White Chocolate Martini หวานมันและมึนๆ
สวัสดีครับ พบกันอีกแล้วในวันศุกร์กับการดื่มที่รับผิดชอบ (เบื่อประโยคนี้กันหรือยังครับ) วันศุกร์นี้เป็นวันศุกร์พิเศษครับ คือเป็นวันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ ซึ่งมันจะผ่านมาทุกๆ 4 ปี เป็นการทดเวลาโลกจนครบ 1 วัน ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่า 1 วันจะมี 24 ชั่วโมงกับอีก .0000??? เท่าไรของวินาที แต่ช่างมันเถอะครับเอาเป็นว่าปีนี้เรามีวันทำงานเพิ่มมาอีก 1 วัน (เฮ้อ...เหนื่อย) คุณๆคงจะเห็นชื่อโปรยหัวแล้วนะครับว่าวันนี้คุณๆจะได้ดื่มอะไร ขอบอกก่อนนะครับว่าเป็น alcohol ล้วนๆครับ ต้องรีบดื่มก่อนจะเลือกตั้ง ส.ว. ครับ ผมว่าไปเลือกกันเถอะนะครับ ถึงคุณๆจะไม่ได้ลงคะแนนเลยก็ยังดีกว่าที่คุณๆจะไม่ไป ผมว่าเป็นสิทธิ์ที่เราจะได้ใช้ เพื่อวันข้างหน้าคุณๆจะได้ขัดคร้านพวกเขาได้ (เผื่อไว้ก่อนครับ ผมไม่มีเจตนาจะยุยงอะไรนะครับ)
เอาล่ะครับผมว่าจบย่อวรรคแรกไว้เพียงเท่านี้ก่อนเรามาว่ากันถึงเรื่อง alcohol กับ liqueur กันดีกว่า เริ่มจาก alcohol ก่อนแล้วกันครับ จากที่ผมได้นั่งเขียนบทความเกี่ยวกัน cocktail มาผมได้พูดถึง alcohol มาหลายอย่างแล้ว ตั้งแต่ Rum,Vadka,Tequila, วันนี้ผมจะขอแนะนำ Gin กันบ้างนะครับ(จริงๆแล้ว cocktail สูตรนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับเจ้า Gin ตัวนี้เลย แต่ถ้าไม่พูดถึงตัวอื่นเลยผมคงเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ให้ความรู้คุณๆไม่หมดครับ)
GIN เป็นเหล้าชนิดหนึ่งครับในเหล้าหกอย่างที่เป็นหลักในการทำ cocktail ครับ (เจ้าตัวนี้คนอังกฤษชอบมากๆ) gin เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 ที่ฮอลแลนด์โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส(แปลกคนอังกฤษชอบแต่ดันไปเกิดที่ฮอลแลนด์)ชื่อ Dr. Slyvia ในระยะแรกๆเหล้าตัวนี้ใช้ในทางด้านการแพทย์ครับ และยังมีจำหน่ายในร้านขายยาอีกด้วย(ให้ได้งั้นสิ) gin ใช้ในการรักษาโรคเกี่ยวกับ ลำไส้ โรคเกาต์ และโรคถุงน้ำดี gin มีส่วนประกอบของสมุนไพรหลายชนิดเช่น ธัญพืช angelica (เขาบอกว่าเป็นพืชตระกูลผักชี) orris root (อันนี้ใช้ในการทำหัวน้ำหอม) dried citrus peel (เป็นเปลือกพืชตระกูลส้มมะนาว) ยี่หร่า เมล็ดผักชี เป็นต้นครับ ต่อมามีคนทะลึ่งนำเม็ดผลไม้ชนิดหนึ่งชื่อ จูนิเปอร์ แบร์รี่ (Juniper Berry) ผสมลงไปด้วยคราวนี้เลยเป็นเรื่องครับ(เรื่องคือเมาแบบหอมๆครับ คริ คริ)เขาก็เลยเรียกเจ้า gin ในสมัยนั้นว่า เจนีเวอร์ (Genever) หมายถึง จูนิเปอร์ ในภาษาฝรั่งเศส ส่วนคำว่า Gin เป็นภาษาอังกฤษครับ มีรากศัพท์มาจากคำว่า Geniever ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส และ ต่อมาเป็น Genever และหลังจากเหล้าตัวนี้เป็นที่นิยมในอังกฤษ คนอังกฤษเลยเรียกเจ้านี้ว่า ยิน(Gin)จนถึงทุกวันนี้ครับ(แปลกันไปแปลกันมา สุดท้ายเมาครับ ยังไม่ได้ดื่มเลย แต่เมาเพราะภาษากับความหอมของเจ้าเหล้าตัวนี้)
ลักษณะเด่นๆของ gin คือไม่มีสี (สีใสครับหรือเรียกว่าเหล้าขาวนั้นเอง) กลิ่นของเจ้าเหล้าตัวนี้แรงครับแรงแบบหอมกลิ่นจูนิเปอร์และรากไม้ (แต่ไม่เหมือนพวกเหล้าโสม เหล้ายา นะครับ) หรือเรียกเหล้าตัวนี้อีกอย่างว่า เหล้าน้ำหอม ครับ
Gin มีทั้งหมด 5 ชนิดครับคือ
1.Dry Gin เป็น gin ที่มีผลิตกันทั่วไป รสไม่หวาน แต่คุณภาพไม่ค่อยดีครับ
2.London dry gin เป็น gin คุณภาพดีที่นิยมกันมากที่สุดในโลก ชนิดนี้จะต้องผลิตในอังกฤษเท่านั้น และใช้วิธีการกลั่นแบบต่อเนื่อง(แล้วผมจะเล่าเรื่องการกลั่นให้ฟังเมื่อผมว่างครับ)
3.Plymouth Gin ทำจาก Plymouth และต้มกลั่นที่นี้เท่านั้น รสไม่หวาน แต่หาซื้อไม่ได้ครับ(สงสัยต้องซื้อที่นั้นด้วย)
4.Old Tom Gin เป็นต้นกำเนิดของ cocktail ชื่อTom Collins ซึ่งต้องใช้ตัวนี้ผสม มีรสหวานเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวนี้ แต่มีเหล้าตัวนี้ขายน้อยมาก
5.Dutch Gin หรือ Hollands Gin หรือ Genever ทำใน Amsterdam ฮอนแลนด์(ชื่อก็บอกอยู่ครับ)และมี 2 ชนิด คือ oude genever กับ jonge genever หรือจะเรียกกันว่า Old Gin และ Young Gin ซึ่งจะบรรจุอยู่ในขวดเซรามิก รสชาติส่วนใหญ่จะเป็นแบบไม่หวาน มีกลิ่นแรงแบบธรรมชาติ และนอกจากจะมี 5 ชนิดหลักๆแล้วยังจะมี พวก Fruit Gin เช่น Sloe Gin ทำจากผลไม้จำพวก runusspinosa orange gin และ Lemon Gin เป็นต้น (โอ้วพระเจ้า...พอแล้วแค่นี้ก็เมาหัวทิ่มบ่อแล้วยังจะมีกลิ่นโน้นกลิ่นนี้อีกหรือ)
การสังเกตว่า gin ตัวไหนเป็นอะไรให้สังเกตที่ ข้างขวดนอกจากชื่อยี่ห้อครับ(ไม่เข้าใจว่าคนไทยทำไมให้ความสำคัญกับชื่อยี่ห้อมากกว่าชื่อการผลิตก็ไม่รู้) มันจะเป็นตัวบอกเลยว่ามาจากไหน เป็นชนิดอะไร แล้วก็จำคำอธิบายที่ผมบอกคุณๆไปนะครับ เช่น London Dry Gin ทำจากอังกฤษ รสไม่หวาน คุณภาพดี Dry Gin ทำกันทั่วไป รสไม่หวาน คุณภาพรองจาก London Dry Gin เป็นต้น
เอาล่ะครับพูดเรื่อง alcohol มานานมากจนผมอยากดื่ม...น้ำแล้ว วันนี้ผมขอแนะนำ liqueur ที่ใช้ในการประสมเครื่องดื่ม cocktail แก้วนี้ ขอเชิญคุณๆพบกับ ตึ่ง...ดึง...ตึ่ง...ดึง... Creme de cacao เป็น liqueur จากเวเนซุเอรา ทำมาจากโกโก้ที่ดีที่สุดของโลกประสมกับ Rum น่าจะเป็นอย่างนั้นนะเพราะประเทศทางแถบชายทะเลจะผลิต Rum ได้รสชาติดีกว่าที่อื่นและอ้อยหรือกากอ้อยที่ใช้ผลิต Rum จะปลูกได้ทางประเทศเขตร้อนเท่านั้น(ที่นั้นโกโก้อร่อยมากครับเคยมีคนเอามาให้ชิมแบบยังเป็นเม็ดดิบๆยังอร่อยเลย)รสหวานมาก กลิ่นวนิลาและโกโก้ alcohol จะอยู่ระหว่าง 25-30%ต่อขวดครับ
ครับคุณๆก็ได้รู้จัก alcohol และ liqueur กันไปแล้วต่อไปนี้คุณๆจะได้รู้จักวิธีการทำและวิธีการใช้ shaker กันแล้วครับ วันนี้มีคนมาปรุงเครื่องดื่มให้อีกแล้ว (ขี้เกียจจริงๆตา veerar) ผมมีข้อแนะนำในการชมคือ ชมแต่วิธีการทำเครื่องดื่มเท่านั้นนะครับอย่าได้มองไปที่คนทำเด็ดขาดเพราะจะทำให้คุณๆดื่มคนทำแทน คริ คริ และหากระดาษทิชชู่มาซับน้ำลายด้วยนะครับ คริ คริ ฮาๆๆๆๆๆ
//
เป็นไงบ้างครับน้ำลายหกไปกี่ถังแล้ว อิอิ ต่อไปจะเป็นการทำความรู้จัก shaker กันบ้าง สำหรับงานบาร์เทนเดอร์เราจะมี shaker ให้ใช้กัน 2 แบบ แบบ standard shaker ที่คุณๆรู้จักกันดี และ Boston shaker เจ้าตัวหลังนี้บาร์เทนเดอร์ใช้กันมากครับเพราะสามารถใส่เครื่องดื่มได้มาก สามารถเทเครื่องดื่มที่ต้องใส่น้ำแข็งลงในแก้วได้เลยโดยไม่ต้องเปิดฝาให้ยุ่งยาก ขนาดมีตั้งแต่ 8-30 Oz และสามารถใช้ในการเทเครื่องดื่มให้มีลีลามากขึ้นด้วยครับ(ผมมีอยู่ชุดหนึ่ง กว่าจะได้มาเลือดตาแทบกระเด็น)
standard shaker ที่คุณๆรู้จักกันดี(แบบนี้เขาจะใช้ในงานครัวด้วยครับ)
อันนี้เป็น Boston shaker ครับ
ผมมีคนมาแนะนำเรื่องการใช้งานและรู้จักอุปกรณ์ด้วยครับ ชื่อคลิปนี้ตอนผมเปิดมาถึงกับตะลึงครับมันชื่อว่า Cocktail on the fly (จะบินแล้วจะโดนหัวใครไหมนี่) เอาล่ะครับขอเชิญคุณๆรับชมได้แล้วครับ(อย่าลืมคำเตือนนะครับ คริ คริ อิอิ แล้วจุดธูปด้วย ฮาๆๆๆ)
//
วันนี้เป็นวันพิเศษครับเนื่องจากผมพิมพ์มาเป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว ผมมีคนอยากจะแนะนำอีกคนครับ(หลายคนเหลือเกินวันนี้)เขาทำให้ผมอยากเป็นบาร์เทนเดอร์ครับ เอาไปเลยครับ 2 คลิป แล้วผมขอลาไปเลยนะครับ อย่าลืมครับเมาไม่ขับ เมาไม่ขับ
//
//
Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2551 |
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2551 22:26:59 น. |
|
52 comments
|
Counter : 3389 Pageviews. |
|
|