พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกายอุปริปัณณาสก์
วิภังควรรค
๑.ภัทเทกรัตตสูตร (๑๓๑)
[๕๒๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญแก่เธอทั้งหลายพวกเธอจงฟังอุเทศและวิภังค์นั้น จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าวต่อไปภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[๕๒๗]พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงสิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียใน วันนี้แหละใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลายพระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ
[๕๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลย่อมคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร
คือรำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า เราได้มีรูปอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีเวทนาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้วได้มีสัญญาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีสังขารอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้วได้มีวิญญาณอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ชื่อว่าคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ
[๕๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลจะไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วอย่างไร
คือไม่รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า เราได้มีรูปอย่างนี้ในกาลที่
ล่วงแล้วได้มีเวทนาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ได้มีสัญญาอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว
ได้มีสังขารอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้วได้มีวิญญาณอย่างนี้ในกาลที่ล่วงแล้ว ดูกร
ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ชื่อว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ฯ
[๕๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไร
คือรำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคตพึงมีเวทนาอย่างนี้ในกาลอนาคตพึงมีสัญญาอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีสังขารอย่างนี้ในกาลอนาคตพึงมีวิญญาณอย่างนี้ในกาลอนาคต ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แลชื่อว่ามุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง ฯ
[๕๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลจะไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึงอย่างไรคือไม่รำพึงถึงความเพลิดเพลินในเรื่องนั้นๆ ว่า ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ในกาลอนาคตพึงมีเวทนาอย่างนี้ในกาลอนาคตพึงมีสัญญาอย่างนี้ในกาลอนาคต พึงมีสังขารอย่างนี้ในกาลอนาคตพึงมีวิญญาณอย่างนี้ในกาลอนาคต ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าไม่มุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง
[๕๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลย่อมง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันอย่างไรคือปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษไม่ได้ฝึกในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมเล็งเห็นรูปโดยความเป็น
อัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในรูป
บ้างย่อมเล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง
เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง ย่อมเล็งเห็นสัญญา
โดยความเป็นอัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง เล็งเห็นสัญญาในอัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้างย่อมเล็งเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีสังขารบ้างเล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้างย่อมเล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แลชื่อว่าง่อนแง่นในธรรมปัจจุบันฯ
[๕๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลย่อมไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน
อย่างไร คืออริยสาวกผู้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ได้เห็นพระอริยะ ฉลาด
ในธรรมของพระอริยะฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ ได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาด
ในธรรมของสัตบุรุษฝึกดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมไม่เล็งเห็นรูปโดยความ
เป็นอัตตาบ้างไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง ไม่เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้างย่อมไม่เล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่า มีเวทนาบ้างไม่เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง ย่อมไม่เล็งเห็นสัญญาโดยความเป็นอัตตาบ้างไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง ไม่เล็งเห็นสัญญาในอัตตาบ้างไม่เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้าง ย่อมไม่เล็งเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตาบ้างไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสังขารบ้าง ไม่เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้างย่อมไม่เล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้างไม่เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้างดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ชื่อว่าไม่ง่อนแง่นในธรรมปัจจุบัน ฯ
[๕๓๔] บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้วไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่
ยังไม่มาถึงสิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไป
แล้วและสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคล
ใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน
ในธรรมนั้นๆ ได้บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ
ให้ปรุโปร่งเถิดพึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ
ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยน
กับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย
พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความ
เพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่า
ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลายคำที่เรากล่าวไว้ว่า เราจักแสดงอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญแก่เธอทั้งหลายนั้นเราอาศัยเนื้อความดังนี้ กล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแลฯ
จบภัทเทกรัตตสูตร ที่ ๑
-----------------------------------------------------
เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ บรรทัดที่ ๗๐๓๑ - ๗๑๑๔. หน้าที่ ๒๙๗ - ๓๐๐.
//84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=14&A=7031&Z=7114&pagebreak=0
อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ:-
//84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=14&siri=31
ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่:-
//84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=526
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :-
[526-534] //84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=14&item=526&items=9
[526-534] //84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali.php?B=14&A=526&Z=534
สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่๑๔
//84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๑๔
//84000.org/tipitaka/read/?index_14
บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง.
หากพบข้อผิดพลาดกรุณาแจ้งได้ที่ DhammaPerfect@yahoo.com