Leh Ladakh ... ตอนที่ 2/2 Pangong Lake, Tso Moriri, Hemis, Thiksey, Shey
สวัสดีครับเพื่อนๆ รอตอนสองกันอยู่หรือเปล่า นี่เป็นตอนจบแล้ว สำหรับทริปเลห์ เดือนเมษา ทิ้งช่วงจากตอนแรก 10 วันพะดี มาต่อกัน นี่คือเช้าวันที่ 4 ของทริป หลังจากที่ Day 1 บินมาถึงเลห์ พักปรับร่างกาย เที่ยวสองที่ในเมือง >> Leh Palace และ Tsemo Gompa Day 2 ไป Lamayuru Day 3 ข้าม Khardung La Pass สู่หุบเขา Nubra Valley นอนที่ Hunder วันนี้เราจะไปต่อวันที่เหลือ Day 4 สู่สุดยอดทะเลสาบระฟ้า Pangong Lake Day 5 อีกหนึ่งสุดยอดทะเลสาบพลาดไม่ได้ Tso Moriri Day 6 เก็บตกใกล้เลห์ Hemis Monastery, Thiksey Gompa, Shey Palace Day 7 ปิดทริปบินกลับไทย ความเดิมจากตอนที่แล้ว สรุปแผนที่ทริปอีกครั้ง ตามมาครับ มาดูกันว่า เลห์ เดือนเมษา หนึ่งเดือนก่อนเข้าไฮซีซั่นกับบรรยากาศแบบนี้ โอเคกันมั้ย อรุณสวัสดิ์ Hunder Village
หมู่บ้านเล็กๆ ในหุบนูบร้า หมู่บ้านบนทะเลทรายสีเงิน Silver Colour Sand dunes ที่ที่นทท. นิยมเดินทางมาชมความงามของทะเลทรายเย็นสีน้ำเงิน และกิจกรรมยอดฮิตคือเช่าอูฐขี่ แต่ทริปเราเวลาจำกัด อด แพลนเดิมของเราจะลุยทะเลสาบปันกองกันตั้งแต่ Day 3 แล้ว แต่นายรียุล เจ้าของเกสเฮ๊าส์แนะนำให้สลับแผน เนื่องจากที่นี่บนความสูง 3,100 เมตร ต่ำกว่าเมืองเลห์ราว 400 เมตร จึงเหมาะเป็นที่พักปรับร่างกายเพิ่มอีกหนึ่งวันหลังจากปรับกันมาแล้วที่เมืองเลห์ในวันแรกที่เดินทางมาถึง เช้านี้ตื่นมาอากาศเย็นเฉียบ ผมปีนหน้าต่างออกมาเดินเล่นข้างนอก แล้วก็มาเจอคอกอูฐ มันคืออูฐระยะประชิดครั้งแรกในชีวิตผม ฮรี่ บรรยากาศที่นี่สวยมาก แต่เราไม่มีเวลาอ้อยอิ่ง กินข้าวเช้าแล้วเสวนากับเจ้าของ Habib guesthouse ที่นิสัยขี้เล่นและเว้าไทยเป็น (แสดงว่าที่นี่นทท.ไทยนิยมมานอนเลยเรียนภาษาไทยไปหลายคำ) จากนั้นก็ลากกระเป๋าไปไว้รถ ยืนตากแดดลดความหนาวแล้วร่ำลากันเลย ล้อหมุน 7 โมงกว่า เราต้องรีบ ทาชิบอกหนทางยาวไกล เส้นทางเราวันนี้จะเป็นตามนี้ Hunder > Pangong Lake > Leh จาก Hunder ไป Pangong ระยะทาง 163 กิโล (ใช้เวลาขับประมาณ 5 ชั่่วโมง) เลียบไปในหุบเขาไปตามลำน้ำ Shyok และจาก Pangong ตีกลับเข้า Leh โดยไต่ฟ้าข้ามพาสอีกหนึ่งที่สูงเสมอ Khardung La Pass นั่นคือ Chang La Pass ด้วยระยะทางกลับสู่เลห์ที่ 141 กิโล (ใช้เวลาขับประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง) เส้นทางก็ย้อนออกทางเดิน ผ่าน Diskit ที่เมื่อวานแวะถ่ายรูปเล่น ผ่าน Khalsar ที่เมื่อวานแวะกินเที่ยง เส้นทางเลาะเทือกลาดักห์ ขนาบด้วยลำน้ำ Shyok ทางด้านเหนือ และข้ามฟากลำน้ำไปจะขนาบด้วยเทือกที่ใหญ่กว่าลาดักห์นั่นคือ Saser Muztagh ที่เป็นเทือกแขนงปลายๆ ของ Karakoram Range ภาพบน ถนนสายที่เราวิ่งคือ Ladakh Range กลางคือลำน้ำ Shyok ซ้ายคือแนวเทือก Saser Muztagh สุดสายตาไปฉากหน้านั่นน่าจะเป็นเทือกปันกอง ภาพล่าง มุมมองย้อนกลับไปทางนูบร้า มองลงไปที่ราบริมน้ำข้างล่างนั่นคือแถวๆ หมู่บ้าน Khalsar จุดที่ถ่ายนี้รถเรากำลังไต่สูงขึ้นมา และกำลังจะเชื่อมเข้ากับทางแยกที่ลงมาจาก Khardung La Pass หลังจากขับผ่านแยก Khardung La เรายังยึดถนนสายเดิม เลาะหุบแม่น้ำ Shyok มาเลย ขับต่อมาได้อีก 10 โลก็สับฟันปลาสั้นๆ 4 ขยัก ลงมาวิ่งแทบจะระดับเดียวกับผิวน้ำ เป็นที่ราบโล่ง ถนนตัดตรงดิ่ง ความยาวถนนช่่วงนี้ยาวถึง 4 กิโลเมตรชนิดที่ถ้าสร้างกว้างๆ ล่ะก็เป็นรันเวย์เครื่องบินขึ้นลงได้สบายๆ วิวช่วง 4 กิโลทางตรง อารมณ์ตอนนี้เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในฉากไล่ล่าในหนัง Mad Max โฮะโฮะ และต้องยอมรับว่าถนนสายนี้สุดเปลี่ยว นี่ตั้งแต่ขับห่างแยก Khardung La มายังไม่เจอรถสวนมาแม้แต่คันเดียว!! ในเมื่อขับอย่างกะเจ้าของถนนแบบนี้ก็จอดถ่ายภาพเต๊ะจุ๊ยเสียเลย ขณะนี้เราพ้นแนวเทือกลาดักห์ หลุดเข้ามาเลาะแนว Pangong Range ได้ 5 กิโลแล้ว นับจากนี้ไปลำน้ำ Shyok จะบีบเข้าไปไหลผ่านหุบเขาที่แคบลงๆ เรื่อยๆ ซ้าย Saser Muztagh Range ขวามือก็เทือก Pangong ตรงนี้เป็นไม่กี่ช่วงที่ได้เห็นวิวลำน้ำ Shyok สวยๆ ช่วงนี้เลาะลำน้ำไปประมาณครึ่งกิโลเมตร จุดนี้ห่าง Hunder ออกมา 63 โล ทำเวลามา 1.50 ชม. ใครสนใจมุมนี้เอาพิกัดไปเลยครับ https://goo.gl/kZRGrd ภาพส่วนใหญ่ที่เราได้มาก็อาศัยลดกระจกรถถ่ายเอา ข้างใครข้างมัน ใครอยากได้มุมแม่น้ำเยอะหน่อยให้แย่งนั่งฟากซ้าย ใครอยากได้มุมด้านหน้าด้วยก็ให้แย่งกันนั่งข้างคนขับ แต่คนนั่งฝั่งขวาก็ไม่ต้องเสียใจบางช่วงรถก็ข้ามสะพานมาวิ่งอีกฟากเหมือนกัน ตั้งแต่ออกจากเลห์มาเมื่อวานเช้า วิ่งไปสามร้อยกว่าโลแล้วผมยังไม่เห็นปั๊มน้ำมันสักปั๊ม กำลังเป็นห่วงเรื่องน้ำมันรถจะเติมกันที่ไหน จู่จู่ตอนขับผ่านไซค์คนทำทาง (เดาว่าเป็นคนทำทาง) ทาชิก็โฉบเข้าไปจอดขอซื้อน้ำมัน เค้าก็แบ่งขายให้ เอ่อ ดีแฮะ โล่งอก ขอถ่ายรูปแคมป์แต่เค้าไม่อนุญาต Shyok Village หมู่บ้านชื่อเดียวกับสายน้ำ103 กิโลจาก Hunder เราก็มาถึง Shyok Village หมู่บ้านที่ชื่อด้วยกันกับสายน้ำ ตลอดทางที่ผ่านมาต้องเรียกได้ว่าเราขับอยู่บนความสูง 3,5xx มาโดยตลอด จนมาถึง Shyok Village เนี่ยแหละทางถึงจะเริ่มสับฟันปลาเปลี่ยนระดับ ไต่ผ่าน 3,600 3,700 ขึ้นไปวิ่งเหนือ 3,800 เมตรในที่สุด Shyok Village มองมุมสูงสวยดี และก็สมควรจะพักเมื่อยกันอีกสักครั้ง ทาชิ~~~~~ stop over here pleasessss นายทาชิโชว์เฟอร์นักบีบแตรและไกด์ส่วนตัวของพวกเราก็เลยถือโอกาสไปทำท่าเหินฟ้าบิดขี้เกียจแก้เมื่อย ฉากหลังของทาชิก็คือปลายเทือกคาราโครัมช่วง Saser Muztagh นั่นเอง และยอดปกหิมะแต่ละยอดนั่นล้วนแต่สูงหกพันกว่าทั้งสิ้น เราพักเมื่อยกันร่วมยี่สิบนาทีนะครับ คือวิวมันสวยเว่อร์ ฟ้าก็โคตรแจ่ม ใครสนใจจุดนี้เซพพิกัดไปครับ https://goo.gl/qxWcPW ทาชิมาไล่ต้อนพวกเรากลับขึ้นรถ เพราะเห็นท่าว่าถ้าไม่ต้อนสงสัยคืนนี้ได้นอน Shyok และนี่เป็นจุดสุดท้ายที่คุณจะได้เห็นลำน้ำ Shyok แล้ว จากจุดนี้ไปทางจะตัดข้ามเทือกปันกอง ไปวิ่งอยู่ระหว่างร่องปันกองกับลาดักห์ 121 โลจาก Hunder หรือ 17 โลจาก จากจุดชมวิว Shyok ที่เราเถลไถลกันตะกี๊ เราก็มาถึง Durbuk Village และพ้น Durbuk มาบรรจบกับเส้นทางสาย Pangong Lake Rd. ซึ่งคือสายหลักที่คนมาทะเลสาบปันกองโดยออกมาจากเมืองเลห์โดยตรง ซึ่งถ้ามาจากเลห์ก็จะใช้ระยะทาง 105 กิโล แต่น่าจะใช้เวลานานกว่าเพราะต้องขับข้าม Chang La Pass หลังจากจุดบรรจบของเส้นทางเราก็เข้ามาวิ่งบน Pangong Lake Rd. ละ ขับต่อไปได้อีก 7 กิโลก็มาเจอจุดนี้ Police Check Post PANGONG LAKE ที่ที่รถนทท.ทุกคันต้องจอดรถไปทำใบ permit อีกครั้ง ความสูงจุดนี้ 3,934 เมตรจากระดับน้ำทะเล และป้ายระบุว่าคุณกำลังก้าวเข้าสู่ Conserve Wildlife หรือเขตอนุรักษ์สัตว์ป่านั่นเอง หลัง Check Post เรียบร้อยทางยังคงสูงขึ้นมาต่อเนื่องข้ามระดับ 4,000 เมตร 4,100 เมตร ตอนนี้วิวพื้นข้างทางเริ่มปรากฏหิมะให้เห็นแล้ว ตายๆๆ อยากจอด แต่ทาชิส่ายหัวแล้ว T T เห็นหลักกิโล Lukung 13 นี้ก็แปลว่าไปอีกเพียง 12 โลจะเห็นทะเลสาบปันกองมุมมองแรก the First view of Pangong lake กันละ เห็นรถเล็กๆ นั่นมั้ย ทุกคันที่เห็นตอนนี้คือต่างมุ่งหน้าไปจุดหมายปลายทางเดียวกัน ขณะนี้ก็ทำเวลามา 5 ชม. กินระยะทางมาได้ 153 โล ตอนนี้อยู่บนความสูง 4,224 m. เข้าสู่ช่วง 7 โลสุดท้ายช่วง 2.5 โลเมตรสุดท้ายก่อนปันกองปรากฏ ขณะนี้ยอดเขาแต่ละยอดสูงเกิน 6xxx ทั้งสิ้น อันเป็นยอดระดับหกพันขึ้นที่มีอยู่นับสิบๆยอดของเทือกปันกอง เข้าโค้งตัวเอสข้างหน้าสองสามโค้งแล้วเราก็จะเริ่มเห็นปันกอง จากนั้นทางจะสับฟันปลาลงเขาตรงเข้าไปหา First View of PANGONG LAKEPANGONG LAKE
หรือ Pangong Tso ( Tso แปลว่าทะเลสาบ ) ทะเลสาบปิดระฟ้า บนความสูงหน้าผิวน้ำ 4,250 เมตรจากระดับน้ำทะเล น้ำในทะเลสาบไม่ใช่น้ำจืด แต่มีระดับความเค็มอยู่ที่ระดับ Saline Water หรือเป็นทะเลสาบแบบ Soda Lake หรือแบบน้ำเกลือ ถ้าเค็มขึ้นไปอีกหนึ่งระดับจะเรียกว่าน้ำเค็มแบบเดียวกับน้ำทะเล ยาว 134 กิโล ช่วงกว้างสุด 5 กิโล ลึกสุด 100 เมตร น้ำจะเป็นน้ำแข็งทั้งหมดในฤดูหนาว ที่เรามาเมษาตอนนี้คือฤดูใบไม้ผลิ เป็นทะเลสาบสองประเทศ ฟากตะวันตกเป็นของอินเดีย และทางฟากตะวันออกเป็นของจีน และแล้ว ผมก็มาถึง พวกเราก็มาถึง เคยมีคนมาถึงก่อนเราแล้วมากมาย และคุณหลายๆ คนในนี้สักวันก็คงมาถึงถ้าสถานที่แห่งนี้อยู่บนเส้นทางสายฝันของคุณ เย้ I'm here ขอกางแขนโหน่ยยย ดีใจมากที่สุด ปันกองในเดือนเมษายังมีแผ่นน้ำแข็งให้เห็น ทาชิบอกว่าจริงๆ แล้วเยอะกว่านี้ แต่ปีนี้อากาศอุ่นเร็วกว่าปกติ พื้นที่ส่วนใหญ่น้ำแข็งละลายไปแล้ว อากาศเย็นมาก ลมเยอะ ลมกรรโชกมาแต่ละทียะเยือกมาก แพลนเดิมของเราคือจะมานอนค้างกันที่นี่คืนนึง แต่รียุลเบรคเราไว้หัวทิ่มเลย ว่านอนไม่ได้เด็ดขาด ช่วงนี้กลางคืนที่ปันกองนี้จะติดลบ ลบหนักมาก ลบถึง 20-30 เลย เฮ้ย! ลบเยอะไปป่าววะ แต่เถียงเจ้าถิ่นไม่ได้ ก็เลยได้แต่มาแบบ one day trip ถ้าคุณต้องการมาค้าง ซึ่งน่าจะมาค้างมากๆ ก็วางแผนมากันช่วงไฮซีซั่น แต่ช่วงนั้นก็ต้องอดเห็นปันกองเป็นแผ่นน้ำแข็ง ไม่มีอะไรได้ดังใจไปหมดทุกเรื่องสิน่า รถนทท.ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คัน เกือบบ่ายแล้ว หิวววว กินเที่ยงกันที่นี่ ร้านอาหารธรรมดาๆ แต่ก็ต้องขอบคุณที่ยังมีร้านยอมลงทุนมาเปิด เพราะว่าไปคนน้อยมากๆ ส้วมครับ เข้าส้วมที่นี่สะท้านมาก หลังคาไม่มี ลมทะลุประตูเข้ามาได้ด้วย โอย ถอดกางเกงออกมาขาแข็งไปหมด หนาวมาก ปิดหน้าไม่ใช่อะไรหนาวเจ็บหู ก็เสพบรรยากาศไปเรื่อยๆ นะครับ ป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณเดียวแหละ คือทาชิจอดให้ลงตรงไหนก็เดินเล่นไม่ไกลจากที่จอด อยู่ในรัศมีครึ่งกิโลแค่นั้น บนนี้ความสูงมีผลอยู่เหมือนกัน แต่ละก้าวมันเดินยากเหนื่อยง่ายกว่าปกติพอควร ไม่เชื่อมาลองวิ่งดูมีวูบ เหอะๆ แต่ถ้ามาหน้าร้อนคงสบายหน่อย สีเขียวเยอะขึ้นอ๊อกซิเจนก็น่าจะเยอะขึ้นด้วย ถ่ายไปเยอะๆ นะครับ หนาวลมหน่อย สู้สู้ ผมเปิดคลิบที่ถ่ายมา หูย เสียงลมวิ้งๆ เลย บางจังหวะทรายหมุนขึ้นมาเป็นงวงแล้วก็ลอยคว้างไปเหนือน้ำก่อนจะสลายไป สวยดี มองสายลมพลิ้วผ่านผิวน้ำ ไม่กล้าย่ำ กลัวชักขากลับไม่ทัน สีสันของท้องฟ้าสีคราม ภูเขาสีทอง แผ่นน้ำแข็งบางๆ สีน้ำเงินของผืนเลสาบ สีของพื้นผิวริมฝั่ง และสีเขียวๆ ของเว้าน้ำในแอ่ง กลมกลืนลงตัวไปหมด ลงบรรยากาศปันกองเดือนเมษาให้ชมไปเรื่อยๆ นะครับ เส้นสีแดงๆ คือเส้นเดินทางของเรานะครับ จะเห็นว่าขับเข้ามาสัมผัสปันกองแค่มุมเล็กๆ มุมเดียวเท่านั้น น้อยมาก ผมกลับมาเปิดคอมดูกูเกิลแม็บเห็นเทรลรอบทะเลสาบ ลองนำทางดู โหย 104 กิโลเมตร บนพื้นที่จริงผมไม่ทราบข้อมูลนะครับว่าเราพารถไปได้ทั่วตามเส้นนี้มั้ย แต่เราควรไปมากกว่าที่เส้นแดงๆ ข้างบนแน่ๆ เสียดาย ถ้ามีโอกาสไปใหม่ หรือเพื่อนๆ มีโอกาสไป อาจจะลองตระเวนไปรอบๆ เชื่อว่ามุมสวยๆ ทะลักเมมโมรี่การ์ดแน่ ที่นี่เหมาะนอนค้างจริงๆ เผลอๆ สองคืนไม่พอ บ่ายสาม ได้เวลาอำลาปันกอง บนเที่ยวกลับนี่เราจะย้อนออกไป ผ่าน check post อีกครั้ง แล้วแยกขึ้น ChagLa pass ตรงก่อนปากทางเข้า Durbuk village pass นี้มีความยาวประมาณเกือบ 70 โล คดเคี้ยวไต่เขาคล้ายๆ Khardung La แต่ผมว่าสวยงามไปคนละแบบ ชนิดที่ว่าใครมาก็ควรได้ลองผ่านทั้งสองพาส ภาพนี้ถ่ายนะระดับ 4,900 m. พอดีครับ นับจะแยกปากทางพาส เพียง 20 กิโลเมตรก็ไต่พรวดเดียวจาก 3,900 สูงพุ่งพรวดมาจนเจอหิมะกันอีกครั้ง เส้นทางสายระฟ้าจริงๆ เข้าสู่ช่วงเหนือระดับ 5,000 เมตร 30 กิโลเราก็ไต่มาถึงยอด Chang La TOP
ความสูงว่าตามป้ายก็จะเป็น 17,688 feet ต่ำกว่า Khardong La TOP ที่ 18,380 อยู่ 692 ฟุต หรือ 211 เมตร และอย่างที่รู้ๆ กันที่ผมบอกไว้ในทู้แรก ว่าสถิติบนป้ายนี่ถูกหักล้างสิ้นแล้ว จากข้อมูลทั่วๆ ไป เพียงแต่ทางการคงมีเหตุผลที่ไม่แก้ป้าย และ ความสูงที่ผมวัดจริงบนนี้ สูงกว่าฝั่งคาดุง 3 เมตรด้วย เหอะๆ สรุปว่าสูงไล่เลี่ยกัน (ตรูจะบ้าตัวเลขไปไหน) นอกจากนี้ช่วง Top ของชางลายังเป็นช่วงถนนที่ยาวกว่าฝั่งคาดุง ฝั่งนั้นยอด top ยาวเพียงสองร้อยเมตร ส่วนฝั่งนี้กิโลเมตรกว่า วิวเลยเปิดกว้างสวยกว่านะผมว่า และบนหลัก Don't die of Altitude Sickness นะครับ ฟอร์มแรกของโรคนี้ก็คือ AMS. ที่มีโอกาสเป็นกันได้แบบไม่เข้าใครออกใคร ไม่ขึ้นกับสุขภาพ บนความสูงระดับ Chang La TOP กับ Khardung La TOP จัดเป็นโซนความสูงระดับ Extreme นะครับ คำแนะนำอย่างเป็นทางการก็คืออย่าอยู่บนนี้นานเกิน 20-25 นาที 140 โล 4 ชั่วโมงกว่า เราก็กลับเข้ามาสู่ตัวเมืองเลห์อีกครั้ง หลังจากทิ้งไปหนึ่งคืนไปนอนที่ฮุนเดอร์ รวมชั่วโมงเดินทาง Day 4 นี้เกือบ 12 ชั่วโมงเต็มๆ ได้เที่ยวที่เดิียวคือ Pangong แต่ก็โคตรคุ้ม และต้องจัดให้เป็น Highlight สุดประจำทริปละ แวะหาของยาไส้ พวกขนมปัง เบอร์เกอรี่ แวะร้านของชำด้วย ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไปเจอยี่ห้อไวไว อาร์ พระเจ้าทรงโปรด แต่สุดท้ายแกะมาต้มกิน รสชาติมันก็ปรับเป็นรสอินเดียอีก เอวัง
เช้าวัน Day 5 มุ่งหน้าอีกหนึ่งทะเลสาบ ที่สูงกว่า หนาวกว่า และไกลกว่าปันกอง นั่นคือTso MORIRIบนระยะทางกว่า 210 กิโล (ถ้าจากเลห์ไปปันกอง 147 โล) ไปกลับวันนี้ไกลกว่าเมื่อวานร้อยโล และถือเป็นวันที่เดินทางไกลสุด และก็น่าจะคุ้มสุดอีกหนึ่งเช่นกัน นี่คืออีกหนึ่งทะเลสาบห้ามพลาด เรามาถึงสามแยก Karu อีกครั้ง เมื่อวานเย็นเราผ่านที่นี่ครั้งนึงตอนลงมาจาก Chang La สามแยกนี้อยู่ห่าง Leh 33 โล เป็นทางแยกที่แยกไปทางซ้ายจะขึ้น Chang La ไป Pangong Lake ส่วนแยกขวาก็คือทางที่เราจะไปในวันนี้ Tso Moriri เราออกเร็วกว่าปกติ และแวะกินข้าวเช้ากันที่คารู เอ้อ ชื่อแปลก แต่จำง่าย สามแยกคารู อาหารอินเดียเป็นอะไรที่ผมปรับตัวลำบากมาก และถ้าจะยกให้เมนูไหนยากที่สุดก็เมนูนี้ล่ะครับ ยิ่งกว่าคำว่าเต็มกลืน อัพเวลไปอยู่บนระดับแทบพุ่งเพีียงแค่เข้าปากได้ครึ่งช้อน คือรสชาติเหมือนเอาไปคลุกรักแร้แล้วมาทำ เหมือนเราเอาช้อนควักเต่าใครที่เหงื่อเยอะๆ แล้วคลุกข้าวตักเข้าปาก แหวะ ผมนี้วางช้อนแล้วหนีไปยืนสูบบุหรี่นอกร้านเลย 55555 เส้นทางวันนี้จะยึดแม่น้ำสินธุ หรือ Indus river เป็นหลัก เรียกว่าออกจากเลห์ก็วิ่งเลาะแม่น้ำเลย แต่ไม่ได้ว่าจะเห็นแม่น้ำตลอดนะครับ ไปจนกระทั่ง 158 กิโล แม่น้ำสินธุมุ่งหน้าตรงสู่จีนส่วนเราก็จะตัดข้ามและวิ่งล่องใต้ไต่ระดับขึ้น Tso Moriri Police Stop Check Post UpshiUpshi Village Upshi เป็นชุมทางที่สำคัญอีกจุด เป็นปลายทางของ highway สายหลัก ที่มาจาก Manali แคว้นหิมาจัลประเทศวิ่งตัดเทือกหิมาลัยขึ้นมาสู่ลาดักห์ Upshi อยู่ห่าง Leh 47 กิโล พอผ่าน Upshi มา ทางก็บีบเข้าซอกเข้าสูงชันเรื่อยๆ ถนนกับแม่น้ำแทบจะต้องเบียดกันผ่านซอกผา หลายจุดบนเส้นทางนี้มักมีหินร่วง และไม่ใช่หินธรรมดานะครับ ก้อนนึงใหญ่กว่ารถอีก หนึ่งวันหลังจากเราใช้เส้นทางนี้ เพื่อนชาวไทยที่พักด้วยกันก็มาติดหินถล่มอยู่ที่นี่หลายชั่วโมงกว่าจนท.ที่ดูแลเส้นทางจะมาระเบิดหินออกไปได้ เส้นทางวันนี้มุ่งหน้าตะวันออกเฉียงใต้ตลอด ฝั่งทิศเหนือของแม่น้ำก็จะเป็นแนวเทือกลาดักห์ ส่วนฝั่งใต้ของแม่น้ำจะเกาะไปตามแนวเทือก Zanskar Kiari village 110 กิโลจากเลห์ ภูเขาสีอมม่วงๆ แปลกตา ทางลาดชันขึ้นมาเรื่อย ไม่มีช่วงต้องไต่ 128 โลจากเลห์ เราก็กลับมายืนบนความสูงเหนือ 4,000 เมตรกันอีกครั้ง วิวตรงนี้สวยมาก ขนาดย้อนแสงยังหยุดความแจ่มอลังไม่อยู่ จนเราต้องร้องทาชิ~~~~~~ จอดดดดดด ทาชิเริ่มฟังคำไทยได้มั่งละ ถ่ายภาพแม่น้ำสินธุกับวิวสี่พันเมตรหน่อย เห็นไกลๆ ปกหิมะนั่นน่าจะเป็นบริเวณ Tso Moriri ล่ะ ส่วนรัศมีไม่เกินสิบโลห่างจากจุดนี้ไปทางตต.เฉียงใต้จะมีอีกหนึ่งทะเลสาบคือ Tso Kar นั่นก็ขึ้นชื่อว่าสุดสวยเช่นกัน แต่เวลาเราไม่มากพอจะเสพทุกความสวย 158 โลจากเลห์ เรามาถึง Check Post สำคัญ จุดนี้จะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำทางด้านขวา ซึ่งนั่นจะเป็นจุดที่เราต้องข้ามไป สู่ Tso Moriri ถ้าไม่ข้าม เส้นทางข้างหน้าต่อไปอีกเล็กน้อยก็จะมีทางแยกซ้ายสำหรับคนที่ต้องการไป Pangong Lake อีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก เพราะไกล ชัน ทางไม่ดี และในเมษาแบบนี้มักจะติดหิมะ ดูเวลาก็ปาไปเกือบสิบเอ็ดโมง ปล่อยนายทาชิไปทำใบ permit ส่วนเราก็แวะโรงเตี๊ยมหัวมุมดิื่มน้ำชาพักเมื่อยก่อนเดินทางต่อ สะพานนี้ห้ามถ่ายรูป เลยไม่มีรูปให้ดู 189 โล จาก Leh เราก็มาพบกับ ทะเลสาบ kyagar ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทะเลสาบน้ำเกลือที่เล็กมาก ขับเลาะทะเลสาบไปเพียง 5 กิโลก็พ้นแล้ว บนความสูงระดับ 4,708 ม. ภาพที่เห็นตอนนี้ทะเลสาบกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งไปหมดแล้วแทบมองไม่ออกว่ามันคือแอ่งน้ำ ทาชิ~~~~จอด เราก็ขอจอดไปเรื่อย เรื่องไรจะนั่งนิ่งๆ เช่ารถมาละ ทริปไม่ได้ใกล้ๆ มาไม่ได้ง่ายๆ มัวแต่เกรงใจจะอดวิว สวยใช่เล่น หลังคาโลก Kyagar Tso ยอดที่เห็นเป็นฉากหลังนั่นแต่ละยอดล้วนแต่สูงเกินหกพันทั้งสิ้น วิวฉากหน้าเหมือนจะเป็นทุ่งหญ้า จินตนาการต่อได้เลยว่าจากนี้อีกเดือนเดียวสองเดือนสีเหลืองกรอบจะกลายเป็นทุ่งหญ้าเขียวชะอุ่ม เผลอๆ เป็นทุ่งดอกไม้ มุ่งหน้าต่อ ทิ้ง Kyagar ไว้เป็นเพียงทางผ่านเลย เข้าสู่ช่วงสิบกิโลสุดท้าย และแล้ว Tso Moriri ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า 200 โลกับ 5 ชั่วโมง โหยโหย ใจแทบละลาย Tso Moririณ ความสูง 4,522 ม. สูงกว่าปันกอง กลางคืนที่นี่ช่วงนี้หนาวติดลบมากกว่าด้วย ก็อดตามระเบียบ one day trip ตามเคย ใครอยากนอนค้างก็มาหน้าร้อน แต่ไม่มีแผ่นน้ำแข็งแบบนี้ให้ดู ไม่งั้นก็เตรียมเครื่องกันหนาวจัดเต็มมาสู้ความหนาวที่นี่ ฮีทเตอร์ไม่น่ามีนะครับ ขนาดที่ผมพักในเลห์ยังแจกแค่กระเป๋าน้ำร้อนให้นอนกอด พอเห็นแผ่นน้ำแข็งแบบนี้ก็ทาชิจอดๆสิครับ โอย อย่าหมายน้ำบ่อหน้า ซัดเลย ลงไปยืนใกล้ๆ สัมผัสทะเลสาบแผ่นน้ำแข็งให้หนำใจ ยังกะวุ้นกะทิ ลงมายืนถ่ายหมู่เป็นที่ระทึกขวัญกะแผ่นน้ำแข็งหน่อย ทาชิเห็นร้องจ๊ากบอก no no no กลัวน้ำแข็งแตก เลยลากลงมาถ่ายด้วยกันเสีียเลย เสพบรรยากาศริมทะเลสาบไปเรื่อยๆ อากาศเย็นก็จริงแต่แดดก็ช่วยไว้ได้เยอะ จากจุดที่เราแวะถ่ายน้ำแข็งตะกี๊ขับต่อมาอีกเพียงหกโลจะถึงหมู่บ้าน karzok แต่ก่อนจะถึง ตรงปากทางจะมีค่ายทหาร รถทุกคันต้องแวะไปลงทะเบียน ตรงจุดนี้เป็นพื้นที่ความมั่นคง ถ้าเอาจีพีเอสมาต้องซ่อนไว้ดีดี ไม่งั้นโดนยึด คนโหรงเหรงมากหมู่บ้านนี้ มีเด็กวัยรุ่นจับกลุ่มเล่น cricket กัน ทาชิพาเราเข้ามาใน Karzok หาร้านกินข้าว แต่ปิดหมด เลยพาไปขอข้าวชาวบ้านกิน ก็เช่นเดิมเมนูบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฮาฮา สองชั่วโมงครึ่งนะครับ ที่โมริริ ได้อยู่นานกว่าปันกอง บ่ายสามแล้ว ได้เวลาเดินทางกลับเลห์ น้ำพุร้อน Chumathang Hot Springย้อนทางมาจนถึง Police Check Post อีกครั้ง ข้ามสะพานกลับมา เลี้ยวซ้ายแล้วกลับสู่เส้นทางขนานแม่น้ำสินธุอีกครั้ง จากจาก chk post ขับต่อมาอีก 22โลครึ่ง จะเจอ Chumathang Hot Spring หรือ 138 กิโลจาก leh ที่นี่อยู่ต่ำกว่า Moriri ค่อนข้างมาก คือบนโมริรินั้นอยู่บนระดับ 4,500 พอย้อนมาถึงที่น้ำพุร้อนนี่ความสูงลดลงมาอยู่ที่ 4,000 m. และที่ Chumathang นี้มี medical center ของทหารด้วย จึงเหมาะเป็นจุดหยุดพักหรือถอยร่นกลับ กรณีโดน ams เล่นงานมาจาก Moriri เพราะหลักปฐมพยาบาลสำคัญสำหรับคนโดนโรคภูเขาเล่นงานข้อแรกคือพาตัวเองลดระดับลงมาสู่พื้นที่ต่ำกว่าให้เร็วที่สุด ห้าโมงเย็นแล้ว แต่เส้นทางกลับบไม่ยาก ทาชิเลยจอดให้แวะเที่ยวชมบ่อน้ำพุร้อนกัน ฉากหลังเป็นแม่น้ำสินธุหรือ Indus river เรียกว่าน้ำพุผุดกันอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเลย มีหลายบ่อกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ มีเกสเฮ๊าส์ด้วย และก็มีระฆังแบบนี้ให้หมุน ใบนี้น่าจะเป็นสมบัติของ Chumathang Gompa Day 6 เก็บตกใกล้ Leh Hemis Monastery, Thiksey Gompa, Shey Palaceเมื่อคืนกลับจากโมริริถึงเลห์ดึกมาก ไม่ได้บันทึกภาพอะไรต่อหลังจากออกจากบ่อน้ำพุร้อน กลับมาถึงเกสเฮ๊าส์ก็นับเป็นวันแรกในรอบ 6 มันที่ได้อาบน้ำ 5555 ก่อนหน้านั้นกลัวเปิดฟักบัวมาแล้วชักตายคาห้องน้ำ ยิ่งใกล้จบทริปอากาศยิ่งอุ่นขึ้นจนในที่สุดก็แก้ผ้าอาบน้ำได้สำหรับ แต่เด๋วก่อน ไม่ใช่เป็นผมคนเดียว ทุกคนเหมือนกันหมด วันนี้เส้นทางทริปเราจะสบายๆ ทิ้งทวนก่อนบินกลับในวันพรุ่งนี้แล้ว เดินทางกันใกล้ๆ ไปกลับไม่ถึงร้อยโล จะไล่จากปลายทาง Hemis ย้อนกลับเข้า Leh เส้นทางมันใกล้ เลยไม่ต้องรีบ ตื่นกันสายๆ กินข้าวเช้าเสร็จกว่าจะพร้อมออกเดินทางก็เกือบสิบเอ็ดโมง จาก Leh - Shey แค่ 12 กิโล และจาก Shey - Thiksey ก็แค่ 5 กิโล ส่วนจุดหมาย Leh - Hemis Monastery อยู่ที่ 43 กิโล โดยต้องมุ่งหน้ากลับไปสามแยกคารูอีกครั้ง สามแยกที่ผมจะไม่แวะกินเมนูควักจั๊กกะแร้นั่นอีกเด็ดขาด เส้นทางขับผ่านทั้ง Shey Palace และที่เห็นในภาพนี้คือ Thiksey Gompa ประเดี๋ยวค่อยแวะตอนขากลับ วิวช่วงปลายทาง ขึ้นเขาไต่เข้าเขตวัดแล้ว
Hemis Monasteryเที่ยวใกล้ๆ ไหงแสงไม่สวยเหมือนวันเที่ยวไกล อาจจะเพราะออกกันเกือบเที่ยงถึงกันบ่ายๆ ด้วย ที่ Hemis Monastery ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรสะดุดตาเรา แต่เดี๋ยวก่อน นี่เรากำลังอยู่บนวัดเก่าแก่มากยุคศตวรรษที่ 11 ทุกๆ ปีที่วัดแห่งนี้จะมีเทศกาลเฉลิมฉลองที่เรียกว่า Hemis Festival มีการแสดงที่น่าชมมากสำหรับใครเป็นนทท.สายวัฒนธรรมไม่ควรพลาด ที่วัดนี้องค์ทไลละมะยังมักเสด็จมาบ่อยๆ ด้วย สำหรับพวกเรานับว่าเป็นสายแลนด์โดยแท้จริงไม่ใช่สายวัด ก็เลยไม่ยอดเสียตังค์เดินเข้าไปชมด้านใน ป้วนเปี้ยนอยู่แค่หน้าวัดนั่นแหละ ถถถถ ใจคอไม่เดินไปถามด้วยว่าค่าเข้าเท่าไหร่ โถ รู้งี้ไม่ต้องมา ผมเองก็พร้อมใจไม่เข้ากับเค้าด้วย เพราะอยู่เฝ้าโกโปรที่ตั้งขาเล็กถ่าย timelapse นอกวัด กะเล่นเมฆไหลซะหน่อย แต่สุดท้ายคลิบไม่ได้น่าดูเลย โยกไปเยกมาเพราะขาตั้งเล็กสู้ลมไม่ได้ เดินทางกลับ มุ่งหน้าเลห์ ก่อนย้อนกลับมาถึง Thiksey ประมาณ 7-8 โล มองไปทางซ้ายจะเห็นวัดนึ้ นั่นคือ Stakna Gompa ที่มีสมญาว่า The Tiger's nose เพราะตั้งอยู่บนเขาที่ดูเหมือนจมูกเสือโคร่ง มาถึงละ Thiksey Gompaอูย วัดนี้สวย สวยมาก สวยกว่าทุกวัดที่แวะมาตลอดทริป ห้ามพลาดเลย 17 กิโลจาก Leh แค่นั้น เช่ามอไซค์ขี่มาก็ได้ วิวบน Thiksey Gompa มุมมองไปยังทิศใต้ เมษาเริ่มมีความเขียวแซมบ้างแล้ว ถ้าพค. มิย. สวยเต็มที่ ถัดมาเราก็แวะ Shey Palaceและก็คล้ายๆ กันกับ Leh Palace คือถ้าเป็นวังเนี่ยทรุดโทรมหมด ไม่สวยสะอาดตาเหมือนวัด วิวมองจากบน Shey Palace วิวบน Shey อีกรูป นับว่าเมืองนี้สีเขียวมีเยอะกว่าในเมือง Leh อยู่มาก ออกเที่ยวสายแล้วยังกับมาเดินเลห์เย็นๆ ได้ วันนี้นับว่าเที่ยวใกล้มาก ก็เลยมีเวลามาเดินหาซื้อของกันในตลาดใจกลางเลห์ ภาพนี้ลานจอดรถของตลาด ก็มองเห็นพระราชวังเลห์เด่นตระหง่านอยู่ฉากหลัง ทาชิก็พาเดินซอกแซกจนงงไปหมด มุดซอกมุดตอก ไม่รู้เลี้ยวไหนต่อไหนนะครับ เดินเลยมาถึง Main Bazaar ถนนคนเดิน ย่านช๊อบสตรีทสำคัญของเมืองเลห์ด้วย เพื่อนๆ ก็มาเดินซื้อผ้า ผมมาหาสร้อย แหวน กำไล กระเป๋าทิเบต ของที่นี่ถามดูส่วนใหญ่ก็มาจากทิเบตบ้าง ที่อื่่นบ้าง ปากีก็มี สาวตาสวยสองคนนี้พี่น้องกัน มาจากต่างถิ่นมาค้าขายริมถนนย่านช๊อปปิ้งนี้เช่นกัน เจอมุมฉากหลังไหนสวยๆ ก็ถ่ายรูปกันไปเพลินๆ แล้วก็ปิดทริป Day 6 ด้วยมื้อค่ำพิเศษนายรียุลเจ้าของ Ree Yul guesthouse จัดเต็มให้ เป็นข้าวหมกไก่ใส่เกี้ยวเนื้ออะไรผมจำไม่ได้ แถมท้ายให้ด้วย แผนผังความสูงจากระดับน้ำทะเลของจุดแวะสำคัญๆ ต่างๆ ตลอดทริปนี้นะครับ จุดไหนสูงระดับ Extreme จุดไหนอยู่ในโซน Very High Altitude จุดไหนต่ำสุด และจุดไหน High เฉยๆ รวมทั้งภาพรวมเฉลี่ยๆ ให้เห็นภาพว่าส่วนใหญ่แต่ละที่สูงอยู่ในระดับใดกัน เช้า Day 7 วันนี้ก็เป็นบรรยากาศแห่งการร่ำลา และเป็น beautiful day ที่สุดของทริป คืออากาศดีมาก หนาวน้อยลงจนรู้สึกสบายๆ ลูกชายนายรียุลจอมซนที่เล่นกันมาแทบทุกวันมาชะโงกหน้าดูพวกเรากำลังจะเช็คเอาท์ นายรียุล สุภาพบุรุษผู้โอบอ้อมอารีผู้ที่พาผมไปโรงพยาบาลตอนโดน AMS ในวันแรกๆ โฉมหน้านายทาชิ โชว์เฟอร์นักบีบแตร เสือภูเขาแห่งเทือกลาดักห์ และไกด์หนึ่งเดียวตลอดทริปของเรา สมาชิกครอบครัวของ Ree Yul guesthouse แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าครับ สำหรับผมคงต้องหาโอกาสกลับมาดินแดนนี้ใหม่ ไม่แน่ว่ามาคราวหน้าจะลองเช่ามอไซค์ Royal Enfield ขี่เที่ยวข้าม pass สักหน่อย สรุปคชจ. ตลอดทริปนี้สำหรับ 5 คน (พอดีกับรถ innova 1 คัน ) ตกไม่เกินคนละสามหมื่นบาท -เป็นค่าเครื่องบิน 4 ไฟล์ท 18,xxx -ค่าที่พักที่เลห์ 6 คืน ที่ฮุนเดอร์ 1 คืน (ตอนอยู่ฮุนเดอร์เราเปิดห้องที่เลห์ทิ้งไว้ด้วย) ค่าที่พักถูกมาก ตกคืนละ 1500 รูปี ต่อห้อง เตียงเสริมคิด 200 รูปปี -ส่วนคชจ.ที่แพงที่สุดคือรถ และมันขึ้นอยู่กับระยะทาง แต่เมืองนี้ควบคุมค่ารถไว้อย่างดี มีตารางคชจ.เป็นมาตรฐานลองกูเกิ้ลคำว่า Taxi rate in Leh Ladakh กันดู ผมยกตย. ให้ดู : Leh - Turtuk - Hunder 8,000 รูปี Leh - Pangong Lake - leh 8,653 รูปี เป็นต้น อันนี้ taxi rate ลองเอาไปวางแผนงบดู //devilonwheels.com/leh-ladakh-taxi-rates-2016-17/ ขอบคุณทุกความเห็น ทุกโหวต ทุกไลค์ และทุกๆ แชร์ครับ
Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2560 |
|
11 comments |
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2560 20:49:07 น. |
Counter : 5860 Pageviews. |
|
|
|
คิดว่าจะลาบล๊อกไปแล้ว
โหวดรูปภาพน่ะ เพราะสวย