|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
หัวใจ ฟ้าคราม และความรัก~
หอบหัวใจหนี.. ยามนี้ไม่มีแม้แต่คนเคยชิดใกล้ มีเพียงเศษเสี้ยว ของหัวใจ ที่ถูกกัดกร่อนไปกับหยดน้ำตา..
หนี..อยากจะหนีไปให้ไกลห่าง แต่ไม่อาจหลุดพ้นความอ้างว้างนี้ได้ เพราะมันแทรกซึมอยู่ทุกอณูของหัวใจ ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าไกล.. ก็เหมือนต้องย่ำเท้าไป..ในรอยเท้าเดิม..
หญิงสาวทอดสายตาที่มีแต่ความว่างเปล่าไปยังเส้นขอบฟ้า..ที่ซึ่งน้ำทะเลสีครามจรดกับผืนฟ้ายามเย็นนั่น..ด้วยอาการเหม่อลอย..
หล่อนพาตัวเองหนีมาถึงที่เมืองชายทะเลอันแสนเงียบสงบแห่งนี้ได้สามวันมาแล้ว หากแต่ดูเหมือนว่า เวลาและระยะทาง มันไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกของหล่อนดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกผิดหวัง..เจ็บปวดรวดร้าว ที่สุมประดังอยู่ในอก ยังคงสานต่อหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง แม้ว่ามันจะถูกปกปิดและซ่อนเร้นอยู่ภายใต้สีหน้าชาเฉยเหมือนไร้ความรู้สึกของหล่อนก็ตามทีเถอะ
"บู..ไปกับแม่เถอะลูก แม่ขอร้อง เราไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่โน่นตามประสาแม่ ๆ ลูก ๆ กันเถอะนะลูกนะ"
เสียงสั่นเครือของมารดาเมื่อสามวันก่อนหน้าที่หล่อนจะหนีมาถึงที่นี่ ยังคิดติดเตือนอยู่ในหูของหล่อน อย่างไม่อาจที่จะลบเลือนหายไปได้ แม้กระทั่งถึงนาทีนี้ก็ตาม..
"คุณอย่าเห็นแก่ตัวนักเลยคุณพนอ ผมขอร้อง..ปล่อยให้ลูกได้ตัดสินใจเองเถอะ ว่าทางไหนจะดีที่สุดสำหรับแก"
"เอ๊ะ..คุณวิชาญ คุณพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง" มารดาของหล่อนขึ้นเสียง "ยายบูน่ะ ลูกสาวฉันนะคะ"
"แกก็เป็นลูกผมเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผมไม่ยอมเด็ดขาดที่จะเห็นคุณบังคับจิตใจแกแบบนี้"
"คุณพูดให้ดีนะคุณวิชาญ ฉันไปบังคับอะไรแก.." แววตาขุ่นเคืองฉายวับขึ้นมาในสายตาอย่างเร้นไม่อยู่ "..อย่าปรักปรำกันให้มากนัก เพราะเท่าที่ผ่านมาคุณก็ร้ายกับฉันมามากพอแล้ว ฉันจะไม่ยอมให้ลูกอยู่กับคนที่..ไม่มีอะไรดีสักอย่าง--อย่างคุณเด็ดขาด"
"แล้วแม่อย่างคุณมีอะไรดีบ้าง วัน ๆ เอาแต่ออกงานสังคม ผลาญเงินเป็นว่าเล่น คุณไม่รู้เลยด้วยซ้ำมั๋ง ว่าผมน่ะ หาเงินมายากลำบากแค่ไหน ถ้าจะให้พูดกันตามส่วนแล้วนะ ให้ลูกอยู่กับผมซะยังดีกว่าที่จะให้แกไปใช้ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ กับคุณที่เมืองนอกโน่นด้วยซ้ำ"
"อยู่กับพ่อที่เอาแต่บ้างาน จนไม่เคยนึกถึงครอบครัวอย่างคุณน่ะเหรอ ฮึ..ไม่มีทางซะล่ะ"
บูชิตาน้ำตาคลอ ได้แต่ก้มหน้านิ่ง ฟังถ้อยคำที่เหมือนสาดโคลนใส่กันของทั้งบิดามารดา ซึ่งเพิ่งจะสิ้นสุดการเป็นสามีภรรยากันทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยโดยสมบูรณ์เมื่อวานนี้..ด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
"ไปอยู่กับแม่เถอะลูก..เชื่อแม่..นะ"
"ตัดสินใจให้ดีนะลูก พ่อเชื่อว่าลูกคงรู้ว่าทางไหนดีที่สุดสำหรับตัวลูกเอง"
"หนู..ขอตัวอยู่คนเดียวสักพัก..ได้มั้ยคะ" บูชิตาพยายามกลืนก้อนสะอื้นไว้ในอก นิ่งเงียบ..และรอ..จนกระทั่งทั้งคู่ยอมออกไปจากห้องด้วยท่าทีลังเลแล้วนั่นแหละ..น้ำตาที่สะกดกลั้นเอาไว้ จึงพร่างพรูลงมาอย่างไม่ขาดสาย..
..ยามนี้หัวใจของหล่อนเจ็บร้าวยิ่งนัก ไม่เคยนึกมาก่อนเลย ว่าครอบครัวที่เคยพร้อมหน้ากันทั้งพ่อแม่ลูก ฐานะ ทรัพย์มบัติ และความมีหน้าตาทางสังคมอย่างหล่อน จะต้องมาปิดฉากลงด้วยสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดเช่นนี้..
..หากเป็นไปได้..บูชิตาก็อยากจะย้อนเวลาคืนไปในครั้งที่หล่อนยังเยาว์วัยยิ่งนัก..เพราะยามนั้น หล่อนมีทั้งพ่อ แม่ และครอบครัวที่อบอุ่นเหลือแสน ถึงแม้จะไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากมายเช่นทุกวันนี้ หากแต่ความสุขนั้นเล่า ดูเหมือนจะมีมากจนเกินพอ..
แล้วยามนี้เกิดอะไรขึ้นเล่า..ความสุขที่เคยมีมาแต่เล็กแต่น้อย เลือนหายไปไหนหนอ หรือว่าถูกอำนาจเงินตราที่เพิ่มพูนขึ้นมามากในระยะหลายปีให้หลังมานี้ บดบังเบียดเบียนไปจนหมดจนสิ้น..
พ่อ..กลายเป็นคนบ้างานที่ไม่มีเวลาจะอยู่กับครอบครัวแม้แต่ในช่วงวันหยุด
แม่..กลายเป็นคนชอบงานสังคม จนไม่มีเวลาดูแลใส่ใจให้ความรักและความอบอุ่นแก่คนในครอบครัวเหมือนก่อน
เมื่อเสาหลักเอน..บ้านก็เอียง..เมื่อบ้านเอียงแล้วไม่มีคนยอมฝืนตัวกลับมาซ่อนแซม มันก็พังพาบไม่เป็นท่า
บูชิตากัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บ..น้ำตาที่เพิ่งจะเหือดแห้งหายไปรื้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกมาถึงตอนนี้
คงมีแต่พรหมลิขิตและสวรรค์เบื้องบนเท่านั้นกระมังที่รู้ และขีดเส้นให้มันเป็นไปเช่นนั้น..
"พี่..พี่เป็นอะไรเหรอ เย็นแล้วทำไมไม่กลับบ้าน"
เสียงเล็ก ๆ ใส ๆ ที่ดังแทรกขึ้นมาในโสตประสาท ดึงบูชิตาให้ตื่นจากภวังค์ หล่อนรีบกระพริบตาถี่ ๆ ไล่ความอ่อนแอทั้งหมดให้กลืนหายลงไปในอก ก่อนจะผินหน้ามามองคนถาม..ซึ่งแอบมายืนเมียงมองอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้..
เด็กหญิงวัยไม่เกินเจ็ดขวบ ยืนทำหน้าสงสัยอยู่ต่อหน้า ผิวที่คล้ำเพราะแดดจัดริมทะเลส่งผลให้ดวงตาใสซื่อคู่นั้นดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก
"บ้านพี่..ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกจ้ะ"
"อ้าว..งั้นพี่ก็เป็นพวกมาเที่ยวล่ะสิ อกหักมารึเปล่า ถ้าอกหัก ห้ามลงมายืนดูทะเลคนเดียวนะ พี่ชายเค้าบอกไว้"
แม้ใจจะเหนื่อยล้า หากแต่บูชิตาก็อดเลิกคิ้วให้กับถ้อยคำของเด็กหญิงที่ดูเหมือนจะช่างพูดช่างจดจำคนนี้ไม่ได้
"ทำไมล่ะจ๊ะ"
"พี่ชายเค้าบอกว่า..เดี๋ยวทะเลกวักมือเรียก ไม่ดีหรอก..เดี๋ยวตกน้ำป๋อมแป๋มเลย"
บูชิตาฝืนยิ้มให้เด็กน้อย "..แล้วหนูล่ะ..บ้านอยู่ไหน ทำไมมาเดินคนเดียวแบบนี้"
"ก็บ้านหนูอยู่ตรงโน้นเองนี่ แล้วตอนเนี้ยะ พี่ชายของหนูก็หุงข้าวอยู่ หนูเบื่อ.." แม่ตัวเล็กใช้เท้าที่คีบรองเท้าแตะ เตะทรายขาวละเอียดเล่นซะทีนึง "..ก็เลยหนีออกมา"
บูชิตามองตามมือของเด็กน้อยที่ชี้ไปยังบังกะโลหลังสุดท้ายของแนวหาดแห่งนี้..แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า คงจะเป็นพี่น้องคู่นี้เองกระมัง..ที่เป็นลูกของเจ้าของบังกะโลเล็ก ๆ ที่หล่อนมาเช่าอยู่ อย่างที่เด็กเก็บเงินเคยบอกหล่อนเอาไว้
"ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องบ้านพัก น้ำไม่ไหล ไฟไม่ติดก็ไปบอกคุณเอกได้นะครับ เค้าอยู่กับคุณหนูเล็กที่บังกะโลหลังริมสุดนู่นแน่ะ"
"....แต่ความจริง พี่ชายหนูเค้าหุงข้าวเก่งน๊า..ทำไข่ฟูอร่อยด้วย..สอนหนังสือก็เก่ง ใจดีที่สุดในโรงเรียนเลย.." เสียงใส ๆ ยังเจื้อยแจ้วต่อ
อ้อ..เป็นครูด้วยหรือ..
บูชิตามองริมฝีปากน้อย ๆ ที่รำพันถึงความดีของพี่ชายไม่หยุดปากแล้วก็อดยิ้มจืด ๆ ออกมาไม่ได้
"หล่อด้วย..." คราวนี้เด็กน้อยยิ้มจนตาหยี พลางเอียงคอมองหล่อน "..พี่ก็สวย ไปเที่ยวบ้านหนูมั้ยคะ"
บูชิตาทรุดตัวลงนั่ง "..ไว้วันหลังเถอะจ้ะ"
"ว้า..หนูไม่อยากเดินกลับบ้านคนเดียวเลย เดี๋ยวพี่ชายดุเอา"
เหตุผลของแม่ตัวเล็ก รับฟังได้..บูชิตาเจือรอยยิ้มเอ็นดูให้กับสีหน้าผิดหวังของเด็กหญิง "..งั้นก็ได้จ้ะ พี่จะเดินไปส่งละกัน"
"ไชโย.." อาการกระโดดโลดเต้น พลางฉุดข้อไม้ข้อมือของเด็กน้อย ทำเอาบูชิตาเกือบจะเซหลุน ๆ ตามไปด้วย
ไม่นานนัก หล่อนก็จูงมือเด็กน้อยมาส่งถึงที่หน้าบ้าน "..ถึงแล้วจ้ะ งั้นพี่กลับก่อนนะ"
"เดี๋ยวสิคะ อยู่แป๊บนึงก่อน"
"อย่าเลยจ้ะ ไว้วันหลังพี่จะมาเที่ยวใหม่"
"ไม่เอาอ่ะ..อยู่ก่อน..นะ นะ นะ นะ..."
เด็กน้อยเริ่มงอแง หาเพื่อนเล่นจนบูชิตาชักเริ่มลำบากใจ ท่าทางจะเหงาเพราะไม่มีเพื่อนวัยเดียวกันสินะ
"อะไรกันยายเล็ก...."
กำลังจะอ้าปากปลอบเด็กน้อยอยู่พอดี จู่ ๆ บูชิตาก็แทบสะดุ้ง เมื่อมีเสียงทุ้มลึกตะโกนถามว่าจากในบ้าน พร้อม ๆ กับร่างสูง ๆ ของใครบางคนที่เดินออกมา..
ใจหายวาบ...บูชิตาแทบจะวิ่งหนีโกยอ้าวกลับที่พักในนาทีนั้น เมื่อเห็นหน้าคมคร้ามที่รกเรื้อไปด้วยหนวดและเคราของเขา..
"หนูพาพี่เค้ามาเที่ยวค่ะ..พี่ชายขา..ข้าวติดผมบนปากแน่ะ" เด็กหญิงรายงานเสียงแจ๋ว พลางบอกรวมไปถึงสิ่งผิดปกติบนใบหน้าพี่ชายตัวเองด้วย
แม้จะใจคอไม่ดี แต่บูชิตาก็อดหลุดหัวเราะกับถ้อยคำของเด็กหญิงไม่ได้
"เค้าเรียกหนวด..หนวด"
หล่อนเห็นเขาปัดออกเร็ว ๆ ด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ แต่ก็จับไม่ได้ว่า ภายใต้หนวดเครานั้น คนพูดจะมีความรู้สึกเช่นไร
"ฉัน..พาแกมาส่งน่ะค่ะ" บูชิตาแข็งใจบอกเขา เตรียมตัวขอตัวกลับทันทีหากเขาพยักหน้ารับรู้
"ชวนพี่สาวกินข้าวบ้านเราได้มั้ยคะพี่ชาย"
บูชิตาเกือบถอยหลังกราวรูด หากแต่ก็พยายามฝืนยิ้มแหย ๆ "อย่าเลยค่ะ รบกวนคุณเปล่า ๆ ไว้วันหลังพี่จะมาใหม่นะจ๊ะ"
"พี่คะ.." เด็กน้อยทำตาปรอย น้ำเสียงออดอ้อน
"เอ่อ..ถ้าไม่รังเกียจ ก็เชิญด้วยละกันครับ ยายเล็กเบื่อหน้าผมจะแย่แล้ว แกคงอยากมีเพื่อนร่วมวงกินข้าวกับคนอื่นบ้าง"
น้ำเสียงอ่อนใจระคนสงสารแม่น้องสาว ทำเอาบูชิตาใจอ่อนยวบ..และนั่นเองกระมัง ที่เป็นจุดเริ่มต้นความเป็นเพื่อน ระหว่างหล่อนและเขา..จนเมื่อเวลาผ่านไปครบอาทิตย์ หล่อนก็เริ่มที่จะรู้จักตัวตนของเขามากขึ้น ทั้งจากเจ้าโฆษกตัวน้อยที่คอยไขความลับเรื่องพี่ชายตัวเองอยู่บ่อย ๆ และจากความเป็นตัวของตัวเองของเขา
หล่อนรู้...ว่าเขาชื่อเอกกวี..เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาได้ไม่นานนัก และยังไม่คิดจะหางานทำในระยะนี้ เนื่องจากคุณพ่อของเขาซึ่งมีกิจการบังกะโลให้เช่าอยู่ที่นี่ ขอร้องให้ช่วยดูกิจการให้สักพักหนึ่ง จนกว่าจะหาคนดูแลคนใหม่มาแทนคนเก่าที่ลาออกไปได้..และยังได้รู้..ว่าเขาใช้เวลาว่างจากการคุมงานที่นี่ ไปสอนหนังสือเด็กชาวเลหลายต่อหลายคน ที่พ่อแม่ไม่มีเงินส่งลูกเรียน โดยใช้เพิงหมาแหงนท้ายหาดไม่ไกลจากบ้านพักของเขานักเป็นที่สอน..เขาทำหน้าที่ครูจนทุกคนแถวนี้เรียกเขาว่าครูได้อย่างเต็มปากเต็มคำ และเรียกเพิงหมาแหงนแห่งนั้นว่าโรงเรียน ทั้ง ๆ ที่หน้าตามันไม่น่าจะเข้าข่ายโรงเรียนเลยสักนิด..
"พี่บูคะ..พี่ชายให้มาชวนไปเดินเที่ยว"
บูชิตายิ้มรับคำชวนของเด็กน้อย ซึ่งแวะเวียนมาชวนไปทำนู่นทำนี่อยู่บ่อย ๆ ระยะหลังมานี่ หล่อนคิดถึงเรื่องปัญหาครอบครัวน้อยลง อยู่กับตัวเองมากขึ้น ยอมรับความจริงที่เป็นอยู่ได้มากขึ้น อาจยกให้เป็นความดีของพี่ชายน้องสาวคู่นี้ได้กระมัง ที่ทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้
"แล้ววันนี้จะไปแถวไหนกันล่ะจ๊ะ"
"ไปตรงชายหาดด้านโน้นค่ะ แถวโน้นมีเปลือกหอยเยอะแยะเลยล่ะ พี่ชายบอกว่าทะเลมันหอบมาฝากน้องเล็กอ่ะ" เด็กน้อยยิ้มอวดฟันซี่ขาว..ดังนั้น..ในอีกห้านาทีถัดมา บูชิตาก็มาเดินเคียงข้างผู้ชายตัวสูง โดยมีแม่หนูน้อยวิ่งนำหน้าไปอย่างเจนทางจนได้
"ทะเลที่นี่สวยนะคะ.." บูชิตาเอ่ยลอย ๆ ให้คนที่เดินใกล้ ๆ ได้ยิน "..สวยและสงบกว่าทุกที่ที่ฉันเคยไปมา"
".....แล้ว...คุณจะกลับเมื่อไหร่" จู่ ๆ เขาก็ถามคำถามที่หล่อนไม่อยากได้ยินขึ้นมาซะอย่างนั้น คำถาม..ที่ทำเอาบูชิตาต้องนิ่งอึ้ง เพื่อรวบรวมใจให้เข้มแข็งนานกว่าครู่
"กลับไปเร็ว..ก็ยิ่งต้องเจอกับความจริงที่มันโหดร้ายเร็วขึ้น คุณคิดว่าฉันควรจะกลับไปเร็ว ๆ นี้มั้ยล่ะคะ"
"คุณหนีอะไรมาล่ะ คุณบู"
".........ไม่สำคัญหรอกค่ะ ว่าหนีอะไรมา แต่..มันสำคัญที่ว่าฉันจะหนีมันได้นานเท่าไหร่เท่านั้นเอง..." บูชิตาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พยายามปรับสีหน้าให้สดใสแม้ว่าในหัวใจจะหม่นหมอง..รู้ทั้งรู้ ว่าหนีอย่างไรก็คงไม่พ้น แต่นาทีนี้ หล่อนขอซื้อเวลาเพื่อทำให้ใจมันเข้มแข็งขึ้นกว่านี้บ้างจะเป็นไร
คงเพราะรู้..ว่าหล่อนไม่อยากตอบคำถาม..นับจากวันนั้น เขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ให้หล่อนได้ยินอีกเลย ความสุขเล็ก ๆ ที่พยายามก่อตัวขึ้นมาบนความว่างเปล่า เหมือนจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บูชิตาสัมผัสได้ในเวลานี้
"...พี่บูคะ พี่ชายเค้าบอกว่าเค้าต้องโกนหนวดแล้วล่ะ"
น้องเล็กรายงานให้หล่อนฟังเมื่อหล่อนได้มาเป็นแขกทานข้าวมื้อเย็นอีกมื้อหนึ่งในวันนี้..
"อ้าว..ทำไมล่ะคะ"หล่อนหันไปมองหน้าชายหนุ่ม
"คือ..คุณพ่อผมท่านจะลงมาดูงานที่นี่น่ะฮะ ผมก็เลยต้องโกนซะก่อนที่ท่านจะเห็น......" เขาหัวเราะเบา ๆ เหมือนยอมรับความพ่ายแพ้ต่อทัศนคติและความชอบของบิดาโดยสิ้นเชิง
"ให้ฉันช่วยมั้ยล่ะ" อะไรไม่รู้ทำให้บูชิตานึกสนุกพูดออกไป แต่เมื่อเขาไม่ปฏิเสธ กระบวนการกำจัดหนวดเคราของชายหนุ่มจึงเริ่มต้นขึ้นเมื่อมื้อเย็นมื้อนั้นผ่านไปไม่นานนัก
บูชิตาพยายามระวังที่สุด เมื่อลงมือจรดใบมีดที่คางเขาเป็นครั้งแรก..
"โอ๊ยยย..."
ได้แผลซะจนได้..บูชิตาหลับตาปี๋ เมื่อเห็นชายหนุ่มอุทานพร้อม ๆ กับปาดนิ้วไปบนเลือดที่ซึมออกมาจากแผลเหนือริมฝีปาก
"อุ๊ย..ขอโทษค่ะ เจ็บมากมั้ยเนี่ย"
บูชิตารีบหาผ้าใกล้ ๆ มือมาซับเลือดให้ หากแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นถาม..สายตาคมเข้มที่มีกระแสบางอย่างเจืออยู่ก็ทำเอาหล่อนเกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
"เอ่อ..ฉันโกนไม่เก่งน่ะค่ะ คุณทำเองดีกว่า"
หล่อนเสสายตาหลบเขา พลางวางมีดโกนไว้ตรงหน้า แสร้งหยิบโน่นหยิบนี่รอจนกระทั่งเขาหยิบเครื่องมือหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วนั่นแหละ ถึงหยุดอการลุกลี้ลุกลนของตนไว้ได้
บ้าจริง..
บูชิตาพยายามหายใจเข้าลึก ๆ นี่หล่อนเป็นอะไรไปเนี่ย..
"ไชโย..พี่ชายหล่อเหมือนเก่าแล้ว" เสียงน้องเล็กดังขึ้น เมื่อร่างสูง ๆ ของเขาเดินกลับออกมาจากห้องน้ำอีกหน
บูชิตาเงยหน้าขึ้นมองเขา..หัวใจถึงแก่อาการไหววูบขึ้นมาอีกครั้งเมื่อสบสายตาเข้ากับเจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว..
"คงจำผมได้นะครับ เพราะแผลที่คุณฝากไว้เป็นเครื่องหมายืนยันการค้าได้แน่ ว่าผมคือเอกกวีตัวจริง.."
ชายหนุ่มแสร้งทำสีหน้าจริงจังเหมือนเพื่อนคนเดิมที่หล่อนเคยรู้จัก เล่นเอาบูชิตาต้องหลุดปากหัวเราะคิกออกมาได้ในที่สุด
"ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ค่ะ คิดว่า..ถ้าฝากไว้อีกสักแผลคงจะจำได้ดีกว่านี้.."
หล่อนเย้าเขาตอบ เล่นเอาหน้าคมคร้ามนั้นจุดยิ้มกว้าง ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยอีกรอบหนึ่ง
"ฉันคงต้องกลับบ้านพักแล้วล่ะ ชักเริ่มมืดแล้ว"
"งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง"
"หนูไปด้วย" แม่ต้องเล็กแทรกขึ้นมาอีกคน แต่ผู้เป็นพี่ชายกลับยื่นมือไปโคลงหัวแม่น้องสาวเบา ๆ พลางส่ายหน้า
"อย่าไปเลย มืดแล้ว พี่ไปคนเดียวก็พอ พรุ่งนี้ค่อยชวนพี่บูไปเดินเล่นกันใหม่"
เด็กหญิงทำหน้าคว่ำ บอกความไม่ชอบใจ แต่อีกเดี๋ยวก็พยักหน้ารับ
"งั้นพรุ่งนี้ เอาเรือออกไปเที่ยวเกาะเหนือกันได้มั้ยคะ"
"ได้จ้า..." เอกกวีรับปาก ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำบูชิตาออกมาจากบ้านพัก
"แกน่ารักนะคะ.." หล่อนชวนเขาคุย พลางสูดเอากลิ่นอายของท้องทะเลยามค่ำคืนเข้าไปในปอดลึก ๆ ความรู้สึกบางอย่างสะท้อนขึ้นมาในอก "...ฉันดีใจนะที่ได้มาที่นี่ ได้รู้จักคุณ คุณรู้มั้ย..บางทีฉันก็อยากจะหยุดเวลามันไว้อย่างนี้ ถึงแม้มันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม"
"ไม่มีอะไรในโลกที่จะหยุดนิ่งได้ตลอดไปหรอกครับ ทุกสิ่งเมื่อมีเกิด ก็มีดับ มีที่มาก็ต้องมีที่ไป..บางสิ่งบางอย่าง เมื่อมันผ่านเข้ามาในชีวิตคนเราแล้ว..เราก็ต้องยอมให้มันผ่านไป ถ้าเรามัวแต่ยื้อยุดฉุดมันเอาไว้ ด้วยการหันหน้าหนี มันก็จะเป็นเหมือนเงาคอยตามเราไปตลอดชีวิต..ไม่มีวันที่เราจะผ่านพ้นมันไปได้"
"คุณกำลังจะบอกอะไรฉันรึเปล่า"
"ก็แล้วคุณกำลังหนีอะไรล่ะคุณบู..มันมีประโยชน์รึเปล่าที่จะหนีแล้วปล่อยให้มันเกาะหัวใจคุณต่อไปเรื่อย ๆ หรือคุณจะกลับไปสู้ เพื่อจะได้หลุดพ้นจากมันได้สักที"
บูชิตาพยายามที่จะสานสบสายตาของเขาในความมืดสลัว แต่เขากลับผินหน้าเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลอันเงียบสงบ
"ฉัน..กลัวที่จะเผชิญหน้า กลัวความจริง หากเวลานี้เป็นแค่เพียงความฝัน ฉันก็คงกลัวที่จะตื่น.." หล่อนบอกความรู้สึกลึก ๆ ออกไป ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและขาดหาย
"ไม่มีใครใช้ชีวิตอยู่ในความฝันได้ตลอดไปหรอกครับ...ผมอยากให้คุณตื่นเสียที ตื่นขึ้นมาสู้กับสิ่งที่มันกำลังท้าทายทำร้ายคุณอยู่..และหากคุณกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพังแล้วล่ะก็........ผมจะเป็นกำลังใจในโลกแห่งความจริงให้คุณเอง.."
ถ้อยคำเรียบง่าย..หากแฝงไว้ด้วยความจริงใจเต็มเปี่ยม..เจ้าของร่างสูง ๆ นั้นหันมาสบตาหล่อนอย่างช้า ๆ...และแม้จะอยู่ในความมืดสลัว..ความรู้สึกของเขาก็ฉายชัดและก่อเกื้อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจของบูชิตาอย่างมากมายนัก...
..........
..................................
เสียงหวูดรถไฟสายใต้ที่มุ่งขึ้นเหนือดังก้องขึ้น..เมื่อเจ้ารถรางเหล็กเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชลา หญิงสาวนั่งอิงศรีษะเข้ากับขอบหน้าต่าง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เหมือนดั่งจะกอบเก็บกำลังใจและความทรงจำทั้งหมดที่มีเขาแทรกอยู่ทุกบททุกตอนไว้ให้ดีที่สุด..ลมเย็น ๆ ที่พัดพาเอากลิ่นอายของเมืองชายทะเลแห่งนี้แผ่วพริ้ว โบกมือลาเข้ามาทางหน้าต่าง..เหมือนดังจะย้ำเตือนให้หล่อนรีบกลับมาหา..
กลับมา เพื่อค้นคุณค่าของคำว่า.."รัก" ที่นี่..อีกสักครั้ง..........
............................
ตีพิมพ์ในนิตยสารวัยน่ารัก ฉบับที่ 66
........................
เอามาแบ่งปันกันอ่านนะคะ เขียนไว้นานแล้วอ่ะ
ไปโม่งานต่อดีกว่านิ
i'm not superman
Create Date : 21 ธันวาคม 2550 |
Last Update : 21 ธันวาคม 2550 16:18:18 น. |
|
0 comments
|
Counter : 541 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]
|
ผู้ใหญ่ไซส์ S ที่พยายามจะทำให้ชีวิตมีความสุขไซส์ L เสมอ~
...................
สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๘ ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน Blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และโดยอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ใดฝ่าฝืน จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
..................................
ถ้าอยากมีความสุขหนึ่งปี ก็แค่ถูกหวย แต่ถ้าอยากมีความสุขตลอดชีวิต ก็จงรักงานที่ทำ~
|
|
|
|
|
|
|