ปกป้องผิวไม่ให้หมองคล้ำ
ใบหน้าหมองคล้ำนั้นไม่มีใครต้องการให้เกิดกับตนเอง เพราะจะดูหมดราศี ไม่แจ่มใส ความสวยสง่าหายไป หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ทำอย่างไรตนเองจึงจะไม่มีหน้าหมองคล้ำ ซึ่งหลักกว้างๆ ก็คือ ผิวหน้าต้องสะอาดเกลี้ยงเกลา เป็นอันดับแรก ส่วนอันดับต่อมานั้นใบหน้าต้องไม่ตึงเครียด มีรอยยิ้มบนใบหน้า โดยไม่ต้องฝืนซึ่งหมายถึงต้องมีจิตใจแจ่มใสร่วมด้วย
ผิวหน้าที่สะอาดเกลี้ยงเกลานั้น ต้องไม่มีฝ้า กระ รอยกระดำกระด่าง ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ไม่ยากนัก เริ่มตั้งแต่
1. หลบแสงแดด และแสงไฟที่สว่างจ้า เนื่องจากแสงแดดและแสงจ้ามีคุณสมบัติ กระตุ้นเซลล์สร้างสีดำ ทำให้เม็ดสีดำเพิ่มขึ้นและกระจายสู่หนังกำพร้า จึงทำให้ใบหน้าหมองคล้ำ และการหลบแสงที่ดีที่สุด คือไม่ตากแดด แต่ถ้าจำเป็นต้องเดินกลางแดดก็ควรหาวิธีป้องกัน เช่น กางร่ม ส่วนเกษตรกรควรใช้ผ้าคลุมใบหน้า เปิดเฉพาะดวงตา เพื่อรักษาผิวหน้า ไม่ให้หมองคล้ำจากแสงแดด ถ้าเป็นสาวสำนักงาน ต้องการหลบเลี่ยงแสงแดดหรือแสงไฟนีออน ก็ควรใช้ยาทากันแดด ซึ่งโดยทั่วไปควรมี SPF 15-20 ขึ้นไป (คือกันแดดได้ 15-20 เท่า เมื่อเทียบกับการไม่ได้ทายา) แต่เนื่องจากยากันแดดที่ขายอยู่ในท้องตลาดมักมี SPF ต่ำกว่าที่เขียนระบุไว้ จึงแนะนำให้ใช้ SPF ประมาณ 25-30 ขึ้นไป จะมีประสิทธิภาพ ในการกันแดดได้ดีกว่า และควรใช้ยากันแดดที่มีคุณสมบัติในการกันทั้งแสง UVA และ UVB โดยมีส่วนประกอบของ benaophenone, ZnO, titanium dioxide, vinnamate เมื่อซื้อยากันแดดควรตรวจสอบฉลาก บอกส่วนประกอบว่ามีสารดังกล่าวอยู่ด้วย
2. หลีกเลี่ยงยาคุมกำเนิดในวัยเจริญพันธุ์ และยาฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง เนื่องจากยาดังกล่าวมีส่วนผสมของ เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นสารกระตุ้น ให้มีการสร้างสีดำขึ้นที่ผิวพรรณ จึงปรากฏเป็นฝ้าที่บริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม สีดำจะแผ่กว้างออกเรื่อยๆ ถ้ายังรับประทานยาต่อเนื่อง อาการฝ้าจากยาดังกล่าว มิได้เกิดทุกคนเสมอไป จะเป็นเฉพาะในบางคนเท่านั้น ถ้ามีอาการเหล่านี้ ควรคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น สวมถุงยาง ใส่หวง หรือ ทำหมันภายหลังจากมีบุตร จำนวนที่ต้องการแล้ว จะเป็นการป้องกันฝ้าได้ดีอีกวิธีหนึ่ง
ในปัจจุบันชายที่ต้องการมีผิวพรรณเนียนเรียบ และมีหน้าอกโตเหมือนผู้หญิง นิยมฉีดยาฮอร์โมน เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ที่ซื้อเองตามร้านขายยา โดยมิได้มีแพทย์สั่งให้ใช้ยา บางรายฉีดทุก 10-15 วัน ก็จะมีผิวเนียนเรียบและสวยจริง แต่ไม่ควรทำเพราะอาจมีผลร้ายอย่างอื่นตามมาทีหลัง เช่น ฝ้าบนโหนกแก้ม อ้วนมากขึ้น ตับอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดดำอักเสบบริเวณขา ผมร่วง ปวดหลัง หรือผื่นขึ้นตามตัวบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดด
3. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางมากมายหลายชนิด ควรใช้เฉพาะที่จำเป็น เช่น เพื่อทำความสะอาดใบหน้า ครีมบำรุงที่ไม่มีกลิ่นหอมมาก รองพื้นและแป้ง เครื่องสำอางต่างๆ จะต้องผสมกลิ่นชวนใช้ลงไป เช่น กลิ่นจากกลีบกระดังงา (ylang ylang oil) กลิ่นมะลิ (jusmine) กลิ่นตะไคร้หอม (hydroxycitronella) และ benzyl salicalate กลิ่นหอมดังกล่าว อาจทำให้เกิดอาการแพ้โดยมีผื่นดำตรงบริเวณที่ทา รวมทั้งใบหน้า
นอกจากนี้ กลิ่นสกัดจากผิวส้ม (oil of bergamot) กลิ่นเนื้อไม้จันท์ (sandal wood oil), cumin oil, california lemon กลิ่นเหล่านี้ อาจทำให้เกิดรอยดำเมื่อผู้ใช้สัมผัสกับแสงแดด ดังนั้นในรายที่แพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่ผสมกลิ่นดังกล่าวด้วย เพื่อป้องกันผื่นดำหมองคล้ำบนใบหน้า
ส่วนการแสดงออกของสีหน้าที่ไม่ตึงเครียดนั้น มีผลมาจากสุขภาพจิตใจที่แจ่มใส การมีสุขภาพจิตที่ดี รู้จักผ่อนคลายความตึงเครียด จะทำให้สีหน้าสดใส นอกจากนี้ อาหารที่รับประทานก็มีส่วนสำคัญต่อผิวหน้า และเลือดฝาดพอสมควร จึงแนะนำ ให้รับประทานอาหารประเภท เนื้อสัตว์ ผักสด ผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด ในปริมาณที่พอเหมาะ จะเป็นการบำรุงผิวหน้าให้ดูสดใสตามธรรมชาติ การดื่มเหล้าจัดจนเมาเกือบทุกวันมีผลให้ตับแข็ง และใบหน้าหมองคล้ำ ส่วนการสูบบุหรี่หรือการนั่งสูดควันบุหรี่ที่ตามผับต่างๆ นั้น มีการยืนยันแน่นอนแล้วว่าทำให้ใบหน้าดำคล้ำ หรือมีรอยเหี่ยวย่นโดยเฉพาะหน้าผาก รอบตา มุมปาก ได้เร็วกว่ากำหนด
การทาครีมบำรุง ครีมฟอกขาว ครีมลอกผิว AHA หรือ BHA ,น้ำผึ้ง ,น้ำมะนาว ,ไข่ขาว, แตงกวา, พอกโคลน , ลอกหน้าด้วยวิธีต่างๆ ไอออนโตโฟเรซิส และอื่นๆ อาจได้ผลบางรายแต่เป็นผลชั่วคราว และอาจเกิดผลแทรกซ้อน เช่น คันหน้า สิวขึ้น เป็นฝ้า หน้าดำเป็นจุดๆ ผิวบางและย่นก่อนวัยอันสมควร ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะผิวของแต่ละคน
++ กระ คือจุดดำหรือน้ำตาลขนาด 1-2 mm. ขึ้นตามโหนกแก้ม หน้าผาก เกิดจากแสงแดด พบในรายที่มีผิวขาวซีดคล้ายผิวชาวตะวันตก เป็นโรคที่เกิดโดยกรรมพันธุ์ของคนนั้นเอง การหลีกเลี่ยงแดดจะทำให้กระเกิดได้ช้ากว่าเดิม ++
แหล่งที่มา : womenonline
ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [