ตอนที่ ๕ เหตุการณ์เมื่อ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙

ตอนที่ ๕
เหตุการณ์เมื่อ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงเสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการหว่านข้าวแปลงนาเกษตร ณ บางเขน กรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ จากนั้นทรงพระประชวรด้วยพระโรคนาภี แพทย์หลวงจึงได้จัดพระโอสถถวายและประทับรักษาพระองค์บริเวณพระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง (ปัจจุบัน พระที่นั่งองค์ดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ใช้เป็นสถานที่รับรองพระราชอาคันตุกะ) ไม่ได้เสด็จออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจใด ๆ
ประมาณ ๙ โมงเช้าของวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงประทับอยู่ในห้องบรรทม สมเด็จพระราชชนนีและพระอนุชาประทับในห้องส่วนพระองค์ ต่างทรงได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ทางด้านส่วนที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ขณะนั้นเองมหาดเล็กได้เข้าไปในห้องบรรทมและพบว่า พระองค์ทรงถูกยิงที่บริเวณพระนลาฏ พระวิสูตรแท่นบรรทมยังเปิดครึ่งอยู่ จึงวิ่งออกมากราบทูลสมเด็จพระราชชนนีว่า พระเจ้าอยู่หัวยิงพระองค์ สมเด็จพระราชชนนีทรงอุทานว่า “โธ่ นันท์จ๋า” แล้ววิ่งไปทางห้องพระบรรทม โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันและพระพี่เลี้ยง รวมถึงข้าหลวงในพระองค์สมเด็จ ฯ ตามไปด้วย เมื่อไปถึงสมเด็จพระราชชนนีทรงกันแสงและประคองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลไว้กับพระอุระ โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันทรงปลอบประโลมอยู่อย่างใกล้ชิด
ที่ประชุมรัฐสภา วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ เวลา ๒๑.๑๐ น. ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ระเบียบวาระที่ ๒ ซึ่งเป็นของรัฐบาล นายปรีดี พนมยงค์ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แจ้งถึงเหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงเสด็จสวรรคต ว่า
ข้าพเจ้ามีข่าวอันแสนเศร้าน่าสลดใจอย่างสุดซึ้งที่จะแจ้งต่อรัฐสภาให้ทราบว่า ด้วยนับตั้งแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ศกนี้เป็นต้นมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เริ่มทรงประชวรเกี่ยวกับพระนาภีไม่เป็นปกติ และทรงเหน็ดเหนื่อยไม่มีพระกำลัง แม้กระนั้นก็ดี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเสด็จประพาสเยี่ยมราษฎรเป็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ ครั้นต่อมา อาการเกี่ยวกับพระนาภีก็ยังมิได้ทุเลาลง จึงต้องเสด็จประทับอยู่แต่บนพระที่นั่ง มิได้เสด็จออกงานตามหมายกำหนดการ ครั้นวันที่ ๙ มิถุนายน ศกนี้ เมื่อตื่นบรรทมตอนเช้าเวลา ๖ นาฬิกา ได้เสวยพระโอสถน้ำมันละหุ่ง แล้วเข้าห้องสรงซึ่งเป็นพระราชกิจปรจำวัน แล้วเสด็จเข้าพระที่ ครั้นเวลาประมาณ ๙ นาฬิกา มหาดเล็กห้องพระบรรทมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นในพระที่นั่ง จึงรีบวิ่งเข้าไปดู เห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่บนพระที่ มีพระโลหิตไหลเปื้อนพระองค์และสวรรคตเสียแล้ว มหาดเล็กห้องพระบรรทมจึงได้ไปกราบทูลสมเด็จพระราชชนนีให้ทรงทราบ แล้วเสด็จเข้าไปถวายบังคมพระบรมศพ ต่อนั้นมามีพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ได้เข้าไปกราบถวายบังคมและอธิบดีกรมตำรวจกับอธิบดีกรมการแพทย์ ได้ไปถวายตรวจพระบรมศพ และสอบสวนได้ความสันนิษฐานได้ว่า คงจะทรงจับคลำพระแสงปืนตามพระราชอัธยาศัยที่ทรงชอบแล้วเกิดอุปัทวเหตุขึ้น
จากนั้น ได้มีการอ้างถึงกฎมณเฑียรบาล หมวด ๔ มาตรา ๙ ข้อ ๘ ว่า แม้ว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา ให้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาที่ร่วมพระราชชนนีเดียวกันกับพระองค์ที่มีพระชนมายุถัดลงมาจากพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นทรงราชย์สืบสันตติวงศ์ รัฐบาลโดยนายปรีดี พนมยงค์ ได้ประกาศต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้สวรรคตแล้ว และบัดนี้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้สืบราชสันตติวงศ์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประชาชนชาวไทยแล้ว...
อย่างไรก็ดี การเสด็จสวรรคตในครั้งนั้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้ลุกลามกลายเป็นประเด็น ถกเถียงในวงกว้างถึงสาเหตุแท้จริงของการเสด็จสวรรคต รวมถึงถูกใช้ไปเป็นกลยุทธ์ทางการเมือง รัฐบาลจึงต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนในพฤติการณ์สวรรคต และชี้แจงต่อประชาชน เหตุการณ์ดังกล่าวนอกจากจะสร้างความสะเทือนใจแก่ปวงชนชาวไทยทุกคนแล้ว ยังกระทบถึงพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชอย่างหาที่สุดมิได้ ดังความในบันทึกส่วนพระองค์ตอนหนึ่งที่ว่า
‘อดคิดถึงพี่ไม่ได้เลยแม้แต่ขณะเดียว ฉันเลยคิดว่า ฉันจะไม่ห่างจากพี่ตลอดชีวิต แต่มันเป็นเคราะห์กรรม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นกษัตริย์ คิดแต่จะเป็นน้องของพี่เท่านั้น’

Create Date : 04 กันยายน 2551 Last Update : 4 กันยายน 2551 8:07:18 น. Counter : 506 Pageviews.		1 comments
Share Tweet