Group Blog
พฤษภาคม 2552

 
 
 
 
 
1
3
8
9
10
14
23
26
29
31
 
 
All Blog
“แตงโม” ประกาศเลิก “ก้อง” บอก ต่างคนต่างไม่ดีพอ ส่วนเรื่องแม่จะแย่งตนไปจากพ่อ ไม่เป็นความจริง
“แตงโม” รับเลิก “ก้อง” มานานกว่า 1 เดือน หลังจากความรักร่อแร่มานานร่วมปี เผยสาเหตุเพราะนิสัยส่วนตัวเข้ากันไม่ได้ เนื่องจากความคิดต่างกัน อีกทั้งต่างคนต่างไม่มีคุณสมบัติที่ดีพอจะเป็นแฟนกัน บอก เลิกกันด้วยดี ตอนนี้ทำใจได้แล้ว เจ้าตัวโต้หนุ่มคลีโอที่ชื่อ “แดนนี่” เป็นมือที่สาม ยันความสัมพันธ์แค่เพื่อนกัน ก่อนปัดตอบข่าวก้องนอกใจแอบกิ๊ก “น้ำชา” นักร้องแกรมมี่ อ้างเป็นเรื่องของฝ่ายชายไม่อยากยุ่ง ส่วนกรณีแม่โผล่ทวงสิทธิ์ผ่านนสพ.ยักษ์ใหญ่ เจ้าตัวเปิดใจเคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว ยอมรับแม่ไประบายความในใจจริง แต่ไม่ได้จะมาแย่งตนไปจากพ่ออย่างที่ลงข่าวไป

หลังจากมีไฮโซนามว่า "พนิดา ศิริยุทธโยธิน" ซึ่งระบุว่าเป็นภรรยาท่านทูตไทยในสวิสเซอร์แลนด์ ออกมาทวงสิทธิ์ความเป็นแม่กับสาว "แตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์" จนเจ้าตัวออกอาการเหวอ! ขอกลับไปปรึกษาพ่อและหาข้อมูลที่แท้จริงก่อนออกมาแถลงข่าวชี้แจง ล่าสุดวันนี้(12 พ.ค.) สาวแตงโมก็ได้เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการขึ้นกลางกองถ่ายละครเรื่อง “ขอเพียงรัก” ที่โรงแรมเซนสวีทกรุงเทพ ย่านแจ้งวัฒนะ โดยงานนี้นอกจากจะเคลียร์เรื่องแม่ที่ยังคาราคาซังแล้ว เจ้าตัวยังเปิดใจเรื่องรักคุดกับแฟนหนุ่ม “ก้อง กรุณ ซอโสตถิกุล” ชนิดเผยแบบม้วนเดียวจบเลยทีเดียว

“วันนี้มีสองเรื่องที่อยากจะพูด เรื่องคุณแม่ก็ได้คุยกับคุณแม่แล้ว เป็นเหมือนที่โมได้คิดไว้เลยว่าข่าวค่อนข้างบิดเบือนไปจากความจริงเยอะมากๆ ก็คุยกับคุณแม่ทานข้าวกันแล้วก็ถามว่าได้เห็นข่าวคุณแม่มั้ย หนังสือที่ลงไม่เหมือนอย่างที่ในหนังสือพิมพ์ลง แต่อาจจะมีบ้างด้วยความที่คุณแม่กับคุณยิ่งยง(คอลัมนิสต์) เป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน ตั้งแต่คุณแม่ยังอยู่ในวงการบันเทิง เพราะฉะนั้นอาจจะมีการคุยกันเหมือนเพื่อนกันปกติ ในขนาดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่อยากจะให้เป็นข่าว เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ที่นำไปลงข่าวเพราะอะไร”

“แต่โมเข้าใจว่าเพื่อนกันก็อยากช่วยเพื่อน พอเพื่อนบ่นคิดถึงลูกไม่รู้็ว่าลูกเหนื่อยหรือเปล่า เลยอยากมาดูแลบ้างหรืออะไรทำนองนี้ ก็เหมือนกับว่าบ่นๆ น่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านหรืออะไรที่แม่อาจะเป็นกังวล งานเยอะช่วงนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงนี้สุขภาพโมไม่ค่อยดี ก็แค่อยากมาช่วยอะไรโมบ้าง จริงๆ โมก็คิดว่าคุณแม่อยากจะมาอยู่ใกล้ๆ เพื่อที่จะช่วยเรื่องใหญ่ๆ อย่างเช่นเรื่องทำงานบ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของงานบ้าน เรื่องความเรียบร้อยของบ้าน เรื่องที่เป็นเรื่องของแม่บ้านคุณแม่ก็อาจจะอยากเข้ามาช่วย เพราะตั้งแต่แรกคุณแม่ก็ช่วยเรื่องนี้มาโดยตลอดอยู่แล้ว”

“ที่คุณยิ่งยงคุยกับคุณแม่คุยกันใจความสำคัญก็มีแค่นี้จริงๆ ค่ะ ฟังแล้วก็ยังงงๆ มากๆ เหมือนคนตั้งตัวไม่ติด งงว่าทำไมถึงลงไปในทำนองนี้ ในส่วนที่ลงไปโมจำรายละเอียดไม่ได้ แต่ที่จำได้เขียนไปในทำนองที่ว่าอยากจะเอาลูกคืน หรือจะมีการแย่งลูกไปจากพ่อ ก็ยังพูดติดตลกอยู่เลยว่าลงไปแบบนี้แล้ว ถามลูกบ้างหรือยังว่าอยากอยู่กับชั้นหรือเปล่าทำนองนี้ค่ะ อย่างที่โมเคยให้สัมภาษณ์ไปว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้เป็นประเด็นที่บ้านโม โมก็งง คุณพ่อก็งง เรื่องนี้จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของครอบครัว น่าจะมีจุดเริ่มต้นที่ครอบครัว แต่ที่บ้านโมยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นคนดูแล”

“หนังสือพิมพ์ไปลง โมก็เลยเกิดความรู้็สึกว่าอยากไปถามความจริงกับคุณแม่ เรื่องก็เป็นอย่างนี้ เหมือนกับที่โมคิดไว้ตอนแรก ที่มีการลงข่าวที่ค่อนข้างบิดเบือนเยอะมากๆ โมกับคุณแม่ก็ยังเป็นปกตินะคะ ถ้าอยากเจอก็ไปหาบ้างตามปกติ หรือถ้าต้องการจะไปช้อปปิ้งกันตามประสาผู้หญิงๆ เราก็ยังไปกัน ไปไหนด้วยกัน โทรศัพท์คุยกันเหมือนที่เป็นมา เราทั้งสามคนพ่อแม่ลูกยังไม่อยากเปลี่ยนสถานะ ยังไม่มีการพูดคุย ยังไม่มีการตกลงกันว่าใครจะดูแล เพราะโมก็อายุค่อนข้างมากแล้ว ตั้งแต่โมยังเล็กจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้เลย อยากจะให้ทุกคนที่เป็นห่วงและที่ติดตามข่าวอยากให้เข้าใจในเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้มันค่อนข้างที่จะเข้าใจกันไปเอง โมก็ยังจะขอใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ”

“สนิทสนมหรือห่างเหินมันก็เป็นเรื่องระหว่างแม่และลูก อย่างเช่นเรื่องของผู้หญิงๆ เรื่องไปช้อปปิ้ง ส่วนตัวโมกับแม่ค่อนข้างสนิทกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องที่โมไม่ค่อยสนิทก็มีบ้าง ก็คือเราจะไม่ค่อยรูั้เรื่องส่วนตัวของกันและกัน ไม่สนิทเท่ากับที่พูดคุยกับคุณพ่อ เพราะโมก็อยู่กับพ่อตลอดเวลา แต่กับคุณแม่ก็อย่างที่ทราบข่าวว่าคุณแม่หย่าขาดกับคุณพ่อ และก็ไปมีครอบครัวใหม่ เพราะฉะนั้นเรื่องส่วนตัวลึกๆ เราไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันทุกวัน มันก็อาจมีบ้างที่เราต้องห่างกันในเรื่องส่วนตัว แต่ก็ยังมีติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าคุณแม่มีธุระมากๆ อันนั้นก็จะเป็นการนานๆ ที่ติดต่อที แต่ตั้งแต่เด็กๆ ปิดเทอมเสาร์-อาทิตย์โมก็จะไปอยู่กับคุณแม่เหมือนครอบครัวปกติ”

บอก โอกาสที่จะกลับมาอยู่กันแบบพ่อแม่ลูกคงไม่มี เนื่องจากไม่ได้มีความต้องการแบบนั้นตั้งแต่แรก

“โอกาสที่จะกลับมาอยู่สามคน เราไม่ได้ต้องการที่จะให้มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว มันไม่ได้เป็นตั้งแต่แรก โมคิดว่าเราสามคนไม่มีใครที่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น ต่างคนต่างมีโลกส่วนตัว โมก็มีโลกส่วนตัวสูง คุณพ่อคุณแม่ก็เหมือนกัน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเราดำเนินชีวิตที่มีความสุขอยู่แล้ว ที่สะดวกสบายอยู่แล้วโมคิดว่า คงไม่มีใครที่คิดอยากจะให้กลับมาอยู่ด้วยกัน บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้ อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีก็ได้”

เจ้าตัวปัดตอบเรื่องฐานะทางครอบครัวของแม่ ที่มีข่าวว่าเป็นภรรยาท่านทูตไทยในสวิสเซอร์แลนด์

“เรื่องครอบครัวใหม่ของคุณแม่ต้องไปถามคุณแม่เอง เพราะการที่คุณแม่จะมีหรือไม่มีครอบครัวมันเป็นเรื่องของคุณแม่เอง (ตอนที่อยู่กับคุณพ่อ คุณแม่ทำงานอะไร?) จริงๆ แล้วคุณแม่เป็นแม่บ้านค่ะ”

“กับคุณแม่ได้คุยแล้วค่ะ ตั้งแต่แรกที่บอกว่าขอไปหาข้อมูลก็ได้คุยกันแล้ว แล้วสรุปออกมายังไงโมก็ออกมาบอกตามความเป็นจริง แม่บ่นกับทุกคนที่เป็นเพื่อน บ่นกับทุกคนที่เป็นญาติ กับคุณพ่อก็บ่นเขาโทรคุยกัน กับพี่วุฒิผู้็จัดการโม เขาก็โทรมาคุยบ่อยและก็บ่นคิดถึงกันแหละค่ะ”

“โมอยู่กับคุณพ่อมาตั้งแต่เล็กๆ แต่กับคุณแม่นานๆ โมเจอกับแม่ที เจอกับคุณแม่น้อยมากๆ ถ้าไม่ใช่วันที่คิดถึงกันมากๆ หรือเป็นวันสำคัญมากๆ อย่างเมื่อสองเดือนที่แล้วโมก็เพิ่งเจอคุณแม่ในงานรับปริญญาพี่ชาย(เป็นพี่คนละพ่อ) ก็เลยได้เจอกันทั้งครอบครัว โดยปกติโมก็จะโทรคุยกันค่อนข้างน้อย ถ้าจะโทรก็จะโทรผ่านพี่วุฒิผู้จัดการ แต่ถ้าโมมีเวลาว่างโมก็จะเจอคุณแม่บ่อยขึ้น แต่ด้วยความที่เราว่างไม่ค่อยจะตรงกัน ช่วงเวลาคุณแม่อาจจะติดธุระบ้าง เราก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ แต่ช่วงนี้ก็พยายามที่จะหาเวลาว่างให้ตรงกัน ก็จะเจอกัน ไปกินข้าวกันบ่อยขึ้น ล่าสุดก็เพิ่งจะไปเที่ยวกัน”

ตัดพ้อ ลงข่าวไปแบบนั้นถือเป็นเรื่องโหดร้ายของครอบครัว เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ควรถามความจริงก่อนจะเขียนอะไรลงไป

“อย่างที่บอกว่าบางทีคุณแม่แค่อยากพูดในความรู้สึกเขา แค่อยากระบาย แต่คุณแม่คงไม่ได้คิดไปถึงว่าเพื่อนคงไม่ใช้ข้อมูลตรงนี้นำไปเสนอข่าว แต่ถ้าถามว่ามันโหดร้ายกับครอบครัวโมมั้ย โมว่ามันโหดร้ายกับการที่เขาเอาไปลงข่าวอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่ใช้การตัดสินใจค่อนข้างมาก และตัวโมกับคุณยิ่งยงไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวขนาดนั้น เขารู้จักทางคุณแม่เพียงฝ่ายเดียว แต่เขาเอาไปลงข่าว เขาลืมคิดไปหรือเปล่าว่าการที่เอาไปลงมันมีผลกระทบ แต่โดยส่้วนตัวโมไม่ได้โกรธ แต่เราควรปรึกษากันก่อนมั้ย ควรถามความจริงกันก่อนมั้ย ก่อนที่จะเอาไปลง แต่คิดไปคิดมาโมก็ค่อนข้างคิดว่าเพื่อนก็ค่อนข้างที่จะรักเพื่อน โมก็อาจะจะเป็นห่วงคุณแม่ เลยเหมือนเป็นว่ากลายเป็นสื่อกลางที่จะทำให้โมกับคุณแม่มีสัมพันธ์ที่ดีขึ้น แต่เขาลืมคิดไปว่า โมกับแม่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกันมาก่อน”

”พ่อก็งงค่ะ พยายามที่จะไม่ให้โมออกมาพูดอะไร เพราะท่านก็เป็นห่วง และก็ไม่อยากให้มีผลกระทบต่อตัวโมในเรื่องของงาน เพราะเรื่องของครอบครัวมันเป็นเรื่องละเอียดอ่าน ก่อนที่จะพูดอะไรออกไป แต่โมให้ความมั่นใจกับคุณพ่อไปว่าโมก็จะพูดในส่วนที่เป็นความจริง เพราะโมคิดว่าความจริงมันก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ และด้วยความที่เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรง ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็แฮปปี้มีความสุขดี ตอนนี้ก็สบายใจมากกว่าตอนที่ยังไม่ได้คุยอะไรกัน ตอนนั้นขอสารภาพไปเลยว่าคิดอะไรเตลิดเปิดเปิงไปเยอะ แต่พอได้คุยกันแล้วก็สบายใจมากขึ้น”

“ผลกระทบกับตัวเอง โมคิดว่าโมค่อนข้างโชคดีที่เป็นคนเข้มแข็ง เชื่อในตัวคุณพ่อเชื่อในตัวคุณแม่ และก็ไม่ได้เชื่อในข่าวร้อยเปอร์เซ็นตฺ์ เพราะโมเองก็อยู่ในวงการนี้มานาน รู้ว่าการลงข่าวเป็นยังไง ว่าข่าวมันเป็นยังไง อย่างที่โมเคยบอกว่าข่าวยังไม่ได้มาถึงที่บ้านก็เลยยังรู้ว่าข่าวมันเป็นยัง ก็เลยมีผลกระทบแค่ในช่วงแรกๆ แต่พอเราใช้ความคิดใช้เวลาทบทวนหลายๆ ครั้ง ก็ไม่ได้มีผลกระทบเท่าไหร่ แต่ถ้าถามว่ามองในกว้างโมก็ไม่ได้อยากจะเป็นข่าวของคนในครอบครัวตัวเองอยู่แล้ว”

“เพื่อนถามโมเยอะมากเลยค่ะ แล้วเพื่อนก็จะงงว่าอะไร เพราะว่าเวลาที่เราเจอกัน เราก็จะหัวเราะกันโดยตลอด เวลากินข้าว แต่พอมีเรื่องแบบนี้เพื่อนก็ถาม โมก็จะบอกว่าเดี๋ยวขอเวลาหาข้อมูลนิดหนึ่ง เพื่อนโมก็เคยเจอแม่เคยกินข้าวกัน ไม่ได้กังวลทุกคนก็ยังใช้ชีวิตปกติ เพราะว่าคุณแม่เองก็ยังต้องดูแลคุณยาย ดูแลพี่ชาย”


ที่มา //www.manager.co.th



Create Date : 13 พฤษภาคม 2552
Last Update : 13 พฤษภาคม 2552 7:23:50 น.
Counter : 858 Pageviews.

0 comments

Mimi-jaiko
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]