อาบด้วยอารมณ์ ห่มด้วยความเหงา..มึนและซกมก
 
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
6 พฤษภาคม 2552

ที่ทำงานไม่ใช่บ้าน




"...สำหรับประเทศไทย ได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ร่วมกับแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ..."

ฉันนอนดูรายงานข่าว ที่นายกรัฐมนตรีของเรากล่าวต่อผู้แทนประเทศต่าง ๆ
เกี่ยวกับการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ในการประชุมระดับสูงว่าด้วยสภาพภูมิอากาศ
ณ สำนักงานองค์การสหประชาชาติ
ได้ยินแล้วก็อดคิดดัง ๆ ในใจไม่ได้..
"แหม พูดซะหรู ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงซะมากกว่ามั้ง"

อย่างน้อยก็เมื่อได้มองผ่านความเป็นจริงที่ได้พบเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในที่ทำงานใหม่ของฉันเอง...

ความจริง เวลา ๗.๓๐ น.
ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นชายแดนกรุงเทพ ทุก ๆ เช้าจะมีรถตู้ของสำนักงานมาจอดรอรับพวกเราไปทำงาน
อากาศที่นี่ยังดีพอที่ฉันจะรู้สึกสดชื่นเวลามองแสงแดดยามเช้า
ที่ส่องผ่านช่องว่างระหว่างใบของต้นไม้ใหญ่ลงมาเป็นเป็นลวดลายดวง ๆ ที่พื้น
ยังดีพอที่จะรู้สึกสบายใจเวลาเห็นนกตัวเล็ก ๆ บินลงมาจีบกันหนุงหนิงอยู่บนทางเดิน
แต่ไม่ว่าอากาศในตอนเช้าของที่นี่จะดีแค่ไหน
มันก็แค่ดีพอสำหรับคนที่เดินผ่านไปมาเท่านั้น แต่ไม่เคยดีพอสำหรับคนที่คิดว่าตัวเองมีทางเลือกที่ดีกว่า
เช่น การติดเครื่องยนต์และเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำทิ้งไว้อย่างรถตู้ของเรา
ฉันเคยเสนอให้ใช้วิธีเปิดประตูให้อากาศถ่ายเท เหมือนรถบางคันที่จอดอยู่ในบริเวณเดียวกัน เพื่อเป็นการประหยัด
คิดดูก็ไม่น่าจะยาก เพราะระยะเวลาที่ต้องรอให้พนักงานมาครบก็ไม่นานจนเกินไป
ถึงแม้ในขณะที่พูดฉันจะไม่ได้หมายถึงการประหยัดเงินค่าน้ำมันเพียงอย่างเดียว
หากรวมถึงการประหยัดน้ำมันซึ่งเป็นพลังงานของโลก
แต่ดูเหมือนลุงคนขับรถจะเข้าใจความหมายของฉันผิดไปแน่ ๆ เพราะคำตอบที่ได้คือ
"ประหยัดทำไม ค่าน้ำมันเบิกได้ทั้งนั้น"

ความจริง เวลา ๘.๑๕ น.
พนักงานกำลังชงกาแฟถ้วยแรกของวันของแต่ละคน
ด้วยน้ำจากกระติกน้ำร้อนที่เสียบทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานของเมื่อวานและเมื่อวาน
ฉันหมายถึงกระติกน้ำร้อนของสำนักงานแห่งนี้ไม่เคยถูกถอดปลั๊ก
มันจึงเดือดแล้วอุ่น อุ่นแล้วเดือด สลับกันไปอย่างนี้จนกว่าจะถึงวันหยุด
มีครั้งหนึ่งช่วงที่ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่
ตอนเย็นก่อนกลับบ้านฉันเห็นไฟที่กระติกยังเป็นสีแดงอยู่ จึงดึงปลั๊กออก
และเช้าวันรุ่งขึ้น...
"ใครถอดปลั๊กออกเนี่ย แล้วจะเอาน้ำที่ไหนชงกาแฟ ?" พี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

"หนูเอง เอ่อ..ตอนเช้าแม่บ้านเค้าไมได้มาเสียบให้เหรอ"
ฉันตอบ พร้อมทั้งถามออกไปตามความเข้าใจของตัวเอง

"โอ๊ย! ก็เป็นที่รู้กันว่าปลั๊กนี่วันธรรมดาไม่เคยถอด แล้วแม่บ้านเค้าจะรู้ได้ไงว่าเช้านี้จะต้องมาเสียบให้น่ะ"
พี่คนนั้นตอบด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ

"อ้าว แบบนี้ก็เปลืองไฟแย่สิ แล้วเสียบทั้งวันทั้งคืนไม่กลัวไฟช็อตเหรอ ?" ฉันยังมีหน้าถามต่อ

"มันไม่เป็นไรหรอกน่า แต่ถ้ามัวแต่เสียบ ๆ ถอด ๆ ก็เสียเวลาแย่สิ"
พี่คนนั้นตอบขณะที่กำลังเดินนวยนาดไปหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านข่าวบันเทิง

นับเป็นเรื่องแปลกสำหรับฉัน ที่คนที่นี่กลัวไม่มีน้ำร้อนชงกาแฟ
แต่ไม่กลัวเปลืองไฟ ไม่กลัวไฟไหม้ที่ทำงาน..

ความจริง เวลา ๘.๓๐ น.
ก่อนอื่นฉันต้องบอกก่อนว่าที่ทำงานของฉันอยู่นอกเมือง มันถูกรายล้อมด้วยทุ่งนาและสวนที่ปลูกไว้ห่าง ๆ
ภายในรั้วมีสนามหญ้า ขนาดใหญ่เกือบเท่าสนามฟุตบอล
ถัดมามีอาคารสามหลัง ซึ่งด้านหน้าปลูกต้นอินทผลัม ต้นใหญ่เท่าต้นมะพร้าวไว้เป็นทิว
ส่วนด้านหลังมีต้นจามจุรีขนาดใหญ่หลายต้นปลุกไว้ทั่วบริเวณ
อากาศที่นี่จัดว่าดีทีเดียว ยิ่งถ้านำไปเทียบกับที่ทำงานส่วนใหญ่ที่อยู่ในเมือง
อาคารที่เป็นสำนักงานมีบานหน้าต่างเป็นกระจกที่สามารถเลื่อนเปิดปิดได้
ไม่ว่าจะเพื่อรับแสงหรือรับอากาศ แต่หน้าต่างทุกบานถูกปิดตาย
และมีมู่ลี่ปรับแสงที่ถูกปรับให้ทึบจนแสงสว่างจากภายนอกแทบไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้
แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์จึงถูกนำมาใช้แทนที่แสงจากธรรมชาติอย่างสิ้นเชิงตลอดระยะเวลาที่พวกเราทำงาน
ฉันเคยลองปรับมู่ลี่ให้แสงจากข้างนอกผ่านเข้ามาได้บ้างเพื่อทำหน้าที่แทนหลอดไฟบางดวง
และเคยลองปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไปที่ ๒๕ องศาเซลเซียส
แต่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ที่มู่ลี่ถูกปรับกลับไปเป็น "สถานะเข้าถ้ำ"
และเครื่องปรับอากาศก็กลับไปเป็น "สถานะขั้วโลก" ตามเดิมทุกครั้งไป

ความจริง เวลา ๑๑.๕๕ น.
หลังจากการระบายกระแสน้ำเสียส่วนตัวเป็นไปอย่างราบรื่น
ฉันก็เอื้อมมือไปคว้าสายฉีดชำระมาจัดการกับอวัยวะอันเดียวคู่กาย
สายน้ำถูกฉีดยังเป้าหมายจนรู้สึกเคลิบเคลิ้ม เอ้ย! จนรู้สึกถึงความสะอาด
ลำดับต่อมากระดาษชำระถูกนำมาใช้ซับน้ำที่เป้าหมายเดิมอย่างคล่องแคล่ว แม่นยำ โดยไม่ต้องก้มมอง
(เนื่องจากเป้าหมายไม่เคยขยับหนีไปไหน)
แต่เมื่อมองไปที่ถังขยะขณะกำลังจะหย่อนกระดาษที่เพิ่งถูกใช้ลงไป
ก็เห็นกระดาษชำระจำนวนมากฟูฟ่องขาวโพลนอยู่ในนั้น
ส่วนมากถูกพับเป็นปึกหนาและอยู่ในสภาพที่เปียกชื้นเพียงเล็กน้อย
ไม่ได้มีสภาพเปียกชุ่มจนเปื่อย และขยุกขยุยยับเยิน เหมือนแผ่นที่อยู่ในมือฉัน
แสดงว่าทุกคนใช้กระดาษเกินพอดีกับสภาพความเปียกชื้น
"หอยใหญ่กันนักรึไง ถึงได้ใช้เปลืองขนาดเนี้ย!?!"
ฉันพึมพำอยู่คนเดียวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

ความจริง เวลา ๑๒.๔๕ น.
ในห้องรับประทานอาหารที่เพิ่งผ่านสมรภูมิน้ำย่อยไปหมาด ๆ
แม่บ้านง่วนอยู่กับการเก็บจานชามที่อุดมไปด้วยข้าวและเศษอาหาร
ซึ่งบ้างถูกกวาดมารวมกัน บ้างก็ถูกเกลี่ยกระจัดกระจาย
ด้วยที่นี่มีสวัสดิการอาหารกลางวันให้กิน "ฟรี" จึงมีขยะเศษอาหารถุงใหญ่เป็นพิเศษเมื่อเทียบกับจำนวนพนักงาน
เพราะคนมักมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มาฟรี ๆ จึงกินเหลือทิ้งกันตามสบาย
แต่ฉันรู้มาว่าขยะเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งของก๊าซเรือนกระจก
ขยะที่เหลือจากการกินทิ้งกินขว้างเหล่านี้จึงอาจมีมูลค่าเทียบเท่าอุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ องศาของ
มันจึงไม่ใช่ของฟรี แต่เป็นของ "แพง" ที่ถูกมองข้ามมากกว่า

นี่คือความจริงบางส่วนที่ถูกมองเป็นเพียงเรื่องเบา ๆ ของสำนักงานเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
ในประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่งที่เป็นตัวการผลิตก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับที่ ๓๐ จากทุกประเทศบนโลกใบนี้...

ความจริง –ไม่มีกำหนดเวลา-
และที่พล่ามมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องให้ทุกคนเดินมาทำงาน
ไม่ได้จะให้เลิกกินกาแฟ ไม่ได้บอกให้ปิดไฟแล้วใช้แสงธรรมชาติ
หรือปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเปิดหน้าต่างแทนทั้งหมดหรือตลอดเวลา
ฉันไม่ได้อยากฉี่แล้วไม่ต้องเช็ด ไม่ได้กำลังบอกให้ลดหรืออดอาหาร
ฉันเพียงแต่เกิดความรู้สึกสงสัยว่าจากคำพูดของนายก ฯ มันเป็นเพียงความเพ้อฝัน
หรือเราพอจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้มันใกล้เคียงความจริงขึ้นมาโดยมองจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว
จึงได้พบกับความเป็นจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้นขณะดำเนินชีวิตอยู่ในที่ทำงาน
หรือเพราะบางคนมองว่าที่ทำงานไม่ใช่บ้าน
ไม่ใช่สมบัติของตัวเองที่ต้องมีส่วนดูแลและรับผิดชอบโดยตรง
ค่าใช้จ่ายแทบทั้งหมดเจ้าของกิจการเป็นผู้รับผิดชอบ หรือบางแห่งก็ใช้เงินภาษี
บางคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าที่ทำงาน
จึงปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่าง "ขาด" และ "เกิน"
ฉันหมายถึงขาดจิตสำนึก แต่ เกินความพอดี

ฉันคงไม่เที่ยวไปถามใคร ๆ หรอกว่า
"เพราะที่ทำงานไม่ใช่บ้านเหรอ ?"
เนื่องจากฉันยอมรับความจริงที่ว่า ที่ทำงานมันก็ไม่ใช่บ้านจริง ๆ นั่นแหละ
แต่คำถามหนึ่งยังคงค้างอยู่ในโพรงแคบ ๆ ของจิตสำนึกของฉัน คือ
"แล้วโลกใบนี้ล่ะ ใช่บ้านของเรารึเปล่า ?"
สำหรับคำถามนี้ แค่ตอบในใจก็พอ...







ป.ล. มีเหตุให้ต้องเขียนขึ้นมาเมื่อประมาณ สองปีก่อน


Create Date : 06 พฤษภาคม 2552
Last Update : 6 พฤษภาคม 2552 17:24:08 น. 4 comments
Counter : 731 Pageviews.  

 
แหม.. อ่านแล้วถูกใจ โดยเฉพาะ เรื่องทิชชู่ในถังน่ะ.. ป้าเคยเห็นบางคน..สาวกระดาษซะเหมือนกับว่า.. จะเอาไปเช็ดอึที่ก้น..

ไม่ได้เป็นพวกอนุรักษ์จัด แต่ว่า.. ไม่อยากเห็นขยะล้นเมือง.. เสียดายของ..

ป้าขอแอดหนูไว้นะ..


โดย: ป้าแก่ (elastigirl ) วันที่: 6 พฤษภาคม 2552 เวลา:14:59:42 น.  

 
หนูอ่านแล้ว กลับเข้าใจที่พี่เขียนทุกๆ ตัวอักษรเลยค่ะ

อาจจะเป็นเพราะบางอย่าง ที่ทำงานของเรา คงคล้ายๆ กัน

^^"

ป.ล. ไม่ได้แวะมาบ้านนี้นานเลย สวัสดีพี่ร่วมฯ นะคะ จำหนูได้ไหม


โดย: มรกตนาคสวาท วันที่: 15 พฤษภาคม 2552 เวลา:11:31:19 น.  

 


เป้าหมายไม่เคยหนีไปไหน แต่มันสึกหรอได้ใช่ป่ะ

นี่แหล่ะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ อะไรที่ตัวเองไม่เดือดร้อนโดยตรง ตอนนั้น เวลานั้น จะไม่รู้สึกรู้สา


โดย: < h r i s t i A n Vi e ri >> วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:22:34:37 น.  

 
เคยคิดเหมือนพี่ร่วมฯ แต่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อ่ะ กรำ

ต.ย.การใช้ทิชชู่ของคนในสนง. เช็ดมือ เช็ดปาก เช็ด...
เขาเคยหยิบ เคยกระชากมาใช้ยังไง ก็จะทำแบบนั้นตลอด
โดยไม่สนว่าทิชชู่ที่ใช้อยู่ เกรดดีแล้วซึมซับได้เยอะ
หรือแบบอย่างถูกที่เปียกนิดก็ยุ่ย หยิบแรงก็ขาด

เราก็เลยสั่งแต่แบบถูกมาใช้ จะยุ่ยติด...ของเขาก็ม่ายสนอ่ะ กรำ


โดย: แมวหง่าว IP: 61.47.18.239 วันที่: 17 มิถุนายน 2552 เวลา:11:07:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ร่วมรัก...สมัครสมาน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ทุก ๆ วันที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
มีความพิเศษอยู่ในตัวเอง
แม้ว่ามันจะแสนเรียบง่าย
แค่ไหนก็ตาม

ทุก ๆ คนที่ผ่านเข้ามาผูกพัน
ก็เป็นคนพิเศษ
ในชีวิตของฉันเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น..

"อย่าขัดขืน..มีอะไรส่งมาให้หมด!!"













[Add ร่วมรัก...สมัครสมาน's blog to your web]