|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ถามมา-ตอบไป หน้า 2
Create Date : 09 สิงหาคม 2551 |
|
16 comments |
Last Update : 7 กันยายน 2551 16:07:57 น. |
Counter : 533 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.179.2 12 สิงหาคม 2551 13:14:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.179.2 12 สิงหาคม 2551 21:44:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: Pam IP: 58.108.18.237 15 สิงหาคม 2551 13:58:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ (อ้องเขาค้อ ) 16 สิงหาคม 2551 12:11:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.203.81 18 สิงหาคม 2551 22:50:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.203.81 18 สิงหาคม 2551 22:52:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.203.81 18 สิงหาคม 2551 22:54:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.203.81 18 สิงหาคม 2551 22:57:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.203.81 18 สิงหาคม 2551 22:59:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.203.81 18 สิงหาคม 2551 23:00:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.203.81 18 สิงหาคม 2551 23:02:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้อง IP: 125.25.203.81 18 สิงหาคม 2551 23:04:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.203.81 18 สิงหาคม 2551 23:06:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: Pam IP: 58.108.53.117 30 สิงหาคม 2551 20:27:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้องเขาค้อ IP: 125.25.217.174 4 กันยายน 2551 20:41:08 น. |
|
|
|
|
|
|
|
การปฏิบัติธรรมคือ การเข้าไปรู้เฉพาะ
ศีลคือ ความปกติ ความสะอาด เป็นธรรมชาติของจิตชนิดหนึ่ง
ที่ผ่องใส มีความโปร่งโล่งเบาไม่มัวหมอง ปราศจากอุปกิเลสจรคือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น
เรามาเข้าใจในศีลแห่งอริยมรรค กับศีลแห่งปุถุชนเสียก่อน
เพราะทางสองสายนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คนธรรมดาไปวัด ไปเอาศีล ไปรักษาศีล เพราะติดดี ติดกฏข้อบังคับ
เพราะเข้าใจว่า ศีลคือการบังคับการกระทำไม่ให้ทำชั่ว และมักจะเกิดความเข้าใจเสมอว่า
วันนี้ทั้งวัน ศีลบริสุทธิ มากๆ ศีลละเอียดมาก
ไม่มีอะไรผิดพลาดแม้แต่น้อย นี่คือติดดีจนเกินไปลืมไปสิ่งหนึ่งคือ ไปวัดเราไม่ได้เอาดี เราเอารู้
ศีลที่แท้จริงนั้นก็คือ การฝึกสติ การสำรวมระวัง การประคอง การระลึกรู้ ว่าเผลอ ว่าหลง ว่ากำลังทำผิด
ว่าเผลอไปทำผิด ว่าหลงไปคิด ว่าหลงไปอยากมีอยากได้
ว่าไม่อยากมีอยากได้ ว่าฟุ้ง เห็นว่าอกุศลเกิด(เพียรละอกุศล)
ศีลแห่งอริยมรรค ประกอบร่วมด้วยสัมมาสติเป็นองค์ประกอบใหญ่
การจะทำงานในเบื้องต้น ก็ใช้ความสำรวมระวังคือศีล5 และเมื่อมีความมั่นคงในงานชนิดนั้น
ก็เพิ่มระดับ ความสำรวมระวังในงานที่ละเอียดมากขึ้นเป็นลำดับ(สติจะว่องไวมากขึ้น)
ศีลที่แท้จริงย่อมเกิดขึ้นพร้อมกับสติที่ระลึกรู้โดยปราสจากเจตนาจงใจ
เช่นเพ่ง กำหนด ตั้งท่า อยากรักษา ตรงนี้กิเลสนำ จิตย่อมมัวหมอง
ศีลคือความบริสุทธิของจิต
ที่เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งไม่มัวหมอง ดังนั้นกิเลสนำไม่ได้ ติดดีไม่ได้
การรักษาศีลก็ต้องปล่อยไปแบบธรรมชาติของจิต ที่มันไม่เที่ยงและบังคับก็ไม่ได้
มันจะเกิดก็บังคับไม่ได้ มันไม่เกิดก็บังคับไม่ได้ เพราะจิตมันสะสมดีชั่ว มันจะคว้ามาเองเรื่องของมัน
หน้าที่เราคือรู้คือสำรวมระวังนี่เอง ที่จะทำให้สติระลึกรู้เกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ
ก็เพราะมาจากเหตุ(ธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุุ)
จากการจดจำได้ที่เกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีเจตนาจงใจ
การที่เราไปเข้าใจว่า ศีลต้องรักษาให้ได้ทั้งวัน ศีลต้องละเอียด ศีลต้องบริสุทธิ
เมื่อเข้าใจเช่นนี้ก็จะทำให้ ศีลแห่งอริยมรรคที่เกิดขึ้นมาจากสัมมาสติ เกิดความผิดพลาดจาก
สัมมาทิฎฐิ คือความเข้าใจอย่างถูกต้อง ่คลาดเคลื่อนในองค์แห่งศีล (เพราะศีลเป็นธรรมชาติของจิต เมื่อจิตไม่เที่ยง บังคับไม่ได้ ศีลก็ไม่เที่ยง มาๆไปๆก็เฉพาะเวลาที่มีสติเข้าไประลึกรู้แค่นั้น)
เพราะศีลสัมพันธ์กับจิต แปลความหมายก็ชัดเจนอยู่ คือธรรมชาติที่เป็นกลาง เที่ยงธรรม สะอาด บริสุทธิ
และเป็นปกติ คือธรรมดาของจิตชนิดนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และมีสติระลึกรู้เห็นความจริงของจิตชนิดนี้
เมื่อนั้นคือศีลบริสุทธิจิตก็บริสุทธิ
จิตที่ผ่องใสชนิดนี้ ถ้าประคองรักษาจะเห็น สติเร็วมาก นี่ก็เพราะเกิดกำลังของสมาธิร่วมอยู่ในศีลด้วย
และยังเห็นความจริงของจิตบริสุทธิ
แสดงความจริงของธรรมชาติคือพระไตรลักษณ์ด้วย
คือมาๆไปๆ บังคับไม่ได้ ซักพักนึง อกุศลจรก็จะปรากฏ คือ เผลอไปเพ่ง หรือหลงไปคิด
ใครบอกว่ารักษาศีลบริสุทธิทั้งวัน นั่นยังไม่เข้าใจเรื่องศีล(ยกเว้นพระอรหันต์)
เมื่อเรามาเข้าปฏิบัติ เราเข้าไปรู้เฉพาะกายและจิตใหม่ จึงมักจะเห็นว่า
อกุศลจรเป็นหมื่นรู้สึกตัวเพียงสองสามสี่ แล้วก็จรเป็นแสนรู้สึกตัวสองสามสี่
จิตเกิดดับถี่ยิบมากมายมหาศาลสะสมแต่ภพต่ำทั้งสิ้น จึงทำให้ภพภูมิมีระยะเวลาที่ยาวนาน ในเวลาเสวยกรรม
คนเกิดมาไม่กี่ปี รักษา สำรวม ในศีล จิตไปติดกุศลแม้จะน้อยกว่าน้อย
แต่อำนาจของกุศลนี้กลับมีอำนาจมาก
ผู้รักษาศีลและมีหิริโอตัปปย่อมมีสุขคติเป็นที่ตั้ง ถามว่า
เกิดมาแล้วรักษาศีลแค่สิบยี่สิบปี ทำไมสิ้นอายุขัยจึงเป็นเทวดานางฟ้าถึงแสนปีทิพย์ เป็นกัลป ตัวเลขทำไมต่างกันมหาศาลปานนั้น
กับอายุขัยการทำความดีของมนุษย์
คนทำชั่วก็เหมือนกัน เกิดมาทำชั่ว ไม่มีศีลรักษา ไม่มีความละอายแก่ใจเพื่อการสำรวมระวัง
คนชั่วกลับไปอบายต่างกัน อายุขัยเสวยกรรมก็ต่างกัน นั่นก็เพราะวิถีจิต ความคิดที่ย้อนมาทำร้ายใจ
ในระหว่างวันมีมายมายยิ่งนัก จิตที่เต็มไปด้วยอาฆาต พยาบาท ความโกรธแค้น ที่เกิดถี่ยิบเป็นล้านๆขณะ
ในระหว่างวันนั่นละ คือการสะสมภพ ความดีก็เช่นกันสะสมภพ
ดังนั้นการที่เรารักษาใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ ทำดีให้ถึงพร้อมและไม่ทำชั่วทั้งปวงนั้น สัมพันธ์ที่จิตทั้งสิ้น
ศีลจึงเหมือนบ้านที่สะอาด คนรักษา สำรวม ระวัง จึงเหมือนคนที่ทำความสะอาดบ้านด้วย สติแห่งความจริงเสมอ
ศีลแห่งอริยมรรคที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน
ระหว่างปุถุชนและพระอริยเจ้าคือ รักษาที่ใจ
ส่วนพระที่ต้องอาบัติ จิตของท่านมัวหมองจึงปิดกั้นคุณความดี
ท่านจึงต้องปลงอาบัติอยู่เสมอเพื่อการสำรวมระวังอยู่ทุกเมื่อ
เหตุที่ท่านมีศีลถึง227ข้อ เพราะท่านสละโลก ท่านจึงมีเวลาในการสำรวมที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น
การสำรวมในศีลย่อมนำพาความสุขความสะอาด
แห่งศีลที่บริสุทธิผ่องใสมาให้ด้วยสติระลึกรู้
ศีลที่บริสุทธิ์ผ่องใสจึงนำพาโภคทรัพย
ทางปัญญาอันหาไม่ได้เพราะจะรู้เอง
ในขณะที่มีศีลด้วยปัญญาที่รู้แจ้ง
ศีลคือความสะอาด ความเป็นกลางเที่ยงธรรม ศีลคือความปกติของจิต คือธรรมชาติแท้จริงของจิต
ศีลจึงนำพาเข้าหานิพานังปัจจโยโหตุ เพราะนิพพานคือความสะอาด ความบริสุทธิ ปราศจากขันธ์ ปราศจากกิเลส
จิตเห็นจิตเป็นมรรค ผลคือนิโรธ ความบริสุทธิ์ที่เห็นความบริสุทธิ์ ไม่เอากิเลส ละกิเลส รู้กิเลส วางอุปทานทั้งหลายสิ้น
จิตย่อมเสรีเป็นไท บรมสุขเหนือสิ่งอื่นใดเพราะไม่มีสิ่งผูกมัดอีกต่อไป
อ้องขอจบเรื่องศีลแต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการะเช่นนี้แล
ผิดพลาดขออภัยด้วยครับ เพราะเป็นความเข้าใจส่วนตัว