1-9 DEC 2012"Egypt" 1 of our dream destination3 ธ.ค. 2555 (จ)วันที่สามของการเดินทางวันนี้เราต้องตื่นเช้ากว่าปกติ คือ ประมาณตี 5 ไปขึ้นเครื่องบินในประเทศเพื่อเดินทางจากเมืองหลวงไคโรไปยังเมืองอาบูซิมเบล (Abu Simbel) ที่อยู่ทางตอนใต้ของอียิปต์โดยเที่ยวบินที่ MS471 ของสายการบิน Egypt จะออกจากไคโรเวลา 08.00 น.และแวะไปส่งและรับผู้โดยสารที่สนามบินอัสวาน (Aswan) ก่อนจะบินต่อและถึงอาบูซิมเบลในเวลา 10.40 น.ซึ่งเที่ยวบินที่มาที่อาบูซิมเบลนี้ จะนำนักท่องเที่ยวมาเที่ยว และก็พากลับเมืองอัสวานในเวลา 13.00 น.ทำให้เรามีเวลาเที่ยวที่นี่กันราว 2 ชม...สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในวันนี้ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์เรียกว่าในความรู้สึกส่วนตัวแล้ว เราให้คะแนนที่นี่เป็นอันดับที่ 1 เหนือกว่ามหาพีระมิดแห่งกิซ่าและสถานที่แห่งนี้ก็คือ "มหาวิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel) ซึ่งเป็นมหาวิหารของอียิปต์โบราณและเป็นโบราณสถานหนึ่งในมรดกโลกขององค์การยูเนสโกฟาโรห์รามเสสที่ 2 คือใคร? และสำคัญอย่างไร?ฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 19 ที่ครองราชย์นานถึงกว่า 67 ปีถือเป็นฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์อียิปต์ในยุคของพระองค์อาณาจักรอียิปต์มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากมีการขยายอำนาจออกไปไกลถึงเอเชีย โดยการปราบปรามชนเผ่าเล็กเผ่าน้อยซึ่งจากการขยายอำนาจนี้ ทำให้อียิปต์เกิดการปะทะกับชาวฮิตไทต์ (Hittite)ที่เป็นมหาอำนาจแห่งตะวันออกกลาง ซึ่งคือประเทศตุรกีในปัจจุบันแต่ในการรบไม่มีฝ่ายไหนชนะ จึงได้ตกลงทำสัญญาสงบศึก แต่ต่อมาต่างฝ่ายก็ต่างทำจารึกว่าตนเป็นฝ่ายชนะซึ่งในความเป็นจริงก็พิสูจน์ไม่ได้ในส่วนของเรื่องความรัก พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักรักเนื่องจากมีโอรสกว่า 100 องค์ และมีพระธิดาอีกกว่า 50 องค์ส่วนเรื่องสิ่งก่อสร้าง ในสมัยของพระองค์มีการต่อเติมมหาวิหารคานัค วิหารลักซอร์และการสร้างมหาวิหารอาบูซิมเบลแห่งนี้โดยเหตุผลที่ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทรงสร้างวิหารอาบูซิมเบลแห่งนี้ ก็เพื่อเป็นการข่มขู่ชาวนูเบียน (Nubian)ซึ่งเป็นชาวแอฟริกันผิวดำที่เป็นเมืองขึ้น เพื่อไม่ให้แข็งข้อนั่นเอง..เมื่อมาถึงที่วิหารอาบูซิมเบล เราจะได้พบกับวิหาร 2 หลังวิหารหลังแรก คือ The Great Temple ซึ่งเป็นวิหารของฟาโรห์รามเสสที่ 2ซึ่งเราจะได้พบกับรูปสลักของ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 นั่งบนบัลลังก์ 4 องค์ สูงองค์ละ 20 ม.เรียงกันข้างละ 2 องค์ (แต่องค์ที่ 2 เสียหายเนื่องจากแผ่นดินไหว) รูปสลักทุกองค์หันหน้าไปทางแม่น้ำ เพื่อแสดงถึงพลังและอำนาจของฟาโรห์ที่คอยดูแลปกป้องส่วนตรงกลางเจาะเป็นประตูทางเข้าที่เท้าแกะสลักเป็นรูปพระมารดา พระราชินีและโอรสธิดาอีก 8 องค์ด้านหน้า The Great Templeตอนอยู่ใต้เงามหาพีระมิดกิซ่าเมื่อวานก็ทำใจเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วแต่พอวันนี้ได้มาสบตาฟาโรห์รามเสสที่ 2 ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรอียิปต์โบราณแล้ว ใจยิ่งเต้นแรงกว่านั่นเพราะรูปปั้นเหมือนมีชีวิตและมีความน่าเกรงขามไม่แปลกใจเลยที่เมื่อหลายพันปีก่อน ทำไมชาวนูเบียนถึงได้เกิดความกลัวเมื่อเห็นรูปปั้นของพระองค์รูปสลักขนาดสูงใหญ่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เมื่อเทียบกับคนแล้ว คนตัวเล็กไปถนัดตาตรงกลางระหว่างรูปปั้น 4 องค์ เจาะเป็นประตูทางเข้าวิหารด้านในวิหารเป็นหอศักดิ์สิทธิ์ ซึ่ง 2 ข้างทางเป็นรูปสลักของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ประทับยืน 8 องค์ส่วนภาพแกะสลักตามผนังเป็นจารึกพระราชกรณียกิจของพระองค์ในภาษาเฮียโรกลิฟฟิก (อักษรภาพโบราณ)(ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน แต่สามารถซูมเข้าไปถ่ายได้)เมื่อซูมกล้องเข้าไปจนถึงห้องด้านในสุด จะพบกับรูปหินแกะสลัก 4 องค์ คือ(ขวามาซ้าย) เทพเจ้า Amon, Ramses II, Hamakis และ Ptahซึ่งในแต่ละปีจะมีอยู่ 2 วัน คือ วันที่ 21 ก.พ. และ 21 ต.ค. แสงอาทิตย์จะส่องผ่านประตูเข้ามาและส่องไปที่รูปสลัก Amon และ Ramses II ก่อน แล้วจึงค่อยๆ เคลื่อนไปที่ Hamakisและจะส่องสว่างอยู่อย่างนั้นราว 20 นาที ก่อนจะหักเหออกไปโดยจะไม่มีแสงส่องไปที่ เทพเจ้า Ptah เลย เพราะเทพเจ้า Ptah คือเทพเจ้าแห่งความมืดรูปสลักของฟาโรห์รามเสสที่ 2 แบบชัดๆซูมเข้าไปจนเห็นร่องรอยการตัดหินออกเป็นชิ้นๆ เมื่อครั้งทำการย้ายหนีน้ำจาก The Great Temple ไปที่วิหารอีกหลัง คือ The Small Templeวิหารหลังนี้เป็นวิหารที่ฟาโรห์รามเสสที่ 2 สร้างถวายแด่ เทพีฮาเธอร์ (Hathor) ซึ่งเป็นเทพีแห่งความรักและพระนางเนเฟอร์ตารี (Nefertari) ผู้เป็นมเหสีที่รักของพระองค์โดยรูปสลักด้านหน้าวิหารสูงประมาณ 10 ม. เป็นรูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2สลับกับรูปพระนางเนฟเฟอร์ตารีสวมมงกุฎราชินีส่วนรูปขวาสุดเป็นรูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทรงสวมหมวกแบบฟาโรห์พร้อมมงกุฎหางนกมีแผ่นโซลาร์ดิสก์ หมายถึงพระองค์เทียบเท่าสุริยเทพส่วนรูปสลักอีก 3 รูป ทรงสวมหมวกทรงปาปิรัสและดอกบัวตูมหมายถึงการขึ้นครองสองอาณาจักรทั้งอียิปต์ล่างและอียิปต์บนส่วนรูปปั้นองค์เล็กในแต่ละช่วงของระหว่างขาของฟาโรห์รามเสสที่ 2 และพระนางเนเฟอร์ตารีคือ โอรสและธิดาในพระองค์ซึ่งจากประวัติศาสตร์ของอียิปต์ ปกติฟาโรห์จะสร้างรูปสลักของราชินีสูงเพียงหัวเข่าเท่านั้นไม่เคยปรากฎว่ามีองค์ใดสร้างให้มีความสูงเท่ากันมาก่อนนั้นจึงแปลว่าฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทรงรักและให้เกียรติพระนางเนเฟอตารีมากขนาดไหนรูปสลักพระนางเนเฟอตารีชัดๆ มองเห็นทั้ง 2 วิหาร ซึ่งจากเดิมก่อนย้ายวิหารมาอยู่ในที่ปัจจุบัน ทั้ง 2 วิหารจะอยู่ห่างกันมากกว่านี้ความยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ของมหาวิหารอาบูซิมเบลไม่เพียงอยู่ที่การใช้เวลาสร้าง 20 ปีในสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 เท่านั้นแต่ครั้งที่มีการสร้างเขื่อนยักษ์อัสวาน แล้วทำให้ที่นี่ ซึ่งเป็น 1 ในวิหารและโบราณสถาน 17 แห่งต้องจมลงในน้ำองค์การยูเนสโกเลยเข้ามาให้การช่วยเหลือ แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ แล้วจะทำการย้ายมหาวิหารอาบูซิมเบลยังไงยูเนสโกเลยขอให้ประเทศต่างๆ เสนอวิธีในการย้ายวิหารแห่งนี้มีประเทศหนึ่งเสนอว่าให้ทำเป็นโดมกระจกครอบเหมือน Aquarium เวลาจะดูก็ขึ้นลิฟต์ลงไปดูที่ด้านล่างแต่ความคิดนี้ไม่ผ่านสุดท้ายไปได้วิธีของประเทศอิตาลี ที่เสนอให้ใช้วิธีการตัดหินออกเป็นส่วนๆซึ่งในการตัด ได้ทำการตัดออกถึง 1,050 ส่วน และยกไปประกอบใหม่บนพื้นที่เหนือทะเลสาปนัสเซอร์เดิม สูง 65 ม.ซึ่งใช้เงินไปถึง 40 ล้านดอลลาร์ ในการจ้างคณะวิศวกร และคนงานออกแบบตัดวิหารโดยการสร้างภูเขาเทียมรูปโดมเป็นโพรงด้านใน (บนตำแหน่งใหม่ที่จะย้ายไป)ด้วยคอนกรีตเสริมใยเหล็กให้เมือนเดิมทุกประการ แล้วเอาชิ้นส่วนที่ตัดมาประกอบเข้าทั้งภายนอกและภายในซึ่งใช้เวลาถึง 4 ปีในการเคลื่อนย้ายและประกอบใหม่ส่วนจุดที่ว่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าตอนสร้างก็คือ การคำนวนองศาและทิศทางที่ทำให้แสงยังคงส่องเข้าไปยังห้องด้านในสุดภายในวิหารของฟาโรห์รามเสสที่ 2 และกระทบกับรูปสลักทั้ง 4 ได้เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยนเพียงแต่วันจะเลื่อนออกไปจากเดิม คือ ทุกวันที่ 21 ก.พ. และ 21 ต.ค.กลายเป็นทุกวันที่ 22 ก.พ. และ 22 ต.ค. คือเลื่อนไปเพียง 1 วันแต่วันเวลา และลักษณะที่แสงส่องกระทบยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ช่างมหัศจรรย์ซะจริงๆมีใครหลายคนเคยบอกไว้ว่า ถ้าเลือกสถานที่ได้แห่งเดียวในอียิปต์ที่ๆ ไม่ควรพลาดเลยก็คือ "มหาวิหารอาบูซิมเบล" แห่งนี้นี่เอง>> โปรดติดตามตอนค่อไป <<