Group Blog
ธันวาคม 2551

 
1
3
4
5
6
8
9
10
11
12
14
15
17
20
21
22
23
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
2 วิธีแก้นอนกรน
คุณคงรู้สึกรำคาญเสียงมาก เมื่อคนใกล้ตัวมีอาการนอนกรนจนคุณไม่เป็นอันนอน ไม่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นที่ประสบปัญหานอนกรน เด็กบางรายก็พบว่ามีอาการนอนกรนเช่นกัน มาติดตามวิธีแก้สิครับ
อาการนอนกรน (snoring) เป็นปัญหาของการนอนหลับที่พบบ่อยในคนอายุ 30-35 ปี ซึ่งมักจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน ผนังคอหนา เนื้อเยื่อในช่องคอหย่อนตัวขณะนอนหลับ ประมาณร้อยละ 20 เป็นเพศชาย และร้อยละ 5 เป็นเพศหญิง ซึ่งอาการนอนกรนจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น

เสียงกรนเกิดขึ้น…จากการที่อากาศเคลื่อนผ่านทางเดินหายใจที่แคบลง ซึ่งมักเกิดจากการผ่อนคลายหรือหย่อนตัวของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนขณะนอนหลับ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณเพดานอ่อน (soft palate) ลิ้นไก่ (uvula) ผนังคอหอย (pharyngeal wall) หรือโคนลิ้น (tongue base) ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและสะบัดของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนในบริเวณนั้นเกิดเป็นเสียงกรนขึ้น และยังพบว่าเกิดจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนจากต่อมทอนซิล และต่อมอดีนอยด์ (adenoid) ที่โตซึ่งเป็นสาเหตุของอาการนอนกรนที่สำคัญในเด็ก หรือเนื้องอกหรือซีสท์ (cyst) ในทางเดินหายใจส่วนบน หรือการที่มีโพรงจมูกอุดตันจากหลายสาเหตุ เช่น อาการคัดจมูกจากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผนังกั้นช่องจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูกและ/หรือโพรงอากาศข้างจมูก ริดสีดวงจมูก ไซนัสอักเสบก็เป็นสาเหตุที่ให้เกิดอาการนอนกรนได้เช่นกัน นอกจากนี้การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ (alcohol) การกินยานอนหลับหรือยาแก้แพ้ชนิดง่วงก่อนนอน ก็จะช่วยเสริมให้กล้ามเนื้อมีการคลายตัวมากขึ้น และอาจมีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีเสียงกรนดังขึ้น


ดังนั้น อาการนอนกรนจึงไม่ใช่เรื่องปกติ แต่กลับบ่งบอกถึงการมีสิ่งอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (obstructive sleep apnea) เป็นภาวะที่มีการอุดกั้นในทางเดินหายใจมากจนกระทั่งทำให้เกิดการหยุดหายใจเป็นช่วงๆขณะนอนหลับ
ควรปรึกษาแพทย์...

อาการนอนกรนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ถือว่าเป็นโรค แต่เมื่อใดที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อคู่นอน สมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนบ้าน หรือมีผลต่อสังคมและคุณภาพชีวิตของบุคคลนั้นแล้ว ก็จำเป็นที่ต้องมาปรึกษาแพทย์

เมื่ออาการนอนกรนเกิดร่วมกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์ ถ้าไม่รักษาอาจมีอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน ทำให้เรียนหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ถ้าต้องขับรถอาจเกิดอุบัติเหตุในท้องถนนได้ นอกจากนั้นจะมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอื่นๆ ได้ เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคความดันโลหิตในปอดสูง โรคหลอดเลือดในสมอง
การวินิจฉัย...

1.ซักประวัติ สุขภาพโดยทั่วไป โรคประจำตัว สภาพเศรษฐานะและสังคม มีอาการซึ่งบ่งบอกถึงการมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วยหรือไม่ รวมทั้งมีบุคคลในครอบครัวที่มีอาการนอนกรนด้วยหรือไม่

2.การตรวจร่างกาย แพทย์จะให้ความสนใจในเรื่องต่อไปนี้

• ลักษณะทั่วไป ที่อาจส่งเสริมให้เกิดอาการนอนกรนขณะหลับได้ เช่น คอสั้น อ้วน น้ำหนักมาก มีความผิดปกติในลักษณะโครงสร้างของใบหน้า เช่น คางเล็ก ถอยร่นมาด้านหลัง

• การตรวจทั่วไป ได้แก่ วัดความดันโลหิต วัดเส้นรอบวงคอ การตรวจการทำงานของหัวใจและปอด

• การตรวจทางหู คอ จมูกอย่างละเอียด เช่นตรวจในโพรงจมูก หลังโพรงจมูก ช่องปาก คอหอย เพดานอ่อน ลิ้นไก่ ทอนซิล โคนลิ้นและกล่องเสียง เพื่อทราบถึงตำแหน่ง และสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน

3. การตรวจพิเศษเพิ่มเติม ได้แก่

• การบันทึกเสียงหายใจขณะหลับ (sleep tape recording) ซึ่งมีประโยชน์ในเด็กที่มีอาการไม่ชัดเจน หรือผู้ปกครองไม่สามารถจะสังเกตการหายใจที่ผิดปกติได้ โดยให้ผู้ปกครองใช้เทปคาสเซทต์ (tape cassette) บันทึกเสียงกรนหรือเสียงหายใจของเด็กขณะหลับ ประมาณ 1 ชั่วโมง

• การตรวจการนอนหลับ (polysomnography) เป็นการตรวจที่มีความสำคัญมากในการวินิจฉัย และบอกความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยช่วยวินิจฉัยแยกภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการนอนกรนธรรมดา และสามารถบอกคุณภาพของการนอนหลับว่าหลับได้ดีหรือไม่ มีความผิดปกติเกิดขึ้นในขณะนอนหลับหรือไม่ การตรวจการนอนหลับจะใช้เวลาตรวจช่วงกลางคืนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาปกติของการนอนหลับในคนทั่วไป
การรักษา...

1. การรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัด (non-surgical treatment)

• ลดน้ำหนัก โดยการควบคุมอาหาร หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และเพิ่มความกระชับตึงตัวให้กล้ามเนื้อของทางเดินหายใจส่วนบน

• หลีกเลี่ยงยาหรือเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เช่น เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท ยาต้านฮีสตามีน (antihistamine) หรือยาแก้แพ้ชนิดที่ทำให้ง่วง โดยเฉพาะก่อนนอน

• การปรับเปลี่ยนท่าทางในการนอน เช่น ไม่ควรนอนในท่านอนหงาย เนื่องจากจะทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายกว่าการนอนในท่าตะแคง นอนศีรษะสูงเล็กน้อย ประมาณ 30 องศาจากแนวพื้นราบ

• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือสัมผัสควันบุหรี่

• การใช้เครื่องมือที่เป่าลมเข้าไปในทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นหรือไม่อุดกั้นขณะนอนหลับ (Continuous Positive Airway Pressure)

2.การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด (surgical treatment) ผู้ใหญ่ที่มีอาการนอนกรน มากกว่าร้อยละ 90 มีการอุดกั้นทางเดินหายใจบริเวณคอหอยส่วนปาก เช่น ต่อมทอนซิล เพดานอ่อน ลิ้นไก่ โคนลิ้น และมากกว่าร้อยละ 80 มักมีการอุดกั้นทางเดินหายใจบริเวณคอหอยส่วนกล่องเสียง

การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด สามารถเพิ่มขนาดของทางเดินหายใจส่วนบนให้กว้างขึ้น และแก้ไขลักษณะทางกายวิภาคที่ผิดปกติ ซึ่งนำไปสู่การอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจ จะใช้วิธีนี้เมื่อ

• มีความผิดปกติทางกายวิภาค (anatomical abnormalities) ที่เป็นสาเหตุ ทำให้เกิดอาการนอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

• มีผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวและสังคมมาก เช่น ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงมาก เสียงกรนรบกวนคู่นอนมาก ทำให้นอนไม่หลับ

• ล้มเหลวจากการรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัด ผู้ป่วยยังมีอาการกรนอยู่ หรือมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นกับระบบต่าง ๆ ของร่างกาย

ส่วนจะเลือกการผ่าตัดประเภทใด ทำมากหรือน้อย ขึ้นกับลักษณะทางกายวิภาคของผู้ป่วยแต่ละราย ตำแหน่งและสาเหตุของการอุดกั้นทางเดินหายใจ โรคประจำตัว ความรุนแรงของอาการนอนกรนและ/ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ความชอบหรือความต้องการของผู้ป่วยด้วย อย่างไรก็ตามอาการนอนกรนและ/ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ มักจะเกิดจากการอุดกั้นในทางเดินหายใจหลายตำแหน่ง ดังนั้นการทำผ่าตัดแก้ไขเพียงจุดใดจุดหนึ่งอาจไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นมากนัก

อย่าเพิ่งน้อยใจในชีวิต ปัญหานอนกรน.........เพราะแก้ได้ จัดเวลามาพบแพทย์ รู้สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง ความรุนแรงแล้วรักษา เชื่อแน่ว่าคุณจะกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพจิต



Create Date : 19 ธันวาคม 2551
Last Update : 19 ธันวาคม 2551 19:22:34 น.
Counter : 771 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mimi-jaiko
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]