VIDEO
เมื่อ 9 ปีก่อน ลุค แบซง ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวฝรั่งเศส ได้พบกับทฤษฎีข้อหนึ่ง
ที่ว่ามนุษย์เราใช้ศักยภาพสมองของตัวเองเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
แต่เพียงแค่ลองใช้กูเกิลค้นหาอย่างเร็วๆ ก็ทำให้ผู้กำกับฯ คนดังผู้อยู่เบื้องหลัง
หนังคลาสสิกอย่าง La Femma Nikita (ปี 1990) และ The Fifth Element
(ปี 1997) รู้ว่านักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่ามนุษย์ใช้ศักยภาพสมองของเรา
อย่างเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ไอเดียของการปลดล็อกสมองส่วนที่ยังเข้าไม่ถึง
ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เริ่มต้นจากแค่การพลิกหนังสืออ่านดู กลายเป็นความหลงใหล
จนต้องเสาะหาผู้เชี่ยวชาญและถกเถียงกันด้วยหลักการยาวเหยียดเกี่ยวกับพลัง
ของสมอง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็พบสิ่งที่เขามองว่าเป็นการก้าวข้ามครั้งสำคัญ
''เซลล์สมองมีแค่ 2 หนทาง ถ้าไม่สร้างขึ้นใหม่ก็คงอยู่ตลอดไป'' แบซง กล่าว
''ชัดเจน เราเลือกการผลิตขึ้นใหม่ เรามีลูกและส่งต่อมันไป มีหลายสิ่งหลาย
อย่างที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในรูปแบบชีวิตของเรา ผมตื่นเต้นมากและเป็นกังวลเกี่ยวกับ
รูปแบบเหล่านี้ มันน่าสนใจมาก'' เขารู้สึกได้ถึงแรงบันดาลใจที่จะกลายเป็น
หนังสักเรื่อง ''ผมไม่ต้องการทำเป็นสารคดี ผมต้องการทำให้มันเป็นบางสิ่ง
เพื่อความบันเทิง แต่ด้วยความเข้าใจ'' เขายืนยันชัดเจน
นั่นเป็นแนวทางหนึ่งที่จะอธิบาย Lucy หนังแอ็กชั่นเรื่องล่าสุดของ แบซง
และมันเหมือนหนังเรื่องก่อนๆ ของเขา คือการมีตัวละครนำหญิงที่แข็งแกร่ง
เต็มไปด้วยการดวลปืนสนั่นหวั่นไหว หรือไม่ก็การขับรถไล่ล่าสุดระทึก
แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นในสไตล์แบบหนังยุโรปของผู้กำกับฯ คนดังที่มองว่า
หนังฮอลลีวู้ดเพี้ยนไปแล้ว และสำหรับหนังเรื่องนี้ เราจะติดตามตัวละครเอก
ที่มีชื่อเดียวกับชื่อเรื่อง ''ลูซี่'' ชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในไต้หวัน รับบทโดย
สการ์เล็ตต์ โยฮันส์สัน นางเอกสาวสุดเซ็กซี่ เธอถูกแก๊งอาชญากรรมบังคับให้
ลักลอบขนยาเสพติด อย่างไรก็ตาม แทนที่จะให้ ลูซี่ กลืนถุงยาเสพติดสีฟ้าลงไป
ผู้จับกุมเธอกลับเลือกจะผ่าตัดแล้วนำมันฝังไว้ในหน้าท้องของเธอ จากนั้น
ถุงยาเสพติดเกิดรั่ว สารเคมีเริ่มไหลไปตามระบบร่างกายของเธอ ทันใดนั้น
ฮีโร่สาวของเราก็พัฒนากลายเป็นผู้มีไอคิวระดับอัจฉริยะ เป็นคลังสมอง
ติดอาวุธ แถมด้วยทักษะการต่อสู้ระดับแชมเปี้ยนศิลปะป้องกันตัว (อันนี้โม้ไป)
เรายังคงอยู่ในโลกของแบซง เมื่อร่างกายเริ่มต้นพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง
ไปถึงเรื่องของพลังจิต การควบคุมเวลา และต้นกำเนิดของมนุษย์ และคุณ
เริ่มสงสัยว่าคุณโดนมอมยาหรือเปล่า คุณอาจคิดว่าแบซงจะเติมอาหารสำหรับ
ความคิดที่ลึกซึ้ง (แนวคิดเกี่ยวกับการเมืองเรื่องเพศ, การโต้เถียงเกี่ยวกับ
หลักการของเจตจำนงเสรี) ให้กับส่วนที่นุ่มที่สุดของงานที่รุนแรงอย่างมีสไตล์
และผิวเผินของเขาเสมอ แต่ Lucy ใช้ความหลงใหลของเขาที่มีต่อวิวัฒนาการ
ที่เปลี่ยนแปลงความซับซ้อนนี้ ไปสู่บางสิ่งที่ผิดรูปผิดร่างและทะเยอทะยาน
กว่านั้นมาก ความพยายามจะไล่เรียงมนุษยชาติจากยุคก่อนประวัติศาสตร์
จนถึงยุคที่โฮโมเซเปียนมีวิวัฒนาการเต็มขั้นด้วยขีดความสามารถสมอง
100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แบซงเรียกว่า ''เซลล์ปรมัตถ์''
แม้แต่ความลุ้นระทึกอย่างตอนที่หนูย่องเข้าไปใกล้กับดักหนู หรือเสือชีตาห์
สะกดรอยตามกวาง และเทปบันทึกภาพสมัยเก่าของนักมายากลที่ทำให้ผู้ช่วย
ของเขาลอยขึ้นได้ ก็ไม่สามารถเตรียมให้คุณพร้อมสำหรับจุดไคลแมกซ์
ของหนังเรื่องนี้ได้ โดยแบซงถึงกับคุยโวว่า ''ผมจะผลักดันให้ผู้ชมตื่นตัว
แต่ถ้าคุณคาดหวังหนังลุ้นระทึกธรรมดาทั่วไป คุณจะไม่พร้อมรับ
ตอนจบของหนังเรื่องนี้แน่ มันจะดูแปลกประหลาดมาก''
แง่มุมการหลอกล่อของ Lucy คือการทำให้ผู้ชมคิดว่าพวกเขากำลังดูหนังแอ็กชั่น
ทั่วไป จากนั้นก็ดึงพวกเขาเข้าสู่โลกแบบ 2001: A Space Odyssey ซึ่งนั่น
แสดงให้เห็นพัฒนาการของผู้กำกับฯ วัย 50 ปี ซึ่งบอกว่าเขาเริ่มเบื่อกับหนัง
ประเภทยิงถล่มกันลูกเดียวแล้ว ''ผมไม่ใช่คนดูหนังหรือนักสร้างหนังคนเดิม
กับเมื่อ 10 ปีก่อนอีกแล้ว มีหนังแอ็กชั่นหลายเรื่องตอนนี้ที่ทำได้ดี แต่หลัง
ผ่านไป 40 นาที ผมก็เริ่มเบื่อ มันเหมือนกันไปหมด'' นั่นเป็นการเปิดเผยจาก
คนที่รับผิดชอบงานสร้างหนังอย่าง The Transporter และ Taken แต่ก็เป็น
คนที่ช่วยให้ยูนิเวอร์แซลยอมเซ็นสัญญาลงทุนสร้าง Lucy ซึ่งเป็นสิ่งที่
แบซงกล่าวติดตลกว่าเป็น ''ปาฏิหาริย์'' แรกของหนังเรื่องนี้เลย
การได้นักแสดงชั้นแนวหน้าของฮอลลีวู้ดมาเล่นเป็นมนุษย์ที่ฉลาดและ
อันตรายที่สุดในโลก นับเป็นอีกหนึ่งปาฏิหาริย์ แบซงได้พบกับ สการ์เล็ตต์
โยฮันส์สัน เมื่อ 2-3 ปีก่อนหลังจากมีความสนใจในการทำงานร่วมกัน
เริ่มแรกเธอรู้สึกดึงดูดจากตัวบทภาพยนตร์ และพอใจในการนัดพบกันครั้งที่ 2
นักแสดงสาวได้เตรียมคำถามมากมายเกี่ยวกับตัวละครนี้ โดย แบซง เล่าย้อน
ไปถึงช่วงเวลานั้นว่า ''ผมคิดว่ามันเป็นตอนหลังจากที่เราได้ข้อสรุปว่า
โอเค เราจะทำเรื่องนี้กัน ที่เธอเริ่มตระหนักว่าบทนี้มันยากแค่ไหน''
สุดท้ายทั้งสองคนก็ได้วิธีการดีที่สุดที่จะร่างวิวัฒนาการของลูซี่ขึ้นมา โดย
ผู้กำกับฯ เลือดเฟร้นช์อธิบายต่อไปว่า ''เราแปะกระดาษแผ่นใหญ่บนกำแพง
และเขาเริ่มเขียน 10%, 20%, 30% ไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง 100% แล้วจากนั้น
ผมก็เติมเต็มทั้งกระดาษด้วยสิ่งที่เธอทำได้และทำไม่ได้ในแต่ละระดับ มันเกือบ
จะเหมือนการไล่ดูรายการข้าวของต่างๆ ก่อนที่คุณจะไปขึ้นเครื่องบิน ดังนั้นทุก
เช้าเมื่อสการ์เล็ตต์รู้ว่าเราจะถ่ายทำฉากไหนกัน เธอก็จะอ้างอิงจากแผ่นกระดาษ
ใหญ่ที่เราแปะไว้ที่กำแพงนั้น ผมคิดว่าถ้าเราไม่ได้แบบนั้นเธออาจจะสับสนได้''
สำหรับ มอร์แกน ฟรีแมน นักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ ซึ่งรับบทเป็นศาสตราจารย์
ที่ลูซี่เข้ามาปรึกษาเกี่ยวกับความสามารถใหม่ๆ ของเธอที่ผุดออกมาเรื่อยๆ เขาก็
รู้สึกอะไรไม่ต่างกับ โยฮันส์สัน ว่าหนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังแอ็กชั่นเรื่องอื่นๆ
ที่เคยเห็นมา แต่เขายอมรับว่าเขาต้องเกาศีรษะอยู่เหมือนกัน ''คุณเดินออกจากฉาก
ที่ถ่ายทำโดยสงสัยเสมอว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร ผมไม่มีจินตนาการหรืออะไร''
ไม่ใช่แค่ มอร์แกน ที่อยากรู้ว่ามันจะออกมาอย่างไร แบซงบอกว่าทุกคนรวมถึง
ยูนิเวอร์แซล ก็มีคำถาม โดยเฉพาะในส่วนของการเดินทางข้ามเวลาครั้งใหญ่
ที่ทำไม่เสร็จจนกระทั่งช่วงท้ายกระบวนการหลังการผลิต ''ในช่วงแรกเริ่ม การดู
ช่วง 20 นาทีสุดท้ายกับฉากเขียว ไม่มีใครเข้าใจว่ามันจะไปตรงจุดไหน มันเป็น
ความวุ่นวาย ผมน่าเป็นคนเดียวที่รู้สึกว่า เฮ่ อย่าห่วงไปเลย มันจะออกมาดีแน่ๆ''
มีแต่เวลาเท่านั้นจะเป็นตัวบอกว่าไอเดียแหวกแนวของแบซงในการสำรวจ
ศักยภาพสมองของเรา และอาจรวมถึงชีวิต จักรวาล และทุกอย่าง ผ่านทางหนัง
ลุ้นระทึกแบบฮอลลีวู้ด จะเชื่อมโยงกับผู้ชมได้หรือไม่ มองย้อนกลับไปตอนนี้
แบซงรู้สึกเติมเต็มแล้วจากการที่เขาสามารถดึงมันออกมาได้ ไม่ว่าคนอื่นจะคิด
อย่างไร และแม้ไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ทำหนังแบบนี้อีกหรือไม่
หนังฉายบ้านเราปลายเดือนสิงหาคมนี้ โรงภาพยนตร์ใหล้บ้านคุณจ้า
ห่างบ้านนี้ไปนาน
แต่ก็ยังรำลึกถึงเช่นเคยครับ