Bloggang.com : weblog for you and your gang
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...(สรรพสิ่งไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่จีรังยั่งยืน ล้วนเป็นทุกข์ ตั้งอยู่ทนอยู่ไม่ได้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง)
Group Blog
Guestbook
Beauty
Cooking
Dhamma
Detox
Diet
Fashion
Health
Home
Horoscope
Life
Love
Living
CLyrics
JLyrics
KLyrics
Money
Recipes
Relation
Study
Tips
Variety
Work
[Closed]
<<
กุมภาพันธ์ 2552
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
6 กุมภาพันธ์ 2552
เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
All Blogs
กลอนปีใหม่ คำอวยพรปีใหม่ 2555
8 สิ่งที่คนญี่ปุ่นนึกถึงช่วงวันปีใหม่
คำอวยพรปีใหม่ภาษาอังกฤษ
คำคมแบบขำๆ
ขำดีอ่ะ ชอบบบบบบ
Pepero day(빼빼로데이)
มาทำโมบายกันดีกว่าค่ะ
นิสัยคนไทย 41 แบบ
คำพูดโดนๆ จากเฟส
15 ไอเดียของขวัญถูกใจ
เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับของไหว้เจ้า
ฤดูห้ามเที่ยว ของประเทศต่อไปนี้
ความจริง 20 ข้อของวัยรุ่น
วิธีชมคนที่คิดว่าตัวเองสวย
รู้เรื่อง...นามสกุลไฟล์ต่างๆ
หน้ายิ้มสไตล์ญี่ปุ่น (ผ่านข้อความ)
DNA คำตอบสุดท้ายของการพิสูจน์
10 วาทะเด็ดของเลดี้ กาก้า
Tea Time สไตล์อังกฤษ
ยอดคนรวยได้ไม่ง้อปริญญา
วันสำคัญแปลกๆของญี่ปุ่น
ข้อความซึ้งๆจากซีรี่ย์เกาหลี
เรื่องแปลกของประเทศญี่ปุ่น
เที่ยวกรุงเทพมหานคร
รวมเว็บไซต์น่าคลิก
Tsubasa no Oreta Tenshitachi
คลิปน่ารักฝึกภาษาญี่ปุ่น
กฎน่ารักๆ ที่ทำให้คุณยิ้มได้
เรื่องของอายุ ขำๆ
เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ท่านอนที่นอนแล้วสบาย
เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ชีวิตนี้มีแต่สุข''
ในยุคนี้น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าของตำนานพูดไปด่าไปอันลือลั่น การที่คนคนหนึ่งซึ่งดูดุดัน ก้าวร้าว จะสามารถบรรจงสร้างงานศิลปะที่อ่อนช้อย งดงามราวเนรมิตได้นั้น มีความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร เรามารู้จักตัวตนของเขาให้ลึกซึ้งกว่าที่เคยกันดีกว่า
ขอเริ่มด้วยความสำเร็จของอาจารย์ในวันนี้ว่ามีที่มาอย่างไร
มีธรรมะและสติเป็นธงชัยนำชีวิต รู้ตลอดเวลาว่าเรากำลังทำอะไร ไม่หวังจะกอบโกย รักในสิ่งที่ทำ มุ่งมั่นตั้งใจจริง ธรรมะสอนให้มีเป้าหมาย ทำให้เราสามารถดำรงชีวิต ร่วมกับผู้อื่นในโลกนี้อย่างปราศจากทุกข์ เมื่อปราศจากทุกข์แล้ว เราจะมีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ รู้จักให้เกียรติผู้อื่น ทำให้เจริญก้าวหน้า ทำอะไรก็สำเร็จ
ทราบมาว่าที่วัดนี้มีพนักงานเป็นร้อย แต่ไม่มีปัญหาในการทำงาน อาจารย์มีหลักในการบริหารจัดการอย่างไร
ง่าย! ใจ ต้องเป็นธรรมะมากที่สุด ใจต้องไม่มุ่งหวังให้เป็นของกู ไม่เอาเปรียบผู้อื่น วัดนี้ไม่เคยมีปัญหา ไม่มีใครย้ายไปทำงานที่อื่น ไม่มีใครทอดทิ้งเรา ทุกคนอยู่กันดี ทุกคนต้องอิ่ม ครอบครัวเขาต้องมีความสุข สวัสดิการเขาต้องดี ชีวิตครอบครัวเขาต้องดี ใจที่เป็นเมตตานั่นคือการบริหารที่ดีที่สุด
สวัสดิการมีอะไรบ้าง
ให้ ทุกอย่าง ให้โบนัสเหมือนที่อื่น มีเงินให้ยืมฟรีในกรณีฉุกเฉิน ที่นี่เราประชุมกันทุกเดือน หลังจากประชุมเสร็จก็จะถามถึงปัญหาครอบครัว ใครมีปัญหาบอกมา ลูกเรียนหนังสือฟรี รักษาพยาบาลฟรี อยู่ดีกินดี ไม่ต้องเสียค่าน้ำค่าไฟ รักษาโรคทุกอย่าง ตายเผาให้ ที่นี่เลี้ยงจนตายไม่มีเกษียณอายุ แก่ลงก็กวาดใบไม้ไป นี่ตายมา 3 คน แล้ว เราก็เผาให้ ไม่ใช่แค่ลูกศิษย์เรา ชาวบ้านเราก็ทำให้ ฟรีหมด รถขนศพ อาสนะ ไม่ต้องเสียเงินสักบาท ไม่ว่าใครตาย ไม่ว่ายากดีมีจน เราจ่ายให้ ศพละประมาณสองพันบาท อีกหน่อยเมรุเสร็จ คนงานก็เผาที่นี่เลย เผาฟรี
อาจารย์กำหนดเงินเดือน เงินโบนัสอย่างไร
พนักงาน เขากำหนดของเขาเอง ประชุมกันเอง เราสอนเขาในเรื่องคุณธรรม ไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว สอนมัชฌิมาปฏิปทา สอนธรรมะทุกอาทิตย์ สอนมาเป็นสิบๆ ปี ตั้งแต่มันเป็นคนชั่ว กระทั่งเป็นคนดี ขี้เหล้าเมายา สำส่อน เลว กลายเป็นคนดีหมด เป็นคนชอบเลี้ยงคนเลวให้เป็นคนดี ที่นี่พนักงานจะมีอำนาจในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเงินเดือนหรืออะไร หัวหน้าฝ่ายรวม 13 ฝ่าย เราสอนเขาเรื่องประชาธิปไตย การบริหารวัด สอนหมด ผู้จัดการควรทำอะไร ผู้ช่วยผู้จัดการทำอะไร เลขาฯทำอะไร หัวหน้าฝ่ายทำอะไร คนล้างห้องส้วม คนสวน สอนเองหมด แล้วทำให้ดูด้วย ฝ่ายประชาสัมพันธ์นี่สอนตั้งแต่พูดไมโครโฟน เริ่มจากจดให้แล้วบอก มึงมานั่งข้างกู กูพูดให้มึงฟัง แล้วมึงพูดตาม สอนๆๆ จนเดี๋ยวนี้มันเก่งชิ_หาย ทุกอย่างสอนตัวต่อตัว จบป.6-ป.4 ก็พอ ไม่ต้องเรียนจบสถาบันไหน มึงมาเรียนกับกู
วิธีสอนต้อง สอนด้วยความเมตตา สอนด้วยการทำเป็นตัวอย่าง ไม่ได้สั่งอย่างเดียว
เราทำทุกอย่างในวัดนี้ เช็ดถูพื้น กวาดขยะ กวาดใบไม้ ทำจนพวกมันเกรงใจ เมื่อก่อนต้องใส่หมวกเดินแทงขยะทั่ววัด ไม่พูดสักคำ แทงขยะ แทงใบไม้คนเดียว จนเดี๋ยวนี้ลูกศิษย์เห็นใบไม้หล่นอยู่ใบเดียวก็เก็บ เห็นเราจับไม้กวาดมันวิ่งมาแย่ง ไม่เคยต้องถือไม้กวาดเลยตอนนี้หาอะไรเก็บไม่ได้เลย
เลิกงานแล้วพายุมา มันวิ่งกันมาหมดเลย มาจากบ้าน มาเก็บเต็นท์ เก็บของ กวาดใบไม้ที่ปลิว ถ้าฝนตกกลางคืน ตีห้ามาดูเลย ออกมายี่สิบสามสิบคน มากวาดใบไม้หมดภายในพริบตา นี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการบริหารจัดการคน บริหารจนความรู้สึกในใจเขาเหมือนเรา มีความรักวัดเหมือนกัน มีความรับผิดชอบเหมือนกัน มีความปรารถนาให้ความงดงามแก่ประชาชนเหมือนกัน
สอนมันว่า
บุญ ของมึงอยู่ใกล้กว่าคนอื่น มึงเก็บใบไม้ใบหนึ่ง มึงเก็บขยะชิ้นหนึ่ง มึงดูแลวัดด้วยความเป็นห่วงเป็นใยก็เป็นบุญของมึง มึงบริการประชาชนที่มาก็บุญของมึง มนุษย์คนอื่นสู้มึงไม่ได้เพราะต้องแสวงหาบุญ แต่บุญของพวกมึงอยู่ใกล้มึงตลอดเวลา
เงินเดือนคือสัมภาระของชีวิต แต่บุญคือสัมภาระของจิตวิญญาณ ต้องแสวงหาเอง
แล้วภายในครอบครัวของอาจารย์มีหลักในการจัดสรรเงินอย่างไร
สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าเป็นหนี้ หาได้เท่าไรก็ใช้แบบพอเพียง รู้จักแบ่งสันปันส่วน จะต้องมีเงินเหลือติดกระเป๋าทุกครั้ง อย่าใช้จนหมดตูด เวลายากจนเนี่ย หาเงินไม่ได้จริงๆ ก็อด ไม่กิน บางครั้ง ก็กินข้าวกับน้ำปลา พอมีเงินต้องมีเก็บและต้องไม่เป็นหนี้ เมื่อก่อน ประกวดผลงานได้เงินรางวัลมาหมื่นห้า แทนที่จะเอามาเลี้ยงกัน นี่ไม่เอา ไม่เลี้ยงใคร เลี้ยงเพื่อนสนิทจริงๆ สองสามคน อย่างเก่ง เลี้ยงข้าวสองสามร้อยบาท ประเภทเลี้ยงเหล้าเมาหัวราน้ำหมดไปห้าพัน อย่าฝัน ไม่ทำ เพราะวันข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่า ตอนยากจน โคตรระวังในการใช้เงิน จะใช้เงินแบบวันข้างหน้าอาจจะอด พอรวยแล้วก็ยังเป็นอย่างนั้น จนกระทั่งรู้ว่าวันข้างหน้าไม่อดแล้ว ไม่จำเป็นต้องระวังแล้ว ก็สุรุ่ยสุร่ายขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังเก็บเงิน ต่อให้เที่ยวสำส่อนขนาดไหนก็มีเงินเก็บ ถ้าเราตาย เมียจะดูแลทุกอย่างหมด ไม่เคยเก็บเงินใช้ส่วนตัวแม้แต่บาทเดียว มีชีวิตที่เรียบง่ายที่สุด กินข้าววัด กินพร้อมลูกศิษย์ มันเคาะระฆังก็ไปกินกับมัน ไม่ใช้เงิน ดูแลครอบครัวก่อน จากนั้นทำบุญสร้างวัดหมดเลย
อาจารย์มีวิธีสอนลูกอย่างไร
กับลูกสอนประจำว่า จงมีความสุข ไม่มีคำสอนอะไรที่มากกว่านี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ให้เขาทำทุกอย่างที่เขามีความสุข แต่ไม่ต้องเบียดเบียนใคร
ทุกวันนี้สังคมไทยชอบพอกพูนกิเลสให้แก่ลูก เด็กถูกพ่อแม่ ถูกสังคมยัดกิเลสให้ไม่รู้จักพอ อยากได้ อยากดี อยากเด่น อยากทุกอย่าง แต่เราหยิบยื่นความสุขให้แก่ลูก บอกเขาว่าไม่ต้องเคร่งเครียดในการเรียนมาก ไม่เคี่ยวเข็ญ ลูก ไม่จำเป็นต้องได้ที่หนึ่ง แต่จงเรียนอย่างมีความสุข ให้ผ่าน ให้รอดพอ ข้างหน้าจะเป็นยังไงลูกไม่ต้องใฝ่ฝัน ไม่ต้องอยากเป็นหมอ ไม่ต้องอยากเป็นอะไรที่คนอื่นเขาอยากเป็น ลูกจงถามใจของตัวเองว่าลูกปรารถนาอะไรที่เป็นความสุข แล้วจงทำสิ่งนั้น ลูกไม่ต้องไปสนใจว่าอาชีพอะไรที่ทำให้ลูกร่ำรวย อย่านึกถึงความร่ำรวย จงนึกถึงความสุขในใจของตัวเอง แล้วจงทำมัน ได้เงินน้อยไม่เป็นไร แต่ความสุขมีค่ามากกว่า
จงแสวงหาเงินเพื่อเลี้ยงชีวิตให้มีความสุข แต่ไม่ใช่แสวงหาความร่ำรวยแล้วทุกข์ เสียชาติเกิด
แล้วสอนให้เขารู้จักความทุกข์ด้วยหรือเปล่า
แน่นอน เมื่อเขามีความสุขแล้วเราก็จะพูดถึงความทุกข์ทันที จะบอกเขาว่า ขณะนี้ลูกมีความสุข แต่ลูกจะต้องมีความทุกข์ตามมา เป็นต้นว่า ทุกข์เมื่อเสียของรัก ถูกเพื่อนขโมยของ หรือโตขึ้นมามีแฟนแล้วแฟนทิ้ง เมื่อลูกมีความสุข จะพูดถึงความทุกข์ให้ฟังด้วย ไปงานศพต้องพูด ใครตายต้องพูด เพื่อให้เห็นการพลัดพราก ยิ่งเพื่อนตายยิ่งดีเลย เขาจะได้รู้จักว่า ดีเลว สุขทุกข์ คู่กันเสมอ
แล้วตัวอาจารย์เอง สมัยวัยรุ่นเป็นอย่างไร
เราก็บ้าบอคอแตกของเราไป กินเหล้าเมายา เที่ยวสำส่อน แต่โชคดีที่มีธรรมะมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่มนุษย์ต้องเป็นไปตามวัย แต่ว่าเรารู้ตัวตลอด เราบอกตัวเองว่า ต้องการรู้ถึงความเลวเพื่อปล่อยวางในอนาคต
อาจารย์เคยลองเสพยาไหม
ลองทุกอย่าง กัญชา ยากล่อมประสาท อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง แต่ไม่ติด เพราะต้องการศึกษา ต้องการเรียนรู้ ไม่ได้หลงใหลไปกับมัน แต่เด็กที่อ่อนแอ ไม่มีธรรมะนั้น อย่าแตะต้องสิ่งเหล่านี้ เพราะมันไม่มีเป้าหมายอย่างเรา ว่าวันหนึ่งข้างหน้ากูต้องเป็นคนดีคนที่อ่อนแอ พอเสพก็ติดหลงใหลไปเลย แต่เรารู้จักเบรก มีสติ
รู้สึกว่าตัวเองมีธรรมะตั้งแต่เมื่อไร
ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าเรามีธรรมะ แต่ว่ามันถูกสติเบรกตลอดเวลา เช่นเมื่อวันที่เมาที่สุด กลับมาบ้านตอนตีสามตีสี่ น่าจะมีความสุขกับสิ่งที่เสพมาทั้งหมด กินเหล้า มีผู้หญิงสวยๆ คิดดูสิ มันน่าจะมีความสุขใช่ไหม กลับมาบ้านแฮ้ง เมาชิ_หาย นอนเอนหลังอยู่บนเตียง จิตมันถามเลยว่า ไอ้เหลิม มึงสุขเหรอ มึงสุขจริงเหรอวะ เมื่อมีคำถาม เราถึงมีความรู้สึกว่า กู ไม่ได้สุข กูเป็นทุกข์ หนึ่ง กูปวดหัว สอง พรุ่งนี้กูต้องมีปัญหากับผู้หญิงแน่ ต้องมีเรื่องวุ่นวายกับสิ่งที่กูกระทำเมื่อคืนนี้ กูไม่ได้สุขเลย กูหลอกลวงตัวกูเอง การตอบตัวเองนำไปสู่การเรียนธรรมะ เริ่มจากการอ่านงานเขียนของอาจารย์พุทธทาส คู่มือมนุษย์
หลังจากเหตุการณ์นั้นเลยรู้ว่า เฮ้ย! ในใจกูมีธรรมะนี่หว่า
ทำไมถึงเลือกศึกษาธรรมะของท่านพุทธทาส
เพราะ เราไม่เชื่อเรื่องไร้สาระ เราเชื่อเรื่องเหตุและผล บังเอิญมีหนังสือ คู่มือมนุษย์ อยู่แล้วที่บ้าน แต่ไม่เคยอ่าน มีหนังสือธรรมะอยู่เต็มบ้าน เมื่อปี 2525 ศึกษา มาหมดนะ ศึกษามโนมยิทธิ ศึกษาพระธรรมกาย ศึกษายุบหนอพองหนอ ศึกษาทุกสาย เพื่อมุ่งหวังไปสู่ไสยศาสตร์ เดิมทีสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จ ก็ละวางหมด
อาจารย์เชื่อเรื่องชาติภพไหม
เชื่อ มาก และเชื่อว่าธรรมะปฏิบัติในภพชาตินี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่ภพชาติที่ เราปรารถนา ตอนนั้นศึกษาธรรมะของอาจารย์พุทธทาสจนเข้าใจ เมื่อเข้าใจก็เริ่มด้วยการฆ่ากิเลสในใจตัวเอง คือ ก้าวข้ามกระโดดไปสู่การฆ่ากิเลสในใจตัวเอง ฝึกละกิเลส ตั้งแต่ความโลภ ความอิจฉาริษยา ความหลง ยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่าง
มีขั้นตอนไหมว่าต้องเริ่มละกิเลสตัวไหนก่อน
เริ่ม จากตัวที่ง่ายที่สุดก่อนเพื่อเป็นกำลังใจ สำหรับตัวเองที่ง่ายที่สุดคือ ฆ่าเรื่องวัตถุ บ้าบอคอแตก ความบ้าเพชร บ้าพลอย ฆ่าวัตถุ นำไปสู่การฆ่าความหลง ความยึดมั่นถือมั่น เหล่านี้ฆ่าก่อน เพราะมันเป็นตัวอ่อนที่สุดของตัวเรา แต่บางทีมันเป็นตัวแข็งที่สุดของคนอื่น
ฝึกตัวเองให้กินเหล้าน้อยลง กินอย่างมีสติ เจอผู้หญิงสวย ชอบ แต่หยุดยั้งตัวเอง ไม่ลามปามไปสู่การเอาเปรียบผู้อื่น บางคนสวยมาก ทนไม่ได้ พาไปกินข้าว กินข้าวแล้วไม่เอา ถึงแม้ผู้หญิงจะให้โอกาสก็ไม่ทำ สติเบรกตลอดเวลา ไม่ทำอะไรที่ล่วงเกินก้าวข้ามไปสู่สิ่งที่ผิดศีลธรรม
ตอนหลังถอดเครื่องเพชร ถอดนาฬิกาแพงๆ ทิ้ง ไม่ซื้ออีก ไม่ปรารถนา ใส่เสื้อม่อฮ่อม ในขณะที่เมื่อก่อนไปออกงานที่ไหนไม่ใส่เครื่องเพชรไม่ได้ ทุกคนยังไม่เชื่อ หาว่าตอแหล เดี๋ยวมันก็กลับมาใส่อีก
สำหรับอาจารย์ กิเลสตัวไหนฆ่ายากที่สุด
ความโกรธ ความโกรธนี่ยากที่สุด อันนี้ฝึกฆ่ามาตลอด จนเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่อยู่วัดมา สี่ปีแรกก็ยังมีความโกรธ มีความไม่พอใจ สติหยุดความโกรธได้ช้า แต่ไม่เหมือนสมัยหนุ่มนะ สมัยหนุ่มเนี่ยโหดเหี้ยมมาก ตัวนี้ยากที่สุด เหลืออยู่ตัวเดียว ทุกวันนี้ก็ พยายามแก้ แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมาก สามปีหลังนี้ดีมาก ไม่เคยโกรธ หรือถ้าโกรธขึ้นมาก็หยุดยั้งได้เร็วกว่าแต่ก่อน
กับคนที่เรารักนี่โกรธไหม
โกรธ หมด รักเริกอะไร โกรธหมด ไม่พอใจกูโกรธหมด ตัวนี้ฆ่ามันทุกวัน ฆ่ามันทั้งภายนอกภายใน เมื่อภายนอกเกิดความโกรธ สติต้องกำหนดว่า มึงโกรธแล้ว หยุดความโกรธ คำสั่งจะออก แต่เมื่อก่อนนี้คำสั่งออก ทำเลย ไม่สน กะซวกทันทีเลย
ตอนหลังนั่งสมาธิ ย้อนรอบ ชอบนั่งสมาธิตอนตีสองตีสาม มันจะย้อนให้เราเห็น ภาพอย่างละเอียด ทำไมกูยั้งไม่อยู่ จิตกูทำไมพ่ายแพ้กับมัน จะเห็นภาพชัดมาก เอาละ รอบหน้า เราจะยั้งด้วยวิธีอะไร อย่างนี้เขาเรียกว่าแก้ภายนอกแล้วแก้ภายใน แต่ถ้าไม่แก้ภายใน ภายนอกยังไงก็แก้ไม่ได้
เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า ก่อนตายถ้าจิตสุดท้ายคิดถึงสิ่งดีๆ ที่เคยทำมา แม้จะเคยทำชั่วมาบ้าง แต่ถ้าจิตสุดท้ายกระหวัดไปถึงบุญกุศล ก็จะทำให้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ อาจารย์เชื่ออย่างนั้นหรือเปล่า
การ ฝึกวิปัสสนาฆ่ากิเลสของตัวเองก็เพื่อมุ่งไปจิตสุดท้ายนี่แหละ เราจะได้ไม่ต้องไปกระซิบข้างหูคนที่กำลังจะตายให้คิดถึงวัด คิดถึงบุญกุศล เพราะเอาเข้าจริงมันคิดไม่ได้หรอก ตัวกิเลสมันมีอำนาจมากกว่า ความหวงผัว หวงทรัพย์สมบัติ ความกลัวตายมันมากกว่า กูจะตายจริงเหรอ โอ๊ย! กู ไม่อยากตาย กูไม่อยากตาย หลานกูยังเล็กอยู่ ผัวกูมันต้องไปมีเมียน้อยแน่ สมบัติที่ซ่อนไว้ยังไม่ได้บอกใคร อยากจะพูด อยากจะบอกสารพัด คิดเหรอว่าความคิดที่เพิ่งไปทำบุญมาสามร้อยห้าสิบบาทมันจะแวบขึ้นมา ไม่มีทาง
ดังนั้นต้องฝึกเพื่อที่ว่าก่อนตายจะได้คิดเรื่องดีๆ หรือไม่คิดเลย ซึ่งสุดยอด ต้องฝึกให้ไปสู่จุดนั้น
พูดถึงสุขภาพอาจารย์บ้าง เป็นอย่างไร ตรวจเช็คบ้างหรือเปล่า
ไม่ต้องเช็ค คนที่มีธรรมะแล้วเขาไม่อยากอยู่ในโลกนี้หรอก สำหรับตัวเองเมื่อป่วย บอกคนใกล้ชิดไว้แล้วว่าอย่าเป็นกังวล จงปล่อยให้ตายอย่าเอาหน้ากากมายัด อย่าเอาสายระโยงระยางมายัด จะทำอาการสำรวมสงบแล้วตาย จะเข้าสมาธิให้อยู่ในความว่างแล้วตาย ถ้าร่างกายไม่ดีเมื่อไหร่ จะเข้าสมาธิ พักผ่อน ไม่กินยา ก็หายทุกที ยกเว้นโรคอย่างมะเร็ง อัมพาต หรืออะไรที่สูงๆ นี่เป็นกรรม ต้องยอมรับด้วยความเบิกบาน ถือเป็นการชดใช้กันไป เมื่อป่วยก็จะเป็นสุข
ได้ยินว่าอาจารย์เคยมีปัญหาสุขภาพถึงขนาดจะสร้างวัดไม่สำเร็จจนต้องตั้งจิตอธิษฐาน
เป็นกระดูกทับเส้นประสาท เดี้ยง ชาทั้งตัว ปวด ทำงานไม่ได้ ตอนนั้นสร้างวัดมาได้ สักสามปี เดี้ยงหมดเลย นอนเจ็บทรมาน ไปหาหมอ หมอก็บอกต้องผ่าคอ ชาไปข้างหนึ่งแล้วเจ็บปวดทั้งตัว ปวดแขนร้าวลงมา คอก็ยกไม่ขึ้น นอนได้ท่าเดียวตลอด ต้องใส่ปลอกคอ
แต่ว่าเราเป็นคนที่เชื่อเรื่องกรรม เชื่อว่า เฮ้ย! เป็น เรื่องส่วนตัวของกู ถ้ามีกรรมทำให้ไม่สามารถสร้างวัดได้ จงเป็น แล้วตายไป หรือเป็นอัมพาตเดี้ยงไปเลย แต่ถ้าบุญกูยังมีอยู่ กูต้องชนะ กูต้องรอด เลือกเลย ยินดีทั้งสองทาง ยินดีในบุญ ยินดีในกรรม ยินดีในทุกข์ที่เกิดขึ้น ยินดีในสุขที่เกิดขึ้น ยินดีทั้งสองอย่างเท่าเทียมกัน เสร็จแล้วกลับมาวัด เข้าสมาธิ อดทนต่อสู้กับความเจ็บปวดของตัวเองอยู่สามเดือน เอาชนะความเจ็บปวดทุกอย่างด้วยตัวเราเอง จนกระทั่งหายเป็นปลิดทิ้ง
ไม่ไปหาหมอ
ไปหาหมอ หมอจะผ่า หมอจะจัดการทุกอย่างตามระบบของแพทย์ แต่เราก็หลอกหมอว่า ขอกลับบ้านมาคิดดูก่อน เชื่อว่ามันเป็นสภาวะของกรรมซึ่งเข้ามาทดสอบใจเรา รู้เลยว่านี่เป็นเรื่องระหว่างกูกับกรรมเก่า ไม่เกี่ยวกับหมอ ไม่เกี่ยวกับใคร
ตอนนั้นกลัวไหมว่าจะสร้างวัดไม่เสร็จ
ไม่ สร้างได้ เรื่องทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ถ้าเราเชื่อในตัวเราเชื่อว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เป็นหนทางที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ชีวิตเราจะมีแต่ความสุข โคตรความสุข เราจะมองว่าสรรพสิ่งสรรพสัตว์ในโลกล้วนกระจอกงอกง่อย ไร้สาระ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร โลกมนุษย์นี้กูเดินทางมาแค่แวบเดียว เพื่อมาดูมันแล้วกูก็จะไป มันไม่มีค่าอะไรเลยสักอย่าง ป่วยก็ไม่อยากให้ใครมายุ่งเกี่ยว เป็นอัมพาตอัมพฤกษ์กูก็ยินดี กูจะนั่งรถเข็นด้วยใจที่เบิกบาน บอกเมียเตรียมรถเข็นไว้เลย ไม่ต้องห่วง ถ้าเดี้ยงก็จะบอกลูกศิษย์ลูกหาให้เข็นมาดูวัด แล้วกูสั่งการมึง กูนั่งรถเข็น กูเดี้ยงข้างหนึ่ง ถึงปากกูเบี้ยวหน้ากูยังยิ้ม (ทำท่าประกอบสมจริงมาก) กูก็ยังมีความสุข แล้วกูก็ป่วยไปเรื่อยๆ แล้วกูก็ตาย จบที่สุดของวิบากกรรม ไม่เห็นเป็นไรเลย วัดนี่สร้างได้อยู่ดี
แล้วอาจารย์หายได้อย่างไร
นั่งสมาธิอย่างเดียว นั่งมากที่สุด เป็นความว่างอย่างเดียว ดับสมอง ดับทุกอย่าง แล้วก็จี้ไปตรงความเจ็บปวด จนกระทั่งไร้ความเจ็บปวด เวลาออกสมาธิกลับมาปวดอย่างเดิม ก็ไม่เป็นไร ไม่สน ไม่ไปจ้องที่ความเจ็บปวด ไม่ไปคิดว่า ทำไมกูถึงมีกรรมขนาดนี้ ทนรับกรรมด้วยความเบิกบาน ไม่หดหู่ใจ ไม่เศร้าหมอง ไม่เสียใจ ไม่รู้สึกรำคาญ ไม่ อยากฆ่าตัวตาย พอเรายินดีเบิกบานในความเจ็บปวด ความเจ็บปวดนั้นก็เบาลง
จำไว้ว่า คนที่สุขจริงคือสุขได้แม้กายเป็นทุกข์ สองสิ่งนี้คู่กันเสมอ ฉะนั้น จงยินดีรับทุกข์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เท่ากับยินดีในสุขที่เกิดขึ้น
ในการสร้างวัดร่องขุ่น คนพูดกันว่ามีปาฏิหาริย์หรือมีเทวดามาช่วย อาจารย์รู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า
อย่าไปสนใจ ไร้สาระ บุญถึงมันก็สร้างได้ บุญคืออะไร คือธรรมะในใจของตัวเราเอง คือมีความเมตตา นำไปสู่ความสำเร็จทุกอย่าง ประหนึ่งเทวดามาดูแลปกปักรักษา มาคุ้มครองคุ้มภัย มนุษย์ถ้าสร้างบุญมาก ทำอะไรก็สำเร็จง่ายดาย
จุดประสงค์ที่อาจารย์สร้างวัดร่องขุ่น แท้จริงแล้วคืออะไร
ภายนอกเป็นเรื่องของรูปธรรม ว่าสร้างเพื่อค้ำจุนศาสนา เพื่อที่จะมอบให้แก่ชาติบ้านเมือง และเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นศิลปะสมัยรัชกาลที่ 9 ที่ไม่ ลอกเลียนใคร เป็นความกตัญญูในบ้านเกิด ต้องการให้เกิดประโยชน์ในแง่ของเศรษฐกิจ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่ระดับโลก
ส่วนภายในเป็นเรื่องนามธรรม เพื่อเป็นสัมภาระในการเดินทางของจิตวิญญาณไปสู่สภาวะแห่งการไม่กลับมาเกิด
สมมุติถ้าเกิดอะไรขึ้นกับวัด อาจารย์ทำใจได้หรือ
ศึกษา ธรรมะมาขนาดนี้ จะไปยึดมั่นอะไรเล่า สร้างก็สร้างไป ตายก็ตายไป ก็บอกแล้วว่าความตายก็ไม่สนใจ จะสนใจวัตถุพวกนี้ได้ไง มันไม่มีค่าอะไร ค่าเหล่านี้มันเป็นค่าจากการปรุงแต่งของมนุษย์ตัวอื่น ไม่ใช่สัตว์อย่างกู ช่วยเขียนไปด้วย มนุษย์ตัวอื่นมันยินดี มันยึดติดถือมั่น แต่คน อย่างเราไม่ใช่ เราสร้างเพื่อปล่อยวาง สร้างเพื่อฆ่ากิเลสของตัวเอง สร้างเพื่อเป็นสารประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติที่มันยังยึดติดและหลงใหลในสิ่งนี้อยู่
จากจุดนี้แล้วอาจารย์ตั้งใจจะทำอะไรต่อคะ
สร้างความเมตตาให้แก่กล้า หยิบยื่นทุกอย่างให้แก่ประชาชน ประเทศชาติ และศาสนา จะทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์คนอื่นจนลมหายใจสุดท้าย เมตตาคือสิ่งที่สูงที่สุดของบุญบารมี นี่คือการสร้างบุญบารมีในรอบสุดท้ายของตัวเอง
ว่าไปแล้วก็เป็นการทำเพื่อหลุดพ้นของตัวเอง แปลว่ายังมีตัณหาใช่หรือไม่
ใช่ สิ ต้องเข้าใจว่าตัณหาของมนุษย์มีทั้งฝ่ายดีแหละฝ่ายเลว ฝ่ายดีต้องมีความทะเยอทะยาน มุ่งไปสู่ความหลุดพ้น ถ้าไม่มีตัณหา จะพยายามเหรอ ทุกอย่างมันต้องมีตัณหาหมด เขาเรียกว่าตัณหาฝ่ายดี ก่อนหลุดพ้นต้องมีตัณหาทั้งนั้น ตัณหาในที่นี้คือมีความอยากที่จะหลุดพ้น คนไม่มีความมุ่งมั่น ไม่อยาก มันจะเป็นอะไรได้ ไม่งั้นจะมีศาสดามาได้ไง จะมีผู้หลุดพ้นมาได้ไง
การเป็นมนุษย์มันดีตรงนี้ สัตว์มันไม่มีความมุ่งมั่น ไม่มีแรงทะเยอทะยาน การเกิดเป็นมนุษย์จึงเป็นการพัฒนาธรรมะของตัวเอง พัฒนาภพชาติของตัวเอง การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นโชคดีที่สุด เพราะมนุษย์มีความทะเยอทะยาน มีเป้าหมาย
บั้นปลายชีวิตอาจารย์คิดจะบวชไหม
ไม่ต้องการบวช เพราะเชื่อว่าไม่ต้องบวชก็สามารถละภพชาติได้ เราบวชภายใน ไม่ต้องบวชภายนอก เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ช่วยเหลือ เมตตา ไม่ เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดอย่างมีคุณธรรม
คำถามสุดท้าย อาจารย์คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะหรือเปล่า
ไม่เลย อัจฉริยะเป็นเพียงคำจำกัดความของคนที่เหนือกว่าผู้อื่น เราไม่ได้เหนือกว่าผู้อื่น เรามองค่าของใจมากกว่าวัตถุ ไม่มองวัตถุเหนือใจ คนอาจมองว่าเราเหนือกว่าคนอื่นในเรื่องวัตถุ แต่เรากลับเห็นว่าตัวเองกระจอก ไม่มีค่าเลย ใจของเราที่ต่อสู้มา ที่ฝึกฝนมานั้นสำคัญกว่า วัตถุเดี๋ยวนี้ผุพังไปตามกาลเวลา มันไม่คนทน ไม่ได้งดงามอย่างนี้ไปตลอด สุดท้ายมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของไม่เที่ยง แต่สิ่งสำคัญคือใจเรา ดังนั้นใครจะบอกเป็นอัจฉริยะอะไร ไม่สนใจ ไม่เคยเย่อหยิ่งทรนงว่าพิเศษเหนือกว่าคนอื่น
สิ่งเดียวที่พิเศษกว่าคือ กูไม่มีทุกข์
ขอบคุณที่มา //www.kanlayanatam.com/sara/chalermchai.pd
ขอบคุณผู้โพสต์ใน Mthai.com
Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2552 11:08:13 น.
3 comments
Counter : 691 Pageviews.
Share
Tweet
โอ๊ย.. อ่านแล้ว ถูกใจ.. ขอบคุณที่เอามาโพสต์นะคะ.. ป้าชอบอาจารย์เฉลิมชัยมาก..
เคยไปงานหนังสือเมื่อหลายปีก่อน เจออาจารย์กำลังแจกลายเซ็นต์หนังสือ ป้าเดินรี่เข้าไปต่อแถวเลย.. วันนี้ ซื้อ 2 เล่ม เล่มนึงเอาไว้อ่าน อีกเล่ม ที่อาจารย์เซ็นต์ชื่อให้ เอาเก็บไว้ กลัวเอามาอ่านแล้วมันเยิน..
เอ.. แบบนี้ ป้ายึดติดหรือป่าวเนี่ย..
โดย: ป้าแก่ (
elastigirl
) วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:10:43:49 น.
Thx for the post! love it!
โดย: Annie/Fl. IP: 173.78.87.83 วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:12:29:59 น.
ขอบคุณค่ะ
โดย:
little bear june
วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:20:54 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [
?
]
Friends' blogs
nongtennis
Webmaster - BlogGang
[Add 's blog to your web]
Links
yokosojapan
jnto
tokyojuku
bkkonline
word2word
mlcjapanese
japanese.about
thejapanesepage
learn-japanese
japan-guide
thaiceotokyo
tpa
jsociety
j-doramanga
pingbook
maama
siam-legal
j-prep
Note Udom
womansday
สูตรอาหารลดน้ำหนัก
hamamoto-house
panorama
กลอนดีมีแง่คิด
dungtrin
dhammathai
พุทธทาสภิกขุ
englishtown
pixpro's
healthcorners
dhammajak.net
readersdigest
johnrobertpowers
e-obento
educatepark
horasaadrevision
nhkworld/kitchen
pingmag
japan-zone
japaninteractive
glitter-graphics
bkkmenu
horapa
lovetoknow
beauty.ivillage
fungdham
decorreport
dramacrazy
study.u-biq
archeep
cheewajit
healthandcuisine
baanlaesuan
images.google
images.google1
tlcthai.com
tpa.or.th/slc/hotlink
dahong.co.kr
learnkorean
jpopkpop-music
koreakpop
yourhealthyguide
silentregrets
codetukyang
globalfashionreport
blog/koreanfood
korea.tlcthai
mykoreankitchen
drama.watch
apartmenttherapy
trendhousedesign
homedesigncorner
corichan
aheeyah
popcornfor2.com
swimming.startth
dramaidol
marthastewart
hilunch
thaipbs.or.th/EatamAre
daco.co.th/thai
fashionistablogg
fashionista-playground
nationejobs
nationchannel
thairath.co.th
dailynews.co.th
bangkokbiznews
maangchi
cookingkorean
arirang.co.kr
dramafans
dramasub
jukkool/series korea
nungning.net
ihoneydew
doo-series
series8-fc
koreanstar.net
linguanaut
koreandictionary
koreanclub
cherryblossom-garden
weloveseries
jpopasia.com/charts
KoreanClass101
talktomeinkorean
youtube.com/watch
learnkorean
korean-language
arirangworld
youtube.com
lexilogos/keyboard
anyongkorea
quizlet/korean
romanization.song
koreandramaost
starones.wordpress
dramaload
elanguageschool
lifeinkorea
English-Korean-Dict
popcornfor2/korean
rki.kbs.co.kr/learn
parksguide/learn
mylanguages/korean
blog.paran.com
chineselanguage
sugoideas.com
lengmocn
jload.info
5566lyrics
bbc.co.uk/Chinese
mykoreabuddy
harukorean
youtube/Vlog
youtube/korean food
english.visitkorea
talktomeinkorean
lovekpopsubs
music.siamza
hanguladay
talktomeinkorean/videos
nhkworld/cooking
erin.ne.jp/en/
japanese-aiyori
kanji-a-day
berkeley/korean
marumura
coscom.co.jp
japanesepod101
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
เคยไปงานหนังสือเมื่อหลายปีก่อน เจออาจารย์กำลังแจกลายเซ็นต์หนังสือ ป้าเดินรี่เข้าไปต่อแถวเลย.. วันนี้ ซื้อ 2 เล่ม เล่มนึงเอาไว้อ่าน อีกเล่ม ที่อาจารย์เซ็นต์ชื่อให้ เอาเก็บไว้ กลัวเอามาอ่านแล้วมันเยิน..
เอ.. แบบนี้ ป้ายึดติดหรือป่าวเนี่ย..