หลวงปู่เจียม ท่านให้พร ** พ่อแม่ ท่านให้ชีวิต
 
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
22 กรกฏาคม 2552
 
 

ครูบัวไข ระลึกชาติ ชีวิตหลังความตาย

ถูกลอบยิงข้างหลังเสียชีวิต เด็กชายชนัย ชูมาลัยวงศ์ ผู้ระลึกชาติเก่าได้ ครูบัวไข หล่อนาค ถูกลอบยิงข้างหลังเสียชีวิต กลับมาเกิดใหม่ ระลึกชาติได้ เขาคือ “ เด็กชายชนัย ชูมาลัยวงศ์ ”





หนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับที่ ๗๔๒๓ วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษพาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้ลงข่าวว่า ได้พบเด็กระลึกชาติรายใหม่ อายุเพียง ๓ ขวบ หนียายออกจากบ้านไปหาครอบครัวเมื่อชาติก่อน เผยความหลังชาติก่อน เป็นครูถูกคนร้ายยิงตาย มีลูก ๔ คน เมียเก่าและลูกได้ยินเรื่องราวถึงกับตะลึง เพราะรู้เรื่องชาติก่อนได้ถูกต้อง เพื่อนเก่าเป็นตำรวจก็อัศจรรย์ใจ เมื่อเด็ก ๓ ขวบทักทายว่าจำได้ไหม แล้วเล่าความหลังให้ฟัง

เด็กระลึกชาติรายใหม่ที่จำความชาติปางก่อนได้ถูกต้องคือ เด็กชายชนัย ชูมาลัยวงศ์ เดี๋ยวนี้อายุ ๑๐ ขวบ ( พ. ศ. ๒๕๒๑ ) บุตรนายเบิ้ม หรือคำรณ นางสมคิด จังหวัดพิจิตร นายเบิ้มผู้เป็นพ่อมีอาชีีพเป็นช่างตัดผม แม่ตัดเย็บเสื้อผ้า ปัจจุบันได้ย้ายมาอยู่กรุงเทพ แต่เด็กชายชนัย อาศัยอยู่กับยาย ชื่อนางพรม เบ็ญทอง อายุ ๖๗ ปี ที่จังหวัดพิจิตร
นางพรม เบ็ญทอง ผู้เป็นยาย ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐว่า มารู้ว่า เด็กชายระลึกชาติได้ ก็เพราะ เด็กชายชนัย ได้เล่าเรื่องแต่ชาติปางก่อนให้ยายฟังว่า เมื่อชาติก่อนตัวเองเป็นครูชื่อ “ บัวไข หล่อนาค ” สอนประจำอยู่ที่โรงเรียนท่าบ่อตำบลบางหว้า อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร จากนั้นเด็กชายชนัย ยังได้เล่าว่า แต่เดิมตนมีพ่อชื่อนายเขียน แม่ชื่อ นางยวง แล้วยังมีภรรยาชื่อนางสวน มีลูกด้วยกันกับนางสวน ๕ คน ด้วยกัน เป็นหญิงสาม ชายสอง คนโตชื่อ นางสาว บรรจง หรือติ๋ม คนที่สองชื่อ นางสาวเบญจา หรือต๋อย ทั้งสองคนนี้เป็นฝาแฝด คนที่สามชื่อนายณรงค์ คนที่สี่ชื่อ นายบุญเทียม และคนสุดท้องชื่อ นางสาวน้ำค้าง

เด็กชายชนัย ชูมาลัยวงศ์ หรือ นายบัวไข หล่อนาค เมื่อชาติก่อนได้เล่าเหตุการณ์ที่ตนต้องตายว่า ขณะนั้นภรรยาในชาติก่อน คือนางสวนได้ตั้งท้องลูกสาวคนเล็ก คือ นางสาวน้ำค้างได้ ๓ เดือน นายบัวไข ได้ขี่จักรยานจะไปสอนหนังสือที่โรงเรียน ได้ถูกคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นใครลอบยิงข้างหลัง ซึ่งเป็นแผลเป็นรอยกระสุนยังติดตัวมาถึงชาตินี้ โดยถูกลอบยิงจากท้ายทอยละลุหน้าผาก

ฝ่ายผู้เป็นยายคือนางพรม เมื่อรับฟังเรื่องราวจากหลายชายวัย ๓ ขวบ ในตอนแรกก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง เด็กชายชนัย ได้พยายามหนียายออกจากบ้านขึ้นรถประจำทางจากตำบลทับคล้อ อำเภอตะพานหิน ไปที่อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร เพื่อเยี่ยมครอบครัวของนางสวน ภรรยาในชาติก่อน นางพรมจึงต้องตามไปด้วย เมื่อพบกันและเล่าความหลังให้ฟัง ก็ปรากฏว่าฝ่ายครอบครัวของนางสวนเชื่อสนิทว่า เด็กชายชนัย คือ นายบัวไขในชาติก่อน นอกจากนี้เด็กชายชนัยยังได้สอบถามนางสวนว่า ของมีค่าที่ให้เก็บไว้ในชาติก่อนนั้น ยังอยู่ดีหรือ ซึ่งเด็กชายชนัย หมายถึงปืนสองกระบอกพร้อมกับบอกที่ซ่อนของ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวเมื่อได้รับคำบอกเล่าถึงกับตะลึง


ผู้สื่อข่าวไทยรัฐรายงานว่า เมื่อเด็กชายชนัยได้พบหน้ากับ จ.ส.ต. สนาน เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่ง สภ. อ. เมืองพิจิตร ซึ่งเดิม จ.ส.ต. สนาน เป็นเพื่อนสนิทของนายบัวไข ทันทีที่พบหน้าเด็กชายชนัยก็เอ่ยปากทักว่า
“ เฮ้ย หนานยังอยู่สบายดีหรือ จำเราได้ไหม เราบัวไข เพื่อนเก่าของนายไงล่า ”
จ.ส.ต สนานถึงกับตะลึงงันไปเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าเด็กอายุ ๓ ขวบ จะเป็นเพื่อนของตน เมื่อสอบถามเรื่องความหลังซึ่งกันและกัน เด็กชายชนัย ก็เล่าความหลังได้ถูกต้องทุกอย่าง และเมื่อถามถึงอาหารการกินที่ชอบเด็กชายชนัย ก็บอกว่า “ ชอบไข่ดาวกับข้าวหลาม ”
ซึ่งทุกคนยอมรับว่า นายบัวไขเมื่อชาติก่อนชอบอาหารเช่นนั้นจริง ๆ และแม้แต่ในชาตินี้ เด็กชายชนัย ก็ยังชอบอาหารชนิดนี้ นอกจากนี้ จ.ส.ต. สนาน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของนางสวนทุกคน รวมทั้งลูก ๆ ทุกคนของนายบัวไขในชาติก่อน ต่างก็ยอมรับว่า เด็กชายชนัยผู้นี้คือพ่อของตนในชาติก่อนจริง และปััจจุบัน เด็กชายชนัย ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวนี้โดยสนิทสนม

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ถามเด็กชายชนัย ซึ่งปัจจุบันอายุ ๑๐ ขวบ ในทำนองกระเซ้าว่า
“ ถ้ามีคนมาสู่ขอนางสวนภรรยาเก่าในชาติก่อนของเด็กชายชนัยจะว่ายังไง ”
เด็กชายชนัยไม่ตอบ แต่แสดงอาการหึงหวงเห็นได้ชัดและไม่พอใจต่อคำถามนี้มาก แต่ก็ได้หัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกไว้

เรื่องที่เล่ามาข้างบนนี้ ถึงแม้ว่าข้าพจ้ามิได้มีโอกาสไปสวบสวนพบปะกับครอบครัวของ เด็กชายชนัย ชูมาลัยวงศ์ ทั้งในปัจจุบันและในชาติก่อนด้วยคนเองก็ดี แต่บังเอิญมีสมาชิกกฏแห่งกรรม คือคุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ผู้จัดการธนาสหธนาคารจำกัด และคุณสงบ แจ่มพัฒน์ หรือ “ อนามิส ” แห่งหนังสือรายสัปดาห์ ” บางกอก ” ทั้งสองท่านนี้ได้เดินทางไปจังหวัดพิจิตรด้วยรถยนต์ส่วนตัวของคุณประสิทธิ์ พร้อมด้วยคนขับ เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้พบนางพรม เบ็ญทอง ยายและเด็กชายชนัย พบพ่อแม่นายเขียน และนางยวง และภรรยา - นางสวนและลูก ๆ ในชาติก่อน ได้สัมภาษณ์อย่างละเอียดลออได้ความตรงกัน และยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมยืนยันอีกหลายอย่าง แสดงว่า เด็กชายชนัย ชูมาลัยวงศ์ นั้นเป็นครูบัวไข หล่อนาค มาเกิดใหม่แน่นอน

ต่อไปนี้จะขอนำข้อความที่น่าสนใจ ที่คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ได้สัมภาษณ์ ยาย, พ่อ, แม่ และภรรยาในชาติก่อน เด็กชายชนัยเป็นผู้บอกนำทาง เมื่อไปทางถนนใหญ่แล้ว ก็ชี้ให้เข้าตรอกซอยจากถนนใหญ่อีกไกลกว่าจะถึงบ้านพ่อแม่เขา เมื่อไปถึงเขาก็เดินนำเข้าไปในบ้านซึ่งมีคนนั่งอยู่หลายคน ทั้งคนอายุมากและเด็ก ๆ เด็กชายชนัย ก็ตรงเข้าไปกราบชายอายุมากคนหนึ่งและหญิงอีกคนหนึ่งแล้ว ก็ร้องไห้ พูดว่า
“ พ่อจ๋า แม่จ๋า ลูกมาหา ลูกคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่มาก ”


ชายหญิงมีอายุทั้งสองที่เด็กอ้างว่าเป็นพ่อแม่ในชาติก่อนก็ตะลึงงงและสงสัย เพราะจู่ ๆ ไม่ทันรู้ตัวก็มีเด็กเข้ามากราบแล้วร้อวไห้เรียก พ่อ แม่ ทั้งที่ไม่เคยเห็นเด็กและยายมาก่อน ส่วนยายเองก็ตื่นเต้น เพราะว่าที่นั้นมีผู้ใหญ่อยู่บนเรือนหลายคน ทำไมเด็กอายุแค่ ( ๓ ขวบ ) จึงไปเจาะจงว่า คนนั้นคนนี้เป็นพ่อเป็นแม่มาแต่ชาติก่อน เด็กบอกว่าเป็นครูบัวไขมาเกิด ผู้ใหญ่ทั้งสองยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นครูบัวไขลูกของตัวมาเกิด แต่เมื่อเห็น แผลเป็น เหมือนครูบัวไขลูกชายที่ถูกลอบยิงจากท้ายทอยทะลุหน้าผาก ก็ชักจะมีน้ำหนักพอที่จะเชื่อ

ตอนที่ยายได้พาเด็กชายชนัยไปพบพ่อแม่อีกครั้งหนึ่งตามนัด มีผู้คนทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่นั่งคอยอยู่ในบ้ายก่อนแล้วเพื่อเป็นพยานช่วยกันพิสูจน์เรื่องครูบัวไข กลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่ ญาติผู้หนึ่งได้ถามขึ้นว่า

“ เราอ้างว่าเป็นครูบัวไขน่ะ จำเมียของเราได้ไหมว่า ชื่ออะไร ”

เด็กชายชนัยก็หันไปมองเมียแล้วตอบทันทีว่า “ ชื่อสวนนะซิ ”

เสียงพึมพำพึงก็เกิดขึ้น ต่างก็แปลกใจที่เด็กบอกได้ถูกจต้อง ต่อมาแม่เขาก็นำของใช้ของธรรมดาหลายอย่างปนกันมาให้ดูแล้วบอกว่า

“ อะไรเป็นของลูกเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ยังจำได้ไหม หยิบให้แม่ดูซิ ”

เด็กก็หยิบดูแล้วว่า “ นี่เป็นของผม นี่ไม่ใช่ของผม โน่นเป็นของผม ”

เสร็จแล้วเขาก็จูงมือแม่เขาเดินดูในบ้าน แล้วก็ชี้ว่า

“ อ้ายตรงนี้ของ ๆ ผมตั้งอยู่ที่นี่มันหายไปไหน ตรงโน้นของผมตั้งอยู่หายไปไหน หนังสือของผมอยู่ในตู้มันหายไปไหนหมด ”

เมียในชาติก่อนเขาก็ตอบว่า “ เมื่อเจ้าของไม่อยู่ฉันก็ให้เขาไปซิ จะได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นต่อไป ”

เมื่อเด็กชายชนัยได้ยินเช่นนั้นก็พูดว่า “ เมื่อให้ไปแล้วก็แล้วไปนะ ”

ต่อมาแม่ก็ถามขึ้นมาอีกว่า “ แล้วอะไรของลูกที่นึกออกว่ายังมีอะไรบ้าง ”

เด็กบอกว่า “ พระของผมยังมีอยู่พวงหนึ่ง ”

แม่ถามว่า “ พระของลูกมีอยู่กี่องค์ ”

เด็กบอกว่า “ พระของผมมีอยู่ ๓ องค์ เป็นพระเครื่องนางพญา ”

คราวนี้พวกที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนแอบกระซิบถามเมียเมื่อชาติก่อน ว่าจริงไหมที่เขาพูด เมียเขาก็บอกว่าเป็นความจริงทุกอย่าง

คราวนี้มีผู้ถามว่า “ เมื่อที่ครูจะถูกยิงตายวันนั้น ครูทำอะไรบ้างพอจะนึกออกไหม ”

เด็กชายชนัย บอกว่า

“ เช้าขึ้นวันนั้นผมซักผ้าก่อน แล้วผมก็ถอดพระที่ห้อยคอไว้ที่โต้ะ แล้วก็อาบน้ำ เสร็จแล้วก็มากินข้าวแล้วแต่งตัว ถีบจักรยานไปโรงเรียน วันนั้นผมลืมพระไว้ ไม่ได้ห้อยคอติดตัวไปด้วย ปืนสั้นที่เคยพกก็ไม่ได้พกไป วันที่ผมถูกยิงไม่ได้เอาติดตัวไปเลย ถ้าผมไม่ลืมเอาไปด้วย เมื่อถูกยิงตายก็คงไม่มีอะไรเหลือ ”

พ่อในชาติก่อนของเด็กได้ถามขึ้นว่า “ ปืนอะไรที่ลูกมี ”

เด็กก็ตอบว่า “ ก็ปืนสั้น ปืนยาวอย่างละกระบอก ”

พ่อแม่และเมียต่างก็รับว่าจริง ตอนนั้นทั้งพ่อแม่และเมียและญาติต่างก็เช็ดน้ำตา บางคนก็ก้มหน้าสะอึกสะอื้น

ญาติที่สนใจถามว่า

“ ที่หนูอ้างว่าเป็นครูบัวไขถูกยิงตายกลับชาติมาเกิดจะรู้เรื่องวันที่ถูกยิง ได้ดี ถูกยิงเวลาเช้าไปโรงเรียน หรือบ่ายกลับจากโรงเรียน ”

เด็กตอบว่า “ เขายิงเวลาที่ฉันถีบจักรยานที่จะไปโรงเรียน ”

แล้วมีผู้ถามต่อไปว่า “ เมื่อครูตายแล้วเขาเอาศพครูไปเผาที่วัดไหน ”

เด็กตอบว่า “ เขาเอาไปเผาที่วัดตะพานหินนะซิ ”

ต่อจากนั้นแม่เขาก็หยิบเข็มขัดที่้เป็นช่องสำหรับใส่ปืนคาดเอว ๕ – ๖ สาย ทำเหมือนจะเสี่ยงทายแล้วพูดว่า

“ เข็มขัดกระสุนเหล่านี้ หากลูกจำได้ว่าอันไหนเป็นของลูกก็หยิบขึ้นมา ถ้าพยิบถูกไม่ถูกจำไม่ได้ก็เป็นอันว่าไม่ใช่ลูกของแม่ ”

ตอนนั้นยายของเด็กรู้สึกตื่นเต้นใจคอไม่สบาย เพราะกลัวว่าหลานชายจะหยิบผิดเพราะจำไม่ได้ และกลัวเขาจะหาว่ายายพาหลานมาหลอกลวงเขา ทำให้คิดวุ่นวาย ใจเต้น คอยจ้องตาดูว่าเด็กจะหยิบถูกหรือผิด เป็นการตัดสินครั้งใหญ่ แต่เมื่อเด็กมองดูแล้วก็ไม่ชักช้าเสียเวลา หยิบเข็มขัดสายหนึ่งยังมีลูกกระสุนปืนเสียบอยู่ ๓ ลูก ออกมาชูขึ้นบอกว่า

“ แม่ เข็มขัดลูกปืนเส้นนี้เป็นของฉัน ”

เมื่อผู้เป็นแม่ในชาติก่อนเห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้โฮ และพวกญาติที่นั้นก็ร้องไห้ตามไปด้วยหลายคน ส่วนยายที่ใจกำลังเต้นตุกตักอยู่นั้นก็ค่อยโล่งอกหายใจทั่วท้อง เมื่อพ่อแม่เขารับว่าถูกต้องแล้ว เป็นครูบัวไขมาเกิดแน่ แล้วแม่เขาก็คร่ำครวญว่า

“ พุทโธ่เอ่ย ลูกของแม่ ญาติของเราก็มีถมเถไป ทำไมลูกจึงไม่มาเกิดในสายญาติของเรานะลูก ทำไมต้องไปเกิดทางไกลอย่างนี้ ”

เด็กชายชนัย ได้ตอบว่า “ เราจะเลือกเกิดไม่ได้หรอกแม่ แล้วแต่ผู้จัดการบันดาลให้เราเกิด เราขัดคำสั่งเขาไม่ได้ เขาสั่งให้เราเกิดที่ไหน เราก็ต้องเกิดที่นั้น ถ้าหลบไปเกิดที่อื่น ไม่ช้าเขาก็เอาตัวกลับไปอีก เราก็ต้องรับโทษ ”

ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงเมียในชาติก่อนเขาพูดอย่างเยาะ ๆ ว่า “ เกิดมาชาตินี้จะเจ้าชู้มีเมียมากอีกไหม ”

เด็กได้ตอบว่า “ ฉันเข็ดแล้วไม่เอาอีกแล้ว” แล้วเล่าให้เมียฟังว่า

“ เขาบังคับโทษให้ฉันแก้ผ้าหมดเหลือแต่ตัวเปล่าล่อนจ้อน เขาพาไปที่สระบัวกว้างใหญ่ เขาให้ฉันเดินลัดบุกฝ่าป่าดงบัวเหมือนทำโทษที่ฉันเจ้าชู้มีเมียมาก ฉันได้รับความลำบากมาก กว่าจะเดินฝ่าดงบัวออกมาได้ เมื่อพ้นแล้วเขาให้ใส่เสื้อผ้า มีคนมาประกบคุมตัวอยู่สองข้าง พาฉันเดินมาพักหนึ่งแล้ว เขาก็บอกว่า ให้ไปเกิดได้ เขาส่งฉันได้แค่นี้ ฉันได้มาเกิดตามที่เขาสั่ง ที่เขาเกณฑ์ให้เกิด แล้วฉันก็หมดความรู้สึก ”

อีกตอนหนึ่งที่นับว่าสำคัญเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ คือการที่คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช ได้สัมภาษณ์ เด็กชายชนัย ซึ่งข้าพเจ้าได้คัดเอามาบางตอน

ประสิทธิ์ “ วันที่หนูก่อนนั้นมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ผิดปกติกว่าวันธรรมดา ”

ชนัย “ วันที่ผมตาย ผมลืม ไม่ได้แขวนพระติดตัวไปด้วย ธรรมดาผมไม่เคยลืม ปืนสั้นที่ผมเคยพกก็ไม่ได้พก เมื่ออาบน้ำ กินข้าวเสร็จก็รีบแต่งตัว คว้าจักรนยานถีบออกจากบ้าน เคราะห์ดีครับที่ผมไม่ได้ห้อยพระและพกปืนไป ไม่เช่นนั้นเมื่อผมถูกยิงตาย มันคงเก็บเอาไปหมด ”

ประสิทธิ์ “ แล้วหนูรู้จักชื่อเสียงตัวคนร้ายที่ยิงหนูได้ไหม แล้วเวลาตายรู้สึกอย่างไรบ้าง ใจวูบไปเลยหรือเจ็บปวดสาหัสก่อนจะตาย หรือเหมือนหลับไปเฉย ๆ ”

ชนัย “ ไม่หรอกครับ คนยิงไม่รู้จักว่าเป็นใคร เพราะเขายิงผมข้างหลัง ไม่รู้ตัวเลย รู้สึกวิญญาณผมออกจากร่างแล้ว ผมยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน ขายังสั่นกระดุก ๆ เลือดออกทางแผล ถูกยิงตรงหัวไหล่นองถนน ”

ประสิทธิ์ “ เมื่อวิญญาณออกจากร่างกายแล้วล่องลอยไปอยู่ที่ไหน พบปะอะไร หนูยังจำได้ไหมก่อนจะกลับมาเกิดใหม่มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ”

ชนัย “ วิญญาณผมเร่ร่อนไปในที่ต่าง ๆ วนเวียนไปหลายแห่ง จะไปไหนบ้างเวลานี้ผมจำไม่ได้ ผมลืมไปหมดแล้วครับ ”

ตามที่เด็กชายชนัย อ้างว่าเมื่อถูกยิงตายอยู่บนถนน วิญญาณได้ออกจากร่างแล้วยังมองเห็นตัวเองนอนอยู่บนถนน ขายังสั่นกระดิก ๆ เลือดออกทางแผลที่ถูกยิงตรงหัวไหลนองถนน นี่ตรงกับการศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เกี่ยวกับการตายแล้วรู้สึกอย่างไรกับผู้ที่ได้ ตายไปแล้ว โดยแพทย์รับรองว่าตายแน่ เพราะหัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจและกระแสคลื่นสมองก็ไม่มี และภายหลังได้ฟื้นขึ้นมาอีกกลับมีชีวิตต่อไปได้ แล้วได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ปรากฏ และพบเห็นขณะที่วิญญาณได้ออกจากร่างไปนั้น นักวิทยาศาสตร์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายแพทย์ที่ควรจะกล่าวชื่อ คือ แพทย์หญิง เอลิซาเบธ คืบเลอร์- รอสส์ (Dr. Elisabeth Kubler- Ross ) ซึ่งได้เขียนลงในหนังสือเรื่องความตายและกำลังตาย (On Death and Dying ) และอีกคนหนึ่ง คือ ดร. เรย์มอนด์ เอ มูดี จูเนยร์ ( Dr. Raymond A Mooby Jr.) ท่านนี้เป็น ดร. ทางปรัชญา และภายหลังได้เรียนต่อทางแพทย์จนได้รับ M.D. จากมหาลัยเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา.

ท่านผู้นี้ได้กล่าวถึง ชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ (Life After Life ) ในหนังสือเรื่อง การคำนึงถึงเรื่องชีวิตภายหลังการมีชีวิตอยู่ ( Reflections o­n Lifter Life ) ได้ศึกษามานานถึง ๑๒ ปี ทั้งสองท่านนี้ได้พบว่ามีหลายต่อหลายรายด้วยกัน มีความรู้สึกว่าได้ล่องลอยออกจากร่าง และมองเห็นตัวเอง ทั้งได้ยินผู้คนที่มาแวดล้อมพูดจากันทุกอย่าง กระทำการแก้ไข เื่พื่อให้ฟื้น บางรายลอยไปในอุโมงค์มืดตื้อแล้วไปสู่ที่สว่าง สวยงาม พบเพื่อนฝูงผู้คนที่ไ้ด้ตายไปแล้วมาต้อนรับและชวนให้อยู่ด้วย บางรายเล่าว่า ความตายเป็นความสุขและความหวัง และไม่มีสักรายเดียวที่จะกลัวว่าจะตายอีก

นอกจากสองท่านนี้ยังมีอีกท่านหนึ่ง ชื่อ คาร์ลิส โอซิส ( Karlis Osis) เป็นนักจิตวิทยา สมาชิกของสมาคมค้นคว้าทางจิตของอเมริกาในกรุงนิวยอร์ค. ท่านผู้นี้ได้สัมภาษณ์ นายแพทย์จำนวน ๘๗๗ คน ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการรักษาพยาบาลดูแลคนป่วยหนักที่กำลังจะสิ้นชีวิต. คนป่วยเหล่านี้มีมากต่อมากที่เล่าว่า มีคนมาคอยรับจะเอาชีวิตไป ทั้งนี้ตรงกับของเราที่ว่ามียมทูตมาคอยรับเอาวิญญาณไป. นี่เฉพาะผู้ที่สิ้นชีวิตโดยอายุขัย ไม่เกี่ยวกับผู้ตายโดยยังไม่ถึงอายุขัย เช่น พวกตายโหงอย่างครูบัวไข หล่อนาค เป็นต้น.

ทางพุทธศาสนาเรากล่าวว่า เมื่อสิ้นใจก็เกิดใหม่ทันที เป็นโอปปาติกะ ซึ่งจะไปสู่อบายภูมิหรือสวรรค์ภูมิ ขึ้นอยู่กับกรรมของตนที่ได้สร้างไว้ การระลึกชาติของ เด็กชายชนัย ชูมาลัยวงศ์ นับว่าเป็นการพิสูทธิ์เรื่อง “ การเวียนตายเวียเกิด ” ค่อนข้างจะสมบูรณ์ดีมาก เพราะได้รับการยืนยันจากหลายแ่หล่งด้วยกัน คือ

๑. จากปากคำของ เด็กชายชนัย ชูมาลัยวงศ์ เอง ๒. จากนางพรม เบ็ญทอง ยายของเด็ก ๓. จากนายเขียน และนางยวง หล่อนาค พ่อแม่ของเด็กในชาติก่อน ๔. จากนางสวน หล่อนาค ภรรยาครูบัวไข ๕. จาก จ.ส.ต. สนาน เพื่อนสนิทของครูบัวไข ๖. จากนางสาวติ๋ม และต๋อย หรือนางสาวบรรจง และนางสาวเบ็ญจา หล่อนาค บุตรสาวฝาแฝดของครูบัวไข ๗. จากทรัพย์สินของใช้ของครูบัวไขหลายอย่างซึ่งเด็กชายชนัย จำได้แม่นยำ ๘. จากแผลเป็นที่ถูกยิงตายจากท้ายทอยทะลุออกหน้าผาก ซึ่งติดตัวเด็กชายชนัย มาในชาตินี้ด้วย ๙. จากปากคำของ นายคำรณ หรือ “ เบิ้ม ” และนางสมคิด ชูมาลัยวงศ์ พ่อแม่ของเด็กชายชนัยในชาติปัจจุบันนี้ ....



จากพระมหา ดร. สุเทพ อกิญฺจโน จังหวัดชลบุรี เรียบเรียงโดย ส. ทับทิมเทศ




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2552
2 comments
Last Update : 23 กรกฎาคม 2552 11:06:43 น.
Counter : 3139 Pageviews.

 

เชื่อค่ะ ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จริง
เราหันมาทำแต่ความดีกันดีกว่านะคะ

 

โดย: คนอยากรู้ IP: 113.53.110.132 5 กุมภาพันธ์ 2553 15:22:47 น.  

 

เราก็เชื่อในกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิด ตอนนี้ก็พยายามทำความดี ทำบุญ ปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น ถือศีล สวดมนต์ แล้วก็พยายามนั่งสมาธิทุกคืนก่อนนอน ด้วยหวังว่ากิเลสทั้งหลายที่มีอยู่ในใจ จะลดน้อยลง จนกว่าจะหมดสิ้นไป และได้ถึงซึ่งพระนิพพาน ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ก็จะเร่งสะสมความดีทุกภพทุกชาติไป

 

โดย: นะโม IP: 124.122.5.23 1 สิงหาคม 2553 21:53:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

kheethasill
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ชมรมคนศรัทธาหลวงปู่เจียม

ชมรมพระเครื่องเมืองสุรินทร์


จี่ ลป.เจียม
[Add kheethasill's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com