วิมุตติคือความหลุดพ้น - - หลวงปู่ขาว อนาลโย



จาก //larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/009540.htm
โพสต์โดยคุณศิษย์สุกิมค่ะ



------------------------------



การทำความดี มีการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา เป็นต้น
การทำความชั่ว มีกายทุจริต วจีทุจริต เป็นต้น


ครั้นเราทำความดีจะตามสนองให้เรามีความสุข มีสุคติเป็นที่ไป
ครั้นเราทำความชั่ว ความชั่วจะตามสนองให้เรามีความทุกข์ มีทุคติเป็นที่ไป
พวกเราได้อัตภาพร่างกายมาสมบูรณ์บริบูรณ์
ก็เป็นเพราะ ปุพเพกตปุญญตาบุญ ของเราได้ทำมาแต่ปางก่อน
พวกเราจึงไม่ควรประมาท ควรรีบทำคุณความดี ละความชั่ว
ความชั่วก็ให้เห็นว่ามันพาไปในทางไม่ดี ทำแล้วได้รับความเดือดร้อน ตกนรกทั้งเป็นนั่นแหละ
พวกเรามีการมาทำบุญให้ทาน มีการสดับรับฟังธรรมะ รักษาศีลภาวนา ก็พาให้เกิดความสบายใจ
นั่นแหละบุญ เห็นกันที่นี่แหละ ไม่ต้องลาตายแล้วจึงจะไปสวรรค์แล้ว ใจดีก็เป็นสวรรค์แล้ว
ใจร้ายก็เป็นนรกเดี๋ยวนี้แหละ


เพราะเหตุนี้จงทำให้ใจร่าเริง อย่าไปทำให้เศร้าหมอง ขุ่นมัว
มันจึงจะมีความสบาย จึงจะมีความสุข เพราะฉะนั้นจึงควรทำความดี
อย่าประมาท ให้พากันทำสติสัมปชัญญะ ให้รู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ
คือความรู้ในการกระทำ ก่อนทำอะไรลงไปให้คิดเสียก่อน ว่ามันได้ผลดีหรืออย่างไร
ต่อไปข้างหน้าถ้ารู้ว่ามันไม่ดี ให้ความทุกข์ เราก็ไม่ทำ ประกอบแต่คุณงามความดี
ให้ระลึกรู้ว่าเมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล ไม่ได้ทำเสียเปล่าหรอก
ทำเหตุลงไปแล้วไม่ได้รับผล ไม่มีหรอกในโลกนี้ เหตุดีก็ต้องได้รับผลดี
เหตุชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว มันจะสูญหายไปไม่มี



การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีโทษ มีแต่คุณ คือ จิตไม่ขุ่นมัว จิตผ่องใส จิตเบิกบาน
จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็มีความสุข ไม่มีความทุกข์ จะเข้าสู่สังคมใดๆ ก็องอาจกล้าหาญ
การทำความเพียร เมื่อสมาธิเกิดมีขึ้นแล้ว จะไม่มีความหวั่นไหว
ไม่มีความเกียจคร้านต่อการงาน ทั้งทางโลกทั้งทางธรรม
จากนั้นก็เป็นปัญญาที่จะมาเป็นกำลัง เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้วรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์
จะเรียนทางโลกก็สำเร็จ จะทำทางธรรมก็สำเร็จ


พระพุทธเจ้าท่านจึงสั่งสอนอบรมให้เกิดให้มีขึ้นมาเบื้องต้นตั้งแต่ศีล
ศีลเป็นที่ตั้งของสมาธิ สมาธิเป็นที่ตั้งของปัญญา
ไม่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางมาแห่งวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยกัน


ธรรมทั้งหลายตกอยู่ในไตรลักษณ์ มีทุกขา มีอนิจจา มีอนัตตา ทั้งสามนี้ให้สำนึก พึงรู้

ทุกขังชาติความเกิดมาเป็นทุกข์
อนิจจังมันไม่เที่ยง มันแปรเป็นอื่น
อนัตตาไม่ใช่ตัวตน

บอกมันก็ไม่ฟัง บอกไม่ให้มันแก่มันก็แก่ ฟันบอกไม่ให้มันหลุดมันก็หลุด
หัวบอกไม่ให้มันหงอกมันก็หงอก หนังบอกไม่ให้มันเหี่ยวมันก็เหี่ยว
ผลที่สุดไม่นานก็นอนตายทับแผ่นดิน ส่วนดินก็ไปเป็นดิน ส่วนน้ำก็ไปเป็นน้ำ ส่วนลมก็ไปเป็นลม
เหลือแต่ดวงวิญญาณนี้เท่านั้นนี่ ธาตุ ๔ ให้พิจารณาแยกออก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
ธาตุดินต่างหาก ธาตุน้ำต่างหาก ธาตุลมต่างหาก ธาตุไฟต่างหาก มารวมกันแล้วก็ดับไป
เป็นของไม่แน่นอน เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ทุกข์ขังมีแต่ทุกข์ถ้าใครไปยึดไปถือ



ส่วน อริยสัจ ๔ให้พิจารณาให้รู้ให้เห็นตามเป็นจริง
ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละเสีย นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรทำให้เกิดให้มี

ชาติความเกิด ชราความแก่ พยาธิความเจ็บ มรณะความตาย นี่ทุกขสัจ
ทุกข์มันเกิดมาจากไหน ทุกข์เป็นตัวผล สมุทัยเป็นตัวเหตุ
สมุทัย คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ความใคร่ในรูปที่สวยงามในวัตถุกามต่างๆ มีเงินทองข้าวของเป็นต้น
เรียกว่า กามตัณหา

ความอยากมีอยากเป็น อยากเป็นโน่นเป็นนี่ อยากเป็นเศรษฐีคหบดีเป็นต้น
เรียกว่า ภวตัณหา

ความไม่พอใจของได้มาแล้วหายไปก็เกิดความไม่พอใจ ร่างกายของตนก็ดี ของคนอื่นก็ดี
เมื่อแก่ลงมามีความชำรุดทรุดโทรม ผมหงอก ฟันหัก แก้มตอบ เป็นต้น เลยไม่พอใจ
นี้เรียกว่า วิภวตัณหา


ตัณหาทั้งสามประการนี้ เป็นเหตุให้สัตว์ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร ในภพน้อยภพใหญ่ นับกัปนับกัลป์ไม่ได้
ตัณหามันเกิดขึ้นจากไหน ต้องค้นหาเหตุมัน เหตุมันเกิดจากอายตนะภายใน และอายตนะภายนอกมาสัมผัสกัน
ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส ใจรู้ธรรมารมณ์
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เพียรสำรวม เพียรละ ไม่ให้เกิดความยินดียินร้าย ทำจิตให้เป็นกลาง
วางเฉยต่ออารมณ์ นี่เรียกว่า การดับตัณหา

การทำความเพียร การสำรวม และการทำความดีทุกอย่างเพื่อละตัณหานี้แหละเป็นทางมรรค
เมื่อปัญญาเห็นความเกิดขึ้น ความดับไปของสังขารทั้งหลายทั้งปวง
เห็นแน่ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงธาตุ ๔ มาประชุมกันเข้า
แล้วก็แตกสลายไปอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมา

ฐิติธรรมมีการตั้งขึ้น มีอยู่ แล้วดับไป พิจารณารู้เท่าทันในสิ่งเหล่านี้ ไม่หวั่นไหว
เรียกว่า นิโรธ คือ ผู้วางเฉยต่ออารมณ์ ดังนี้แหละ…..



--------------------------------


คัดจากหนังสือ ธรรมธาร ๒
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรวบรวมพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า








Create Date : 06 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2550 13:24:52 น. 0 comments
Counter : 992 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Hobbit
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]











ตามรอยพระอริยะ
หลวงพ่อชา สุภัทโท
พระโพธิญานเถระแห่งหนองป่าพง





ฺประมวลธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
อ่านออนไลน์ได้ที่นี่ค่ะ

ขอบคุณครูซุปเคมากนะคะที่ส่งให้ (-/l\-)
http://www.supkcenter.com






MusicPlaylist
Music Playlist at MixPod.com






Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
6 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Hobbit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.