อิตาลี : มิลาน สวรรค์นักช็อป
ก่อนอื่นใด ทริปนี้ทำให้รู้ว่า ผมไม่ได้แพ้บ๊วยอีกต่อไปแล้ว ไม่กิน ไม่แตะ ไม่ชิม ไม่สังฆกรรมกับบ๊วยมาเป็นเวลากว่า 30 ปี ตั้งแต่เป็นเด็กน้อย เพราะคิดว่าตัวเองแพ้บ๊วยอย่างรุนแรง กินแล้วให้ได้เป็นลมพิษคันคะเยอไปทั้งตัวทุกที ครั้งนี้รวบรวมความกล้ากินบ๊วยอีกครั้ง จนหมดถุงก็แล้วไม่มีอาการใดๆ จบข่าว อาจเลิกแพ้ไปแล้ว หรือไม่ได้แพ้มาตั้งแต่แรกก็ได้
มาเที่ยวมิลานรอบนี้ อาจฟังดูไม่แปลก แต่จริงๆ แล้วแปลกครับ เพราะเป็นการมามิลานด้วยวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยวครั้งแรกจริงๆ ก่อนนี้แม้จะมาเป็นสิบหนแล้ว แต่เป็นการมาทำงานล้วนๆ งานนี้นั่งชั้น 1 (ราคาโปรโมชั่น) เลยครับ
จองโรงแรมที่พักแถวใกล้ๆ โบสถ์ Duomo เลยครับ กลางเมืองและศูนย์กลางช็อปปิง เดินไม่ถึง 5 นาทีจากโรงแรมก็ถึง Duomo
แต่มันเป็น 5 นาทีแห่งความทรมาน เพราะอากาศในช่วงสัปดาห์แรกหลังปีใหม่แบบนี้ในมิลาน อยู่ระหว่างเลขตัวเดียวต่ำๆ จนถึงติดลบ
แม้จะไม่มีหิมะตก แต่ใครจะรู้ว่าอุณหภูมิต่ำไร้หิมะแบบนี้แลหนาวเหน็บเจ็บกระดูกจริงๆ
คนที่อยู่ในประเทศที่หนาวจริงจัง ที่หิมะตกปีละหลายเดือนเผลอเข้ามาอ่านที่ผมบ่นหนาวคงได้กลอกตาบน ยอมรับว่าของท่านหนาวแอดวานส์กว่าเยอะครับ
ละแวกรอบๆ Duomo นอกจากจะมีคนถ่ายภาพกันแทบจะทุกซอกมุมแล้ว ในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่แบบนี้ ยังคงมีตลาดคริสต์มาสให้เดินชมกันด้วยครับ
คงจะพูดได้ว่าเป็นตลาดคริสต์มาสที่งั้นๆ เพราะผมได้ไปตลาดคริสต์มาสที่น่ารักที่สุดในยุโรปที่ Bolzano มาแล้ว
ของขายดูธรรมดา ของผลิตจากทางเอเชียบ้านเรามาวางขาย ของอิตาลีก็เหมือนของขายตลาดนัดมากกว่า
คงทำเพื่อให้มีบรรยากาศการเฉลิมฉลองบ้างก็เท่านั้น คนมาเดินช็อปมาถ่ายรูปแถวนี้เกิดหิวขึ้นมาก็มีน้ำมีขนมพอให้ซื้อกินได้
หากท่านถามคนที่อยู่อิตาลีมาสักพักว่ามิลานมีอะไรให้คำ ท่านจะได้คำตอบไปในทำนองว่า มิลานจริงๆ ไม่มีอะไรให้เที่ยว ต้องมาซื้อของ
ซึ่งก็คงเป็นจริงอย่างนั้น ย่านช็อปปิ้งไม่ว่าจะเวลาไหนหรือหนาวเย็นแค่ไหนก็ไม่เคยร้างผู้คนเลย ทำให้ผมยกระดับการระวังกระเป๋าและคนแปลกหน้าขึ้นไปอีก
ขอต่อเรื่องการช็อปปิ้งให้จบเลยแล้วกัน หากท่านไม่อิ่มหนำกับการช็อปในมิลาน ซึ่งมีตั้งแต่ย่าน Duomo ซึ่งห้างที่เก่าแก่ที่สุดในโลกชื่อว่าห้าง Galleria Vittorio Emanuele ไปยันถนน Corso Buenos Aires
ท่านยังสามารถนั่งรถบัสข้ามไปยังห้าง outlet (ห้างรวมสินค้าแบรนด์ต่างๆ ขนาดใหญ่ เดินทั้งวันก็ไม่ทั่ว) ชื่อว่า Foxtown อยู่ในประเทศสวิตซึ่งติดกับอิตาลี
ตอนซื้อตั๋วขึ้นรถท่านต้องแสดงหนังสือเดินทางด้วยนะครับ เพราะถือว่าเดินทางนอกประเทศอิตาลี
แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วมันใช้เวลาแค่ 1.15 ชม. เองครับ พอข้ามชายแดนอิตาลีปั๊บก็ถึง Foxtown เลย
รถจอดให้เราลงนัดเวลากลับกันเรียบร้อย ดูแล้วมีเวลาทั้งสิ้น 6 ชม. โดยประมาณ กับขนาดอันมหึมาของ Foxtown เวลาจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ
ต่างคนต่างชอบไม่เหมือนกัน วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการเดิน outlet คือ ปล่อยไปตามอัธยาศัยครับ นัดหมายสถานที่และเวลากันมาขึ้นรถพอ แยกย้าย ตัวใครตัวมันหรือจะคู่ใครคู่มันก็แล้วแต่
หกชั่วโมงของการเดินและกินและเดินและนั่งพักและเดินต่อ ทำให้เมื่อยขาได้ไม่น้อย พร้อมกับ dilemma "to buy or not to buy, that's the question"
หลายอย่างถูกใจแต่คิดไปว่ามีแล้ว หลายอย่างไม่แพงแต่สีแดงไม่กล้าใช้ หลายอย่างน่าสนแต่มีคนมาแย่งไป คิดอะไรทำนองนี้อยู่ตลอดเวลา
หกชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนตอแหล มาเจอกันที่รถบัสไม่มีใครมีถุงช็อปปิงติดมือมาเลยครับ แปลกใจระดับห้า เพราะแต่ละคนนี่มีประวัติช็อปทิลดร็อปทั้งนั้น
เรื่องเที่ยวอย่างที่บอกไว้ นอกจาก Duomo แล้วไม่มีอะไรอู้หูสวยจังขนาดนั้น
มีโบสถ์มีอะไรให้เดินอยู่หลายแห่งครับ
ประวัติความเป็นมาก็ไม่ธรรมดา
แต่รูปลักษณ์ภายนอกไม่มีอะไรดึงดูดมาก
เราใช้โบสถ์เหล่านี้เป็นสถานที่นั่งพักเสียส่วนใหญ่
เรามีนั่งรถไฟไปชมวัด Monatero della Certosa di Pavia ด้วนะครับ ห่างออกไปทางรถไฟไม่นาน ตั๋วรถไฟถูก
แต่ที่น่าขัน คือ เราใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟไปโบสถ์นานกว่านั่งรถไฟมาหลายเท่าเลยครับ
บทเรียนจากพี่ชินไกด์จำเป็นของเรา คือ อย่าให้ google map หลอก ดูเหมือนใกล้แต่อาจไกล เช็คให้ชัวร์ว่าแผนที่ที่ท่านดูอยู่ใช้สัดส่วนเท่าไหร่
โบสถ์ก็สวยงามตามท้องเรื่อง ที่เก๋คือบาทหลวงจะเป็นผู้นำชมโบสถ์ด้านในเอง
ห้ามถ่ายภาพด้านใน เลยไม่ได้ถ่ายมาให้ดูครับว่าก็ไม่ได้อลังการอะไร แต่จะเห็นคนหลายสิบคนล้อมบาทหลวงที่กำลังบรรยายประวัติของโบสถ์อย่างน่าสนใจโดยใช้ภาษาอิตาเลียนที่ผมเองซึ่งถือว่ามีความแอดวานซ์ทางภาษาอิตาเลียนที่สุดในกลุ่มพวกเราฟังแทบไม่รู้เรื่อง
บอกแล้วว่ารู้ภาษาอิตาเลียนแค่พอสั่งอาหารกับถามทางได้เท่านั้น
เมือง Pavia เองเราก็ได้ไปเดินเล่นกันครับ
เมืองเล็กๆ อากาศเย็นๆ ที่ฉี่ก็หายาก
และต้องกลับไปทานมื้อค่ำที่มิลานอีก
จึงได้แต่เดินวนในตัวเมือง 1 รอบก็กระโดดขึ้นรถไฟกลับมิลาน
ในภาพรวม สมาชิกผู้ร่วมทริปโหวตกันว่า สิ่งที่ฟินที่สุดสำหรับการมามิลานในครั้งนี้ไม่ใช่การช็อปปิง แต่เป็นการที่ทุกคนได้เข้าชมภาพวาด Cenacolo หรือ The Last Supper
สองคนในพวกเรารวมทั้งตัวผมเองไม่ได้จองตั๋วเข้ามาล่วงหน้าเพราะจองไม่ทันครับ บัตรเต็มทีล่วงหน้า 3 เดือน ใช้วิธีที่คนไทยแนะนำกันมา ให้ไปรอแต่เช้าช่วงห้องตั๋วเปิด เขาว่ารอบเช้ามักจะมีคนมาไม่ทันหรือ cancel เสมอ
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง มาถึงปุ๊บซื้อปั๊บเข้ารอบถัดไปได้เลย ไม่ต้องรอนาน อุตส่าห์ไปเครียดเฝ้าหน้าจอรอจองทางเว็บอยู่ตั้งนาน
ภาพวาดดังๆ ในโลกที่ผมได้ยินคนพูดถึงบ่อยๆ มีอยู่ไม่กี่ภาพหรอกครับ Last Supper นี่ก็หนึ่งในนั้น แต่ความเก๋คือเป็นภาพวาดลงบนผนังโบสถ์ Santa Maria delle Grazie ไม่ได้วาดบนผ้าใบหรือกระดาษ
วาดขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 15 โดย Leonardo da Vinci สำหรับ Ludovico Sforza ดยุคแห่งมิลาน
เป็นภาพตอนที่พระเยซูประกาศว่า จะมีหนึ่งในสาวกหักหลังพระองค์
สนุกตรงที่มีการตีความจากสีหน้าท่าทางกันไปต่างๆ นาๆ ว่าใคร คือ คนที่หักหลังพระองค์
ไม่มีใครรู้ Leonardo ไม่ได้บอกไว้ ที่แน่ๆ คือ ภาพนี้ทำให้เลข 13 เป็นเลขอัปมงคลสำหรับฝรั่ง ส่งผลกระทบถึงชั้น 12A ที่คอนโดผมที่ไทยด้วย
ชื่นชมภาพ Cenacolo ได้ 15 นาทีก็จะมีเจ้าหน้าที่มาไล่ต้อนให้ออก เพราะลูกค้าชุดต่อไปรออยู่
เกือบจะจบทริปมิลานอย่างไม่สวยงาม มีพวกยิปซีหรือ zingari พยายามขึ้นมาขโมยกระเป๋าพวกเราในขณะรอรถไฟออกจากสถานีมิลาน โชคดีเราไหวตัวทัน แต่การเจอแบบนี้ครั้งแรกแม้จะได้ยินมาเยอะก็เล่นเอาเกือบเสียทรัพย์ไปเหมือนกัน กระเป๋าถูกรูดไปแล้วแต่มันยังไม่ทันล้วง close call มาก
ท่านต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกระดับเมื่อเดินทางด้วยรถไฟชั้นหนึ่ง (ก่อนนี้นั่งแต่ชั้นประหยัดไม่เคยตกเป็นเป้า) และหากจำเป็นจะต้องสนทนากับใครก็ตาม เอากระเป๋ามากอดกับตัวไว้ให้เป็นนิสัย
Create Date : 28 มกราคม 2560 |
Last Update : 2 เมษายน 2561 2:19:02 น. |
|
0 comments
|
Counter : 12710 Pageviews. |
|
|