ก่อนจะอ่านบันทึกหมวกแดง
บั น ทึ ก ห ม ว ก แ ด ง
นิ ย า ย จ า ก ค่ า ย ท ห า ร ข อ ง น า ต า ลี ภ . ม .




หมวกแดงหรือหมวกทรงอ่อนสีเลือดหมูเป็นหมวกสำหรับทหารสังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
ซึ่งกรมรบพิเศษที่ ๕ ถือเป็นหนึ่งในหน่วยสังกัด


แด่
กรมรบพิเศษที่ ๔
และเพื่อนพลทหาร สังกัดกรมรบพิเศษที่ ๕ ผลัด ๒/๔๔


(ก่อนจะอ่านบันทึกหมวกแดง)

อันที่จริงแล้ว ผมอยากจะเขียนนิยายเรื่องหนึ่งซึ่งมีเค้าโครงเกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนที่สนิทกัน แต่ต้องพับโครงการเก็บไว้ เพราะพิจารณาจากเหตุผลสองประการคือ หนึ่งผมไม่ค่อยชอบอยู่นิ่งกับที่หรือทำอะไรซ้ำซากจำเจ ผมเคยทำแบบทดสอบจิตวิทยาของฝรั่งเกี่ยวกับลักษณะนิสัย คำตอบของแบบสอบถามนั้นระบุว่าผมเป็นคนประเภท Everyday is a new fantastic day คือ ทุกวันต้องเป็นวันพิเศษเสมอ ๆ หรือมักจะชอบทำอะไรแปลกใหม่ มีไอเดียตลอดเวลา เจ้าอารมณ์ในบางครั้ง แถมคิดมาก ทั้งคิดเล็กคิดน้อยเสียจนบางคนเขาหมั่นไส้ ประกอบกับมีคนถามผมมากมายว่า ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา ได้ยินว่าเคยไปเป็นทหารมา ก่อนหรือ... พร้อมกับจะมีเรื่องเล่าแผลง ๆ เกี่ยวกับชีวิตทหารของผม ซึ่งแม้แต่เจ้าตัวยังไม่คิดมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้... เรื่องทำนองนั้นจะเกิดขึ้นได้ คนที่ถามผมก้อล้วนแต่เป็นคนที่ฟังคนอื่นมาอีกทีหนึ่ง และคนที่บอกคนที่ถามก้อล้วนฟังมาจากปากคนอื่นทั้งสิ้น เพื่อรักษาภาพพจน์และดำรงไว้ซึ่งความถูกต้อง (แหม... พูดเหมือนเป็นทนายเลยแฮะ) เลยตัดสินใจผลิตงานเขียนชิ้นนี้ออกมา รูปแบบของงานเขียนชิ้นนี้แตกต่างจากนิยายเนื่องจากเป็นบทความกึ่งอัตชีวประวัติ ที่พยายามสอดแทรกสาระเข้ากับขำขันอย่างพอดี หากพบว่ามันไม่ค่อยพอดีนักก้อโปรดขำเอาไว้เถิด เพราะหัวเราะเข้าไว้โลกจะครื้นเครง... ที่ต้องเขียนให้ออกมาแบบนี้ก้อด้วยเหตุผลประการแรกนั่นแหละ ยามที่ผมนึกแล้วเขียนจะได้ไม่เบื่อ พลอยทำให้คนอ่านไม่หน่ายตามไปเสียก่อนอีกด้วย
เหตุผลหนึ่งที่เราทุกคนยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ ก้อคือ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนเกิดมาไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึง ไม่แปลกถ้าหากผมชอบฟังเพลงของ Daniel Beddingfeild,Will Young หรือ John Mayer และใครหลายคนกลับชอบเพลงอย่าง Eminem, Linkin Park หรือ Tata Young เพราะฉะนั้นถ้าหากจะถาม คุณว่า ….’ในชีวิตของคุณมีเรื่องราวอะไรที่น่าภาคภูมิใจบ้าง’ คำตอบที่ได้คงจะแตกต่างกันมากมาย แต่ทุกเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจเหล่านั้น มีบางสิ่งที่เหมือนกัน คือ ทุกคนที่ตอบคำถามนี้สามารถเล่าเรื่องราวได้อย่างเป็นสุข และการขึ้นต้นประโยคคงหนีไม่พ้นรูปแบบทำนอง ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต..’ หรือ ‘ตอนนั้นที่ผมเคย..’ เนื่องด้วยเหตุการณ์อันน่าภาคภูมิใจมักเกิดขึ้นเพียงหนเดียวในชีวิต ไม่สามารถทำซ้ำ หรือหมุนเวลาย้อนกลับไปหามันได้อีกเว้นแต่ในความทรงจำ ทุกเรื่องราวไม่ว่าอรรถรสใด จะตื่นเต้นโลดโผน ร้องไห้ซาบซึ้ง หรือแม้แต่ชวนตลกขบขันสักเพียงใด ต่างก้อทำให้ผู้ฟังทุกคนเกิดความรู้สึกเป็นสุข ไปพร้อมกับผู้เล่าทุกครั้ง และสามารถสัมผัสได้ถึงความประทับใจของผู้เล่าที่มีต่อเรื่องราวเหล่านั้นได้อย่างไม่เสื่อมคลาย
เช่นเดียวกับเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไขกุญแจประตูห้องเก็บของในสมองเพื่อ ค้นเอาเรื่องราวอันน่าภาคภูมิใจเรื่องหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเกือบ ๓ ปีมาแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับผู้ชายไม่ปกติคนหนึ่งได้มีโอกาสใช้ชีวิตเยี่ยงผู้ชายเกินปกติในค่ายทหาร… ผู้ชายไม่ปกติที่อาจหาญพกพาความกล้าหน้ามั่นสมัครเข้ารับราชการทหาร… ผู้ชายไม่ปกติในฐานะพลทหารตลอดระยะเวลา ๖ เดือน ผู้ชายไม่ปกติคนนั้น คือ …ผม เอง
ผมเปรียบตัวเองเป็นผู้ชายไม่ปกติเพราะรู้ดีว่ามีความไม่เต็มซ่อนอยู่ภายใน แม้ผมจะไม่ใช่กระเทยประเภทวี้ดว้ายกระตู้วู้ มีนมผมยาว หน้าตาสะสวยกระเดียดหญิงทุกประการ และก้อไม่ใช่เกย์ประเภทเล่นแอบซ่อน หรือผู้ชายประเภทที่ร่างกายภายนอกดูอกสามศอกชาตรี แต่จิตใจกลับกิ๊กเพศเดียวกัน อันที่จริงผมดูเกือบจะตรงข้ามกับการเป็นกระเทยทุกอย่าง ถึงแม้ว่าผมมีหน้าตาพอไปวัดไปป่าช้าได้และเปิดเผยทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ก้อไม่ได้มากมายจนเกินงาม ผมประดิษฐ์จริตกิริยาดูพอดี ขี้เม้าซุกซนตามประสาอารมณ์เป็นหญิงในบางครั้ง ไม่ใช่ว่าผมจะไม่มีความเป็นหญิงบังเกิดขึ้นในตัวเสียเลย นิสัยของผมหลายอย่างคล้ายกับผู้หญิง ตัวอย่างเช่น จู้จี้ขี้บ่น ประหยัดมัธยัสถ์ ระเบียบเรียบร้อย คิดเล็กคิดน้อยและอารมณ์อ่อนไหว สำหรับเรื่องการแต่งกาย ผมเลือกที่จะไว้ผมสั้นแทนผมยาว (แม้ว่าทางบ้านจะไม่มีปัญหา ถ้าผมจะไว้ผมยาว) เนื่องจากเป็นคนขี้ร้อน ใช้เครื่องสำอางบ้าง จำพวกประทินผิวและดับกลิ่นกาย การแต่งตัวเน้นสไตล์สปอร์ต หรือที่สมัยนี้เรียกว่า เด็กแนว คือมีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตนเอง เสื้อผ้ามักจะเลือกเรียบ ๆ คือสีล้วน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่พ้นสีเขียว (ชอบสีเขียว) มีเกือบทุกเฉด ชอบเดินเลือกซื้อผ้ามาตัดเชิ้ตเอง ไม่นิยมซื้อเนื่องจากจะซ้ำแบบชาวบ้าน และไม่นิยมแต่งกายรัดรูปหรือสีสันจัดจ้านจนเกินไป เพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันคน หนึ่งนิยามผมว่า เป็นพวกมิวแตนท์ (Mutant หมายถึง ประชากรผ่าเหล่า) ก้อขอน้อมรับคำนิยามนี้โดยดุษณี เพราะดูจะเหมาะสมทุกประการสำหรับทางสายกลางที่ผมเลือกเดิน
หากพูดถึงในปัจจุบัน การเกณฑ์ทหารกลายเป็นเรื่องตามกระแส เนื่องด้วยกองทัพมีการประชาสัมพันธ์ที่ดี สามารถสร้างภาพลักษณ์ของการเป็นทหารให้ดูมีเกียรติและน่าเกรงขาม มีการจัดสวัสดิการ เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง และสาธารณูปโภคในค่ายให้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าสนใจและยอมรับได้ ไม่ชวนประหวั่นพรั่นพรึงเหมือนครั้งสมัยสิบปีที่แล้ว รวมทั้งสื่อต่าง ๆ พากันเสนอข่าวดาราตบเท้าเข้าสมัครเป็นทหาร ข่าวชาวบ้านแห่กันไปให้กำลังใจนักกีฬามือวางอันดับโลกในการจับฉลากใบดำใบแดงอย่างล้นหลาม ตลอดจนนักแสดงหนุ่มไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวิตประสบการณ์ในค่ายทหารที่ได้สัมผัสมาออกวางจำหน่าย ทำเอาบรรดามิตรรักดาราทั้งหลายตามซื้อตามกว้านขอลายเซ็นต์จนเกลี้ยงแผง สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างอิทธิพลให้แก่วัยรุ่นชายไทย(ซึ่งอยู่ในวัยคลั่งไคล้ดารา) อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กระนั้นบางคนก้อมาสมัครทหารด้วยใจมากกว่าคล้อยตามสื่อ หลายหน่วยคัดเลือกจึงมีชายไทยไปขอสมัครเป็นทหารเกินจำนวนที่ต้องการจนต้องจับฉลากเพื่อคัดออก ประโยคโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า ‘เป็นทหาร..ได้อะไรมากกว่าที่คุณคิด’ ดูจะประสบผลสำเร็จด้วยดี แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุด ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คงจะเป็นความรู้สึกรักชาติที่ฝังแน่นในจิตใจ ความหวงแหนแผ่นดินและการอาสาป้องกันประเทศไม่ใช่ ความรับผิดชอบของทหารเพียงกลุ่มเดียวอีกต่อไป หากเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน
อย่างที่บอกนั่นแหละ ว่าชีวิตทหารไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับอีกต่อไป มีการถ่ายทอดเป็นเรื่องราวตามช่องทางสื่อทุกแขนง เคยมีละครเรื่องหนึ่งที่นำกลับมาทำซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ก้อยังได้รับความนิยมอย่างสูง เหตุผลหนึ่ง เป็นเพราะพลทหารตัวเอกในเรื่องเป็นดาราหนุ่มชวนฝัน หน้าตาผ่องแผ้วและดูบ้องแบ้วใสซื่อ ดันมาหลงรักกับผู้กองสาวหน้าสวย รวย และหุ่นเริ่ดเชิดหยิ่ง ชาวบ้านจึงเฝ้าติดตามอย่างงอมแงมเพื่อลุ้นให้ทั้งสองคนรักกัน อืม... ทีแรก ผมก้อจนใจว่า ในเมื่อเรื่องราวชีวิตทหารออกจะเกร่อขนาดนี้ แล้วยังจะมีใครอยากอ่านประสบการณ์ของผมอีก ครั้นตรึกตรองให้ถี่ถ้วนแล้ว ผมก้อพลันนึกขึ้นได้ว่า ผมก้อเขียนอย่างที่อยากเขียนนั่นแหละ ถึงแม้ไม่ได้เป็นดาราดังหรือนักกีฬาระดับชาติอย่างใครเขาก้อเถอะ ผมจึงเขียนออกมาในรูปแบบของบันทึกจากความทรงจำซึ่งสอดแทรกความคิดเห็นต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่พานพบไว้ด้วย ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดจากจิตใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจและสามารถเข้าใกล้ผมได้มากยิ่งขึ้น ดังภาษิตจากพระราชนิพนธ์ แม่เล่าให้ฟัง ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ว่า ‘บอกสิว่าเธอสนิทสนมสมาคมกับใคร แล้วจะบอกให้ว่าเธอเป็นคนอย่างไร’
ชาวเราท่านหนึ่งได้เขียนกระทู้เล่าประสบการณ์ ๖ เดือนกับการเป็นทหาร ในกระดานข่าวสาธารณะทางอินเตอร์เน็ทโดยใช้นามแฝง หล่อนบรรยายชีวิตช่วงการฝึกและการทำงานในค่ายว่า เป็นไปด้วยความยากลำบากและโหดร้าย แถมยังบอก อีกด้วยว่า ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนก้อจะไม่ขอเป็นทหารอีก ชวนให้ผู้อ่านกระทู้บางส่วนเชื่ออย่างสนิทใจและเขียนกระทู้ตอบสนับสนุน โชคยังดีที่มีผู้อ่านกระทู้ท่านหนึ่งเป็นชาวเราเหมือนกันนี่แหละ เคยเป็นทหารเฉกเดียวกับเจ้าหล่อน ได้เขียนโต้แย้งพร้อมกับเล่าประสบการณ์อันดีงาม ซึ่งตรงกันข้ามกับหล่อนผู้เป็นเจ้าของกระทู้โดยสิ้นเชิง ผู้อ่านท่านนี้ยังสอนอีกว่า การเป็นทหารถือเป็นการฝึกวินัยตนเองซึ่งจะสำเร็จได้ต้องมีความอดทนและความพยายาม ทำให้ผู้ตอบกระทู้ถัดมาจำนวนมากพอใจพร้อมกับสนับสนุนความคิดดังกล่าว ผมก้อเป็นหนึ่งในนั้นและนับเป็นแรงบันดาลใจอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผมเขียนผลงานบันทึกฉบับนี้ เพื่อเป็นหนทางแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้คนในสังคมอีกมากที่คิดว่าการเป็นทหารเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างที่สุด
บันทึกฉบับนี้นอกจากจะบอกว่า ผมเป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่ผมคิดแล้ว ยังเปรียบเสมือนบทจารึกความทรงจำบทหนึ่ง.. ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปและผมได้มีโอกาสอ่านมันอีกครั้งหนึ่ง ผมก้อจะสามารถหวนระลึกถึงความหลังครั้งนี้ขึ้นมาได้โดยง่ายโดยไม่ต้องออกแรงเคาะสนิมมากนัก อีกทั้งควรตระหนักว่า ความคิดเห็นในเรื่องเกิดจากมุมมองของผมแต่เพียงผู้เดียว ที่อาจตรงหรือผิดแผกไปจากความเห็นของผู้อื่น ดังที่เคยบอกให้ทราบแล้วว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่เหมือนกัน ย่อมต้องมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป
ช่วงชีวิตหนึ่งของคนเราไม่เคยจางหาย ช่วงชีวิตหนึ่งของผมก้อไม่ได้หายไปไหนแต่กำลังปรากฏเป็น ‘บันทึกหมวกแดง’ นับจากบรรทัดนี้ต่อไป


P M
พิมพ์ครั้งแรก พ.ค. ๒๕๔๗
แก้ไขครั้งที่ ๒ ๔ มี.ค. ๒๕๔๘ ๒๒.๓๐ น.
สงวนลิขสิทธิ์



Create Date : 04 กันยายน 2551
Last Update : 4 กันยายน 2551 7:51:14 น.
Counter : 932 Pageviews.

3 comments
  
เอาใจช่วยน๊า


โดย: พลังชีวิต วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:8:31:48 น.
  
สวัสดีครับ บริษัทที่ คุณภาคิณ ทำงานอยู่ผลิตวาซาบิขายหรือครับ
วาซาบิที่ใด้ ผลิตจากหัววาซาบิ หรือใช้ใช้วิธีแต่งกลิ่นสังเคาะห์ครับ
อยากทานวาซาบิที่ผลิตจากหัววาซาบิจริง ไม่ทราบว่าขายในแบร์น อะไรบ้าง จะลองซื้อมาทานดูครับ ขอบคุณครับ
โดย: gigolo IP: 127.0.0.1, 61.7.146.217 วันที่: 7 กันยายน 2553 เวลา:15:14:44 น.
  
พอดีมีโอกาสเข้ามาอ่านโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากกำลังหาเวปเพลงเก่าๆ เช่น จิ๊บ รด จับผลัดจับพูลมาเจอเวปนี้ ทำให้คิดถึงตอนเกณฑ์ทหารเหมือนกัน ตอนนั้นเพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่ได้ขอผ่อนผัน ไม่ได้เรียน รด มาแต่แรก ผมเองเกณฑ์ทหารในปี 2530 โดน ทบ.๑ และหน่วยที่เป็นก็คือ กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ ๑ พล ๑ รอ. นั่นก็คือหน่วยรบพิเศษ ทหารพลร่มเบเร่ต์แดงเหมือนคุณ ด้วยความที่ไม่ได้ผ่อนผัน เลยโดนไป 2 ปีเต็ม เป็นรุ่นที่มีศึกบ้านร่มเกล้าใน ขณะที่กำลังเตรียมตัวก็มีคำสั่งจาก เชาวลิต ไม่ให้ พล 1 ออกรบ เสียดายมากพวกเราเตรียมพร้อมรบกันอย่างหนัก ก่อนหน้าก็ฝึกหนักด้วย ได้อ่านบทความของคุณแล้วทำให้นึกถึงความหลังช่วงนั้นได้ไม่น้อย ตลอดสองปีมีอะไรมาก เงินเดือนพลทหารที่ได้รับตอนนั้น 540 บาทถ้าจำไม่ผิด ในขณะที่เคยทำงานก่อนเป็นทหาร 5000 บาท สมัยนั้นการฝึกถือว่าโหดและหนักกว่าสมัยนี้มากมายนัก ขอบคุณที่เอาอะไรมาให้อ่านดีๆ และขอแสดงความนับถือในความกล้ายอมรับในความเป็นตัวคุณเอง และกล้าที่จะเขียนให้คนอื่นได้อ่าน
chotwattana09@hotmail.com ( Manhattan, NY. USA)
โดย: chotwattanasomboon IP: 108.27.118.183 วันที่: 17 มกราคม 2554 เวลา:10:36:27 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
กันยายน 2551

 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30