล้ว เพราะหากคุณไม่เป็นเขา คุณจะรู้ได้อย่างไร ว่าวันนี้เขาฟังเพลงได้เพราะเช่นไร และซาบซึ้งในน้ำใจของพวกคุณขนาดไหน ที่แน่ๆ น้ำใจในวันนี้คงไม่ใช่เพียงเงินทองทุกบาททุกสตางค์ที่ให้กับพวกเขา หากแต่มันคืออะไรบางอย่างที่ผมก็บอกไม่ถูก


 “ติดหัวใจส่งต่อความรักกันน่ะค่ะ”


                หัวใจหลากสีสัน ติดเต็มตัวของผู้เข้างานรวมถึงทีมงานยันไปนักร้อง นักแสดง “ว่าแล้ว …โดนกันหมด” –ผมคิด นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย กับหัวใจดวงน้อยๆ นับเป็นร้อยๆ ดวงที่นำมาติดตามเนื้อตามตัวตามแขนตามขา บ้างเอามาติดแว่น บ้างติดตูด คล้ายกับความรักในงานมันฟูฟ่อง อบอวล และแผดกลิ่นไอของมันออกมาผ่านสติ๊กเกอร์รูปหัวใจหลากสี บ้างเอามาเรียงร้อยกันเป็นแถวยาวเหยียด บ้างเอามาแปะให้เป็นหัวใจอีกดวงที่ใหญ่ขึ้น บ้างแปะให้กันและกัน บ้างให้ บ้างรับ กลายเป็นกิจกรรมหนึ่งก่อนเริ่มงานคอนเสิร์ตที่ทำให้คนดู รู้สึกได้ถึง ‘รัก’ และ ‘การให้’ ที่มีต่อน้องๆ ในงานครั้งนี้


“อะ  พี่ให้”


                ชายลึกลับซึ่งซื้อบัตรได้ที่นั่งในราคาไม่แพงมาก บรรจงวาดรูปรอยยิ้มกับตาหยีๆ บนลูกโป่งยื่นให้เด็กหญิงหูหนวกที่เดินผ่านหลังจากเธอทำธุระที่ห้องน้ำเสร็จสรรพ ภาพนั้นติดตาผมเพราะเด็กหญิงคนนั้นบรรจงไหว้ชายลึกลับกลับเช่นกัน ทั้งคู่ยิ้มให้กันและกัน เธอหยุดตัวชั่วครู่ทำท่าทางประหลาดๆ ก่อนเดินจากไป ชายคนนั้นยิ้มรับโดยไม่โต้ตอบสักคำหรือท่าทางสักอย่าง ผมได้มารู้ทีหลัง เธอบอกว่า “ขอบคุณค่ะ”(เป็นภาษามือ)


“วันนี้ เพลงนี้เป็นเพลงที่ยากสำหรับผมที่สุดเลยครับ”


                พี่บอย ตรัย ภูมิรัตน เสียบไมค์เข้ากับขาตั้งไมค์ ทำสองมือให้ว่างเข้าไว้ เตรียมพร้อมสำหรับร้องเพลง พื้นที่เล็กๆ ให้น้องๆ ฟัง ผ่านภาษามือที่พวกเขาถนัด ทว่าพี่บอยกลับไม่ถนัดตาม ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าน้องๆ เหล่านั้นจะเข้าใจในภาษามือที่เก้ๆ กังๆ และเขินๆ ของพี่บอยได้หรือปล่าว หากแต่เพลงนั้นได้เรียกเสียงปรบมือได้ดังเป็นอันดับสองรองจากเพลงหนึ่งในหลากบทเพลงในงานครั้งนี้ เรียกได้ว่าเกรียวกราวเชียวแหละ มันเป็นบทพิสูจน์ได้ดีทีเดียว ว่าการพยายามให้บทเพลงเพราะผ่านท่าทางของพี่บอย ทำให้พวกเรารู้สึกอบอุ่นตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเช่นไร ผมเชื่อว่ามันน่าจะไปถึงน้องๆ ด้วย ซึ่งพวกเขาอาจจะไม่เข้าใจด้วยท่าทางที่น่ารักๆ ของพี่บอย ทว่าคงจะสัมผัสได้ด้วยหัวใจ ...หัวใจที่ไม่มีตัวตน


“กลิ่นไรอะ กลิ่นไรอะ ”


                เป็นเสียงที่ผมอยากจะได้ยิน หลังจากที่ทำภารกิจครั้งสุดท้ายในคอนเสิร์ตครั้งนี้ ด้วยการฉีดน้ำหอมชนิดหนึ่งทั่วงาน จากความตั้งใจของทีมงาน ด้วยอยากให้บทเพลงเพราะๆ ของวง อีทีซี มีกลิ่นของน้ำหอมแบบหวานๆ น่าจะทำให้ผู้ชมรวมถึงน้องๆ ได้รับอรรถรสที่แตกต่างไปจากเดิมและสัมผัสได้ด้วยจมูก หลังจากกลิ่นจางหายได้ไม่นานนัก บทเพลงที่เรียกเสียงกรี๊ดและปรบมือที่ดังที่สุดในงานครั้งนี้ก็ได้เกิดขึ้น เพลงเสียงในความเงียบ ดังกึกก้องสยบผู้ชมทั่วโรงภาพยนตร์สกาล่าให้มาสนใจ ด้วยลีลาน้ำเสียงที่ชวนให้ขนลุกของพี่คิวจาก วงฟลัวร์ และเซอร์ไพร์ทเล็กๆ ที่ทีมงานจัดเตรียมไว้ให้ โดยที่ บริษัทจอกว้างฟิล์มเป็นผู้ถ่ายทำภาพยนต์ประกอบเพลง ด้วยภาษามือของดาราหลายๆ คนที่เป็นขวัญใจของคนไทยทั้งประเทศ ช่วงนั้นได้รับเสียงปรบมือและกรี๊ดกร๊าดทั่วไป ทว่าจะเทียบไม่ได้เมื่อเทียบกับเสียงของบุคคลสุดท้ายที่มาแปลบทเพลงเป็นภาษามือเพื่อให้น้องๆ รับฟัง หากผมจำไม่ผิดท่อนนั้นร้องว่า “เสียงที่ดังมาจากดวงใจของคนที่รักเธอจริง” ด้วยท่าทางการแปลบทเพลงของท่าน นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผมก็เป็นหนึ่งในเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดจนคอผมแหบแห้งไปพร้อมกับหลายๆ คน


                คอนเสิร์ตจบลงแล้ว ผู้ชมทยอยกันกลับ ด้วยเวลาและบรรยากาศที่กำลังพอดี ทุกคนเอายิ้มกลับไปบ้าน พร้อมด้วยบุญก้อนโตที่เราร่วมสร้างกันขึ้นมา ผมร่ำลาชายที่เป็นทั้งครูและพี่ที่แสนดี พี่วิภว์ บูรพาเดชะ และพี่ๆ ทีมงานhappening ก่อนเดินออกจากโรงภาพยนตร์ผมแอบหยิบลูกโป่งที่ติดตามเก้าอี้มาด้วยหนึ่งลูก ปล่อยลมมันออก เก็บใส่กระเป๋ากางเกงแล้วจึงกลับบ้านด้วยอารมณ์คั่งค้างบางอย่าง อาจเป็นเพราะเพลงเสียงในความเงียบก็ได้ ที่มันสะกิดต่อมอารมณ์ ผมซื้อบัตรบีทีเอส เพื่อที่จะไปขึ้นรถตู้ที่หมอชิต ก่อนประตูรถไฟฟ้าจะปิดลง ผมหันกลับไปทางโรงภาพยนต์สกาล่า คล้ายลืมบางสิ่งไว้ ผมคิดในใจ “จะระบายมันออกมาอย่างไรดี”


“ถึงห้องแล้ว เหนื่อยชิบหาย” –ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง เพราะด้วยระยะทางจากสยามถึงรามอินทรา มันยาวนานเกินกว่าที่คนบ้านอยู่ราชเทวีจะเข้าใจ ผมเปิดไฟ เปิดคอม แล้วไปอาบน้ำอาบท่า พร้อมเข้านอน หลังจากเสร็จสรรพจากการอาบน้ำ ผมก็ไปรื้อเอาซีดีออกจากดงของที่ระลึกในถุงผ้าสีสวยในงาน ใส่ไปในเครื่องเล่นซีดี นั่งฟังเพลง เสียงในความเงียบ ให้เพลงมันเล่นวนอยู่อย่างนั้น เผื่อจะคิดหาเอาอะไรมาระบายความรู้สึกบางอย่าง ฟังอย่างตั้งใจได้สักพักจึงนึกขึ้นได้ เลยเดินไปหยิบลูกโป่งในกางเกงที่ตากผึ่งอยู่ระเบียงหลังห้อง มานั่งเป่าพอดีไม่ให้มันแตกแล้วกอดมันอย่างหลวมๆ จากนั่งกลายเป็นนอน จากนอนเล่นๆ เป็นนอนอย่างจริงจัง ผมเผลอหลับไปไม่รู้ตัว   ...ตื่นขึ้นมาอีกที ไฟที่เปิดอยู่กลับปิด แอร์ที่เย็นอยู่กลับไม่ทำงาน คอมที่เปิดอยู่กลับปิด เสียงที่เคยได้ยินกลับไม่ได้ยิน พบว่าไฟดับครับ ลูกโป่งสีขาวยังถูกผมกอดเดินไปมาเพราะความกระวนกระวายจากความร้อน ขณะนี้ห้องผมเงียบกริบ เงียบ เงียบจนผมได้ยินเสียงหัวใจตนเองจากความสั่นของลูกโป่งที่ผมกอด จากนั้นหัวผมก็กลับไปคิดเรื่องงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ ผมเงื้อมมือไปหยิบสมุดเล่มเล็กๆ วาดภาพลูกโป่งสีขาวพร้อมกับตัวโน๊ตมากมาย ใต้ภาพผมเขียนว่า ‘ได้ยินจากการสัมผัส ได้รักจากกำลังใจ’


จากนั้นผมตัดสินใจที่จะนั่งเขียนเรื่องเล่าเกี่ยวกับคอนเสิร์ตครั้งนี้ ด้วยหวังว่าจะแบ่งปันความรู้สึกอัดอั้นหลังจากงานจบ ผมเดินไปที่ปลายเตียงพร้อมแสงจากโทรศัพท์มือถือ ไปหยิบเทียน ไฟแช้ค กระดาษเปล่า ดินสอ และยางลบ ก่อนเขียนผมจุดเทียนเพื่อให้มีแสงเพียงพอไม่ให้การเรียงร้อยถ้อยคำครั้งนี้ทำให้ผมปวดตามากนัก ผมทำสมาธิก่อนที่จะลงมือเขียนมัน แต่ก็ต้องบ่นพืมพำกับตัวเองว่าจะเริ่มงานเขียนชิ้นนี้ด้วยข้อความอะไร จึงจะสะกิดให้ผู้คนอยากจะติดตามอ่านต่อดี คิดอยู่ได้ชั่วครู่...


ไฟที่ดับอยู่ก็ตื่นขึ้นพร้อมแสงสว่าง เครื่องเล่นซีดีทำงานอัตโนมัติตามกระแสไฟที่ไหลผ่านมัน บทเพลงที่เคยได้ยินก่อนหลับดังขึ้น ลูกโป่งสีขาวที่ผมกอดสั่นทะเทือนจากความดังสูง-ต่ำของบทเพลง ด้วยตอนนั้นคล้ายมีแรงบันดาลใจทิ่มแทงหัวใจผม จนมันเต้นเร้าๆ ผมเริ่มบรรจงด้วยประโยคแรกจนถึงคำสุดท้าย ย้อนกลับมามองลูกโป่งแล้วผมก็ตั้งชื่องานเขียนชิ้นนี้ว่า กาลครั้งหนึ่ง ความเงียบ…


ในความเงียบนั้น ถ้าเธอยังอยากจะได้ยินเสียง


ขอเพียงเธอเปิดใจไว้ หัวใจเธอจะได้ยิน


มันอาจเป็นเสียงที่เธอไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน


เสียงนั้นดังมาจากความงามแท้จริง


ผู้คนมากมายโหยหวนครวญคร่ำพึมพำร่ำร้อง


เสียงดังขันแข็งแย่งฟ้องตะโกนบ่นกันไม่ฟัง


จะมีบ้างไหมใช้ความเงียบมาพูดกันสักครั้งหนึ่ง


แล้วลองฟังดูว่าข้างในได้ยินเป็นเสียงอะไร


ซุ่มเสียงดังเบาร้อยเรียงถ้อยคำ


สูงๆ ต่ำๆ เกิดทำนองของเพลง


แต่เสียงที่เพราะหนักหนา


งดงามยิ่งกว่าทุกสรรพสำเนียง


นั้นก็คือเสียงที่ดังจากหัวใจ


ในความเงียบนั้น ถ้าเธอยังอยากจะได้ยินเสียง


ขอเพียงเธอเปิดใจไว้ หัวใจเธอจะได้ยิน


อยากให้ฟังเสียงที่เธอไม่เคยได้ยินสักครั้งหนึ่ง


เสียงที่ดังมาจากดวงตาของคนที่เขาจริงใจ


เสียงที่ดังมาจากดวงใจของคนที่รักเธอจริง






Free TextEditor




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2552
3 comments
Last Update : 13 กรกฎาคม 2552 22:45:43 น.
Counter : 862 Pageviews.

 

เสียงที่แว่วกังวานที่สุด คือเสียงที่เปล่งออกมาจากหัวใจของเราเอง คมครับ

 

โดย: ม้าสว่าง 13 กรกฎาคม 2552 23:22:41 น.  

 

ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ และขอบคุณมากเลยที่เข้าไปเยี่ยมบล็อก

บล็อกนี้ยาวมาก เอ็มขอตัวไปทำงานก่อน เดี๋ยวมีเวลาจะแว๊บมาอ่านนะคะ

 

โดย: เอ็มมี่ 16 กรกฎาคม 2552 8:56:57 น.  

 

ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ
.................


สวัสดีวันเสาร์ค่ะ

สนุกกับการกินและนอนพักเหนื่อยๆนะคะ

 

โดย: ญามี่ 18 กรกฎาคม 2552 14:01:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


กล้ามทศวรรษ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add กล้ามทศวรรษ's blog to your web]