|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
แฟรนไชส์คืออะไร : แฟรนไชส์ ธุรกิืจแฟรนไชส์ ซื้อแฟรนไชส์ ขายแฟรนไชส์ แฟรนไชส์ซี แฟรนไชส์ซอ ระบบแฟรนไช
วันนี้เป็นวันเริ่มรู้จักกันกับผู้อ่านในสายธุรกิจขายตรงกันล่ะครับ เหตุอันเนื่องจากที่ผมนั่งคุยกับ บก. คุณสุทิน ที่ต่างคน ต่างมีความเห็น ตรงกันว่าน่าจะสร้างมุมของบทความ ที่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบธุรกิจที่จะว่าใหม่ก็ไม่เชิง แต่เป็นสนใจของหลายฝ่าย คือ ระบบงานแบบแฟรนไชส์ ที่อาจจะสามารถสร้าง หรือปรับให้เข้ากับระบบงานของธุรกิจขายตรงของพวกเราได้มากน้อย
ผมคงจะเริ่มจากพื้นฐานด้านระบบงานแฟรนไชส์ และค่อยวิเคราะห์ลงไปเชิงลึกมากขึ้น
เริ่มกันที่ “ความหมายของแฟรนไชส์” ธุรกิจแฟรนไชส์ คือ วิธีการหนึ่งในการขยายตลาดและช่องทางการจัดจำหน่ายของธุรกิจ โดยผ่านผู้ประกอบการอิสระที่เรียกว่า แฟรนไชส์ซี ส่วนทางบริษัทให้สิทธิเครื่องหมายการค้า ซึ่งถ้ายังไม่ได้เป็นเจ้าของสิทธิถือว่าไม่ถูกต้อง ต้องไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เพราะถ้าไม่มี เครื่องหมายการค้าจะไม่สามารถขายแฟรนไชส์ได้ รวมทั้งมีความเชี่ยวชาญหรือ Know How อาจจะเป็นวิธีการในการทำธุรกิจ ที่จะถ่ายทอด ให้แฟรนไชส์ซีในรูปแบบของการทำงานทั้งหมด เช่น ระบบการผลิต ระบบการขาย ระบบการบริหารการตลาด เพื่อที่จะให้รูปแบบวิธีดำเนินธุรกิจ ในทุกๆสาขาให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน การจัดธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์จะต้องมีการเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ กับผู้ที่ต้องการมาลงทุน
ซึ่งเป็นธรรมดาเมื่อเป็นธุรกิจก็ต้องมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินๆ ทองๆ มาเกี่ยวข้อง ในระบบแฟรนไชส์ก็จะมีชื่อเรียกเฉพาะเช่นคำว่า ค่าธรรมเนียม เริ่มต้น Initial Franchise Fee บางที่เรียกว่า ค่าสิทธิ์แรกเข้า หรือ Entrance Fee เป็นค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ของระบบแฟรนไชส์ ที่แฟรนไชส์ซี จะต้องจ่ายให้แก่แฟรนไชส์ซอร์ เป็นค่าสิทธิในการประกอบธุรกิจหรือใช้ตราสินค้าหรือบริการ หรือเครื่องหมายการค้าหนึ่ง ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด โดยแฟรนไชส์ซอร์ ส่วนใหญ่ จะเสนอบริการต่างๆ เพื่อเป็นการตอบแทนกับรายจ่ายนี้เป็นการอำนวยความสะดวกต่อการทำธุรกิจ รวมถึงการอบรม บริการต่างๆ ที่ทางแฟรนไชส์ซอร์จัดให้แก่แฟรนไชส์ซี
สิ่งที่เป็นค่าใช้จ่ายระบบแฟรนไชส์อีกอย่างก็คือ เงินรายงวด/ค่าธรรมเนียมการจัดการ หรือเรียกว่า ค่ารอยัลตี้(Royalty Fee) ซึ่งเป็นค่าสิทธิ ต่อเนื่องบนรายได้ที่แฟรนไชส์ซีได้ จากการดำเนินธุรกิจที่ได้รับสิทธิ เสมือนหนึ่งเป็นภาษีทางธุรกิจ หรือค่าสมาชิกสโมสรที่ทุกคน ที่เป็นสมาชิก ต้องช่วยเหลือ สนับสนุนเพื่อนำไปพัฒนานั่นเอง เงินรายงวดหรือค่าธรรมเนียมการจัดการ เป็นค่าใช้จ่ายระหว่างดำเนินกิจการนี้ โดยปกติแฟรนไชส์ซี จะจ่ายให้แก่ แฟรนไชส์ซอร์ เป็นรายเดือน โดยคิดคำนวณจากสัดส่วนของยอดขายสุทธิในแต่ละเดือน ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้อาจจะถูกกำหนด ให้คงที่หรือผันแปรก็ได้หรืออาจจะเป็นทั้ง 2 แบบรวมกัน แฟรนไชส์ซอร์ อาจแลกเปลี่ยนด้วนการให้บริการต่างๆ เช่น จัดรายการโฆษณา และสนับสนุนการขาย ให้ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งค่า Royalty และค่าการตลาดในธุรกิจแต่ละประเภท มักจะมีความแตกต่างกันไป การตั้งระดับที่เหมาะสมของค่า Royalty นี้จะขึ้นอยู่กับ ความเข้มข้นของการบริการและการสนับสนุน รวมถึงการพัฒนาต่างๆ ซึ่งค่า Royalty จะต้องครอบคลุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ และเพิ่มเติมด้วยผลกำไร ของแฟรนไชส์ซอร์ ยิ่งการบริการต่างๆ มีมากอัตราค่า Royalty จะยิ่งสูงขึ้น
ในธุรกิจอาหาร และร้านค้าปลีกต่างๆ อัตราเปอร์เซ็นต์ของค่า Royalty บนยอดขายมักจะมีค่าประมาณ 4-6 % ขณะที่ธุรกิจประเภท การบริการมักอยู่ที่ 8-10 % ค่าใช้จ่ายข้างต้นเป็นสิ่งที่แตกต่างกับการทำธุรกิจทั่วไป เป็นค่าใช้จ่ายที่จะช่วยลดความเสี่ยง ของการล้มเหลวในธุรกิจ และช่วยให้เถ้าแก่ใหม่ เรียนลัดได้เร็วขึ้นกว่าปกติ เหมือนกับการจ่ายค่าติวเข้มทางธุรกิจ และจ้างพี่เลี้ยงช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ในระบบธุรกิจ แฟรนไชส์อีก เช่น การลงทุนตกแต่งร้าน เพื่อให้มีรูปลักษณ์เหมือนกับของแฟรนไชส์ซอร์ ซึ่งต้นทุนนี้จะเกิดขึ้นในระยะแรก ของการตกลงใจ ที่จะทำแฟรนไชส์ ดังนั้นแฟรนไชส์ซี จำเป็นจะต้องมีเงินทุนที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายล่วงหน้าส่วนนี้ พร้อมทั้งต้องแบ่งสรรเงินทุนส่วนหนึ่ง ให้เพียงพอกับการดำเนินงานธุรกิจตามปกติ เช่น ค่าใช้จ่ายทั่วไป เงินเดือนพนักงาน การสั่งซื้อสินค้าและบริการ เป็นต้น ระบบแฟรนไชส์เริ่มที่เมืองไทยเมื่อใด
ถ้าจะมองธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศไทยที่มีการริเริ่มมากกว่า 20 ปี เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2526 ต้องยอมรับว่าระบบแฟรนไชส์ของคนไทย มีการเติบโตช้า ธุรกิจแรกๆ ที่พยายามผลักดันการขยายงานโดยใช้รูปแบบแฟรนไชส์ เป็นธุรกิจด้านอาหารและร้านค้าแบบมินิมาร์ท แต่ส่วนใหญ่ จะมีปัญหาในเรื่องความเข้าใจที่ถูกต้องของทั้งแฟรนไชส์ซอร์ที่เป็น เจ้าของสิทธิและแฟรนไชส์ซีที่เข้ามาซื้อสิทธิ ที่มักจะพบว่าแฟรนไชส์ซี ทำตัวเป็นผู้ลงทุน ที่เน้นทำธุรกิจแบบซื้อเพื่อการลงทุน ไม่มีการมองถึงการสร้างธุรกิจของตนเอง บางครั้งยังใช้การบริหารแบบเก่า ที่เน้นความเป็น ระบบครอบครัว ทำให้อัตราความล้มเหลวธุรกิจแฟรนไชส์ของไทยในภาพรวมเพิ่มขึ้น
บางครั้งการลงทุนของแฟรนไชส์ซีที่ประสบปัญหาเกิดจากการจัดการของตนเองบ้าง หรือก็เกิดจากระบบงานของบริษัทแม่ ที่เน้นการขยายธุรกิจ ที่มุ่งผลทางการตลาด นอกจากนั้นบางที่แฟรนไชส์ซอร์หลายคนขายแฟรนไชส์โดยไม่ได้มองหาคนที่ทำจริงๆ เป็นการขาย และเข้าใจผิด คิดว่าธุรกิจตรงนั้น สามารถวางรูปแบบของธุรกิจที่จัดจ้างหรือหาคนทำได้ หรือบางครั้งหาแฟรนไชส์ซีที่ทำเองได้ แต่กลับยังล้มเหลวได้ ก็เพราะ บางทีเจ้าของที่ซื้อระบบแฟรนไชส์ไปมาทำงานเอง ก็จริงแต่ตั้งเงินเดือนตัวเองสูงเกินกว่าที่ธุรกิจจะรับได้ ทำให้บริษัทมีภาระเกินความจำเป็น | แฟรนไชส์ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร?
ความเข้าใจในระบบแฟรนไชส์ที่ผิดอีกอย่างคือ การสร้างแฟรนไชส์ที่มองเพียงแค่เม็ดเงินที่เข้ามาหมุนเวียน ไม่ได้มองถึงฐานของระบบธุรกิจจริงๆ ขาดระบบการควบคุมการจัดการที่ดี ขาดแฟรนไชส์ซีที่มีความเข้าใจการดำเนินการในรูปแบบสาขา ซึ่งสาเหตุหลัก ก็มาจากการที่ไม่เข้าใจ ระบบแฟรนไชส์ในแนวที่ถูกต้อง ไม่ได้วิเคราะห์ความต้องการทางการตลาด ความเป็นไปได้ของการสรรหาทำเลของร้านสาขา หรือการศึกษา ผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ แฟรนไชส์ซอร์เร่งกระจายขายแฟรนไชส์ โดยมองผลของการรับสิทธิค่าธรรมเนียม เป็นเหตุให้แฟรนไชส์ยากที่จะ ประสบผลสำเร็จและล้มเหลวต่อเนื่อง
สิ่งที่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนอีกอย่างคือ การสร้างแฟรนไชส์ที่มุ่งเน้นการขายระบบงานแบบ ลดแลก แจกแถม บางครั้งเป็นระบบแบบ ไม่ต้องมี ค่าแรกเข้า ไม่ต้องมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซื้อแล้วได้เลย ผู้ที่เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ คิดว่า จะคิดค่าใช้จ่ายรวมอยู่ในค่าวัตถุดิบแล้ว ลักษณะอีกอย่าง คิดว่าระบบแฟรนไชส์เป็นการให้ใช้ ป้ายที่มีสัญลักษณ์ของตัวเองเท่านั้น ไม่คิดจะบริหารสาขา หรือ ทำในลักษณะเป็น ตัวแทนจำหน่ายเสียมากกว่า ต้องบอกกันไว้ก่อนว่า การทำในลักษณะนั้นก็เหมือนกับสร้างธุรกิจ มาในอีกแบบที่ไม่ใช่ระบบแฟรนไชส์ ไม่มีการวางแผนในการดูแลมาตรฐานอื่นๆ หรือ การบริหารแบบอิสระมากกว่าจะเป็น ระบบสาขาในรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์
การที่สร้างระบบงานแบบแฟรนไชส์นั้น สภาพการบริหารงานจะเป็นเสมือนหนึ่งเป็นการสร้างสาขาของบริษัทเอง ดังนั้นการบริหารจัดการ จะต้องเหมือนเป็นร้านค้าของบริษัทด้วย เพียงแต่การลงทุนเป็นของแฟรนไชส์ซี เท่านั้น ดังนั้นการทำรูปแบบแฟรนไชส์ที่ต้องการดูแลที่ดี จึงต้องมีค่าใช้จ่าย และทีมงานที่เพียงพอรวมถึงผลกำไรของบริษัทแม่ในการดูแลธุรกิจทั้งหมด ถ้าจะต้องมีการทำงานดังกล่าว โดยไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายต่างๆก็มีความเป็นไปได้น้อยมาก ดังนั้นธุรกิจแฟรนไชส์จะต้องประกอบด้วยปัจจัยหลัก 3 ประการคือ - มีผู้ซื้อและผู้ขายแฟรนไชส์ เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่าย ก็คือแฟรนไชส์ซอร์ และแฟรนไชส์ซี ซึ่งมีการตกลงร่วม ในการทำธุรกิจร่วมกัน ทั้งมีสัญญาและไม่มีสัญญา แต่ในอนาคตรูปแบบข้อตกลงจะปรับรูปสู่ระบบการสร้างสัญญาทั้งหมด เพื่อให้ทั้งระบบแฟรนไชส์ในตลาด จะต้องถูกระบบ เพราะไม่เช่นนั้นแฟรนไชส์ซอร์ที่ไม่ดีจะทำลายระบบด้วย - เครื่องหมายการค้า หรือบริการ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีรูปแบบ ระบบธุรกิจ และใช้เครื่องหมายการค้าเดียวกัน ระบบการจัดการธุรกิจ อาจจะเป็นเครื่องมือ หรือสูตรที่คิดค้นขึ้นมาเอง ในการผลิตสินค้า หรือบริการ โดยมีมาตรฐานที่อยู่ในตราสินค้า Brand เดียวกัน - มีการจ่ายค่าตอบแทนอย่างน้อย 2 อย่าง คือ ค่าแรกเข้าในการใช้เครื่องหมายการค้า (Franchise Fee) และค่าตอบแทนผลดำเนินการ (Royalty Fee)
การทำระบบธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์สามารถสร้างระบบการจัดจำหน่ายได้ยืนยาว ในรูปแบบธุรกิจจะสร้างองค์กรการบริหารงานซับซ้อนมากขึ้น ธุรกิจที่ดำเนินการเห็นชัดเจน
ข้อเสียก็คือ การสร้างธุรกิจอย่างนี้ต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงเห็นเป็นแฟชั่น หรือ อยากทำมั่ง เท่านั้น เนื่องจากเกี่ยวข้อง กับบุคคลหลายฝ่ายการเข้ามาในระบบแฟรนไชส์ถ้า ขาดความตั้งใจที่ดีแล้วจะมีโอกาสเจ็บตัวได้ง่าย และ เป็นบาดแผลร้าวลึก ยังไงก็ต้อง ขู่กันไว้ก่อนละครับ.
ที่มา ThaiFranchiseCenter.com
Free TextEditor
Create Date : 27 สิงหาคม 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 27 สิงหาคม 2552 13:37:26 น. |
Counter : 1172 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: เสือปืนไว (Quick_Quick ) 2 กันยายน 2552 20:49:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: Ammania1 10 กันยายน 2552 17:05:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: pjpaphs 5 ตุลาคม 2552 16:11:15 น. |
|
|
|
| |
|
|
แต่ผมมีการลงทุนครั้งเดียวในตลาดForex แล้วได้กำไรทุก ๆ เดือน ๆ ละไม่น้อยกว่า 30% รับรองผลสนใจเชิญที่ grt.k2007@gmail.com