แน่น จุกเสียดหน้าอก สัญญาณอันตรายถึงชีวิต แนะลดคอเลสเตอรอลและดูแลสุขภาพเป็นประจำ เพชฌฆาต...โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากการมีโคเลสเตอรอลไปสะสมตามผนังหลอดเลือด ซึ่งจะเริ่มสะสมตั้งแต่วัยรุ่นและพอกหนาขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลอดเลือดได้รับบาดเจ็บจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ เป็นต้น โคเลสเตอรอลก็จะเข้าไปสะสมบริเวณผนังหลอดเลือดคล้ายการปิดปลาสเตอร์ทำให้หลอดเลือดตีบลง เลือดจึงไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ หากโคเลสเตอรอลก็สะสมมากเกินไปคราบดังกล่าวก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นและเกิดอาการอักเสบ ทำให้ลิ่มเลือดจับตัวมากขึ้นจนกระทั่งอุดตันอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจวายซึ่งเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของชายและหญิง ในปัจจุบันพบว่า โรคหลอดเลือดหัวใจตีบจึงไม่ได้เป็นโรคของผู้สูงอายุอีกต่อไป ดังนั้น เราควรดูแลสุขภาพเป็นประจำเพื่อป้องกันและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ อาการของโรคเป็นอย่างไร... ในกรณีหลอดเลือดหัวใจตีบยังไม่มาก เราอาจไม่รู้สึกอาการใด ๆ อาการต่าง ๆ จะเกิดขึ้นต่อเมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบไปมากกว่า 75% อาทิ: - ปวด แน่น จุกเสียดหน้าอกเหมือนมีอะไรมาทับหรือบีบที่หน้าอก หรือเหมือนอาหารไม่ย่อย - มีอาการปวดร้าวที่ไหล่ คอ แขนหรือหลัง - เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ใจสั่น วิงเวียนศีรษะเป็นประจำ - หายใจลำบาก ทำให้ต้องหายใจสั้นๆ และเร็วขึ้น - มีอาการชาตามมือตามเท้า แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง แต่อย่างไรก็ตาม จากสถิติทางคลินิกพบว่าราว ๆ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบจะไม่แสดงอาการใดๆ ที่เป็นสัญญาญเตือน เจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นโรคหัวใจ แต่อยู่ ๆ ก็ล้มลงหายใจไม่ออก ต้องนำส่งโรงพยาบาลหรืออาจเสียชีวิตทันทีจากภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงโชคร้ายกว่าผู้ป่วยโรคหัวใจเรื้อรังซึ่งมีสัญญาณเตือน และมักจะมีการรักษาและเอาใจใส่ตนเองอย่างต่อเนื่อง ป้องกันแล้วดูเหมือนพอเพียง แต่ไม่เพียงพอ... ทำไมบางคนควบคุมอาหารแล้ว แต่ระดับโคเลสเตอรอลก็ยังสูงเกินไป จริง ๆ แล้วร่างกายดูดซึมโคเลสเตอรอลจากอาหารได้น้อย เพราะโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดส่วนใหญ่ผลิตจากตับ หากตับขาดสภาพความสมดุลก็จะมีการผลิตโคเลสเตอรอลมากเกินไป หรือบางคนไปตรวจหัวใจด้วยการเดินบนสายพานซึ่งเป็นวิธีตรวจสอบกล้ามเนื้อหัวใจขณะออกกำลัง แม้หลอดเลือดอาจจะตีบไปแล้ว แต่ผลการตรวจก็ยังปกติอยู่ทำให้ผู้ได้รับการตรวจมั่นใจว่าตนเองปกติ จึงไม่ได้ระวังตัวเองจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมารู้อีกทีอาจจะสายไปแล้ว ข้อจำกัดของการทำบอลลูนและบายพาสมีอะไรบ้าง... การทำบอลลูนคือ การสอดท่อที่มีบอลลูนเข้าไปในหลอดเลือดหัวใจเพื่อเบียดให้ไขมันแบนลงไปติดที่ผนังหลอดเลือด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไขมันในหลอดเลือดหัวใจยังมีมากเท่าเดิม เพียงแต่ถูกเบียดให้แบนลงเท่านั้น หลอดเลือดหัวใจของผู้ป่วยจึงมักจะกลับมาตีบใหม่ภายใน 3-6 เดือนหลังการทำบอลลูน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโสหิตสูงหรือโรคไต โอกาสกลับมาตีบใหม่ก็จะเร็วขึ้น วิธีการรักษาแบบองค์รวมของการแพทย์จีน... สำหรับโรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ หลักการวินิจฉัยและรักษาอันสำคัญที่การแพทย์จีนยึดถือมาตลอดคือ ปวดแสดงว่าไม่โล่ง ไม่โล่ง หมายถึง หลอดเลือดและเส้นลมปราณมีการตีบตันทำให้เลือดและพลังชี่ หรือพลังลมปราณไหลเวียนช้าลงจึงเกิดการคั่งของเลือดและพลัง ทำให้เกิดอาการปวดหรือเจ็บนั่นเอง การแพทย์จีนจึงเน้นความสำคัญในการรักษาโรคกลุ่มนี้แบบองค์รวมโดยวิธีดังนี้: - ปรับความสมดุลของร่างกายโดยเฉพาะความสมดุลของตับ ทำให้ตับมีการผลิตโคเลสเตรอลในปริมาณที่ไม่มากเกินไป เพื่อขจัดต้นเหตุสำคัญของระบบหลอดเลือดและหัวใจ - ทำความสะอาดและทะลวงหลอดเสือดและเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายด้วยการลดความเข้มข้นของโคเลสเตรอลและระดับไตรกลีเซอไรด์ เพิ่ม HDL โคเลสเตอรอลเพื่อนำ LDL โคเลสเตอรอลที่สะสมตามผนังหลอดเลือดกลับไปที่ตับเพื่อขจัดออกจากร่างกาย และสลายลิ่มเลือด เมื่อหลอดเลือดและเส้นลมปราณโล่งสะอาดแล้ว อาการปวด แน่น จุกเสียดหน้าอกก็จะค่อยๆทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด ที่สำคัญคือ วิธีการบำบัดแบบองค์รวมนี้ยังเหมาะกับผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต ภาวะไขมันในเลือดสูง เนื่องจากโรคกลุ่มนี้ล้วนเกิดจากสาเหตุที่คล้ายคลึงกันและสัมพันธ์กันเป็นลูกโซ่ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ อัมพาตก็มักจะเจอในคนๆเดียวกัน จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม่แทพย์จีนจึงวินิจฉัยสาเหตุของโรคและใช้วิธีรักษาคล้ายๆ กันสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้... ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก |
oishi_hub
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?] Group Blog Friends Blog |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |