เพียงแค่สายลมรำเพยพริ้ว
เพียงแค่สายลมรำเพยพริ้ว สองหัวใจก็โปรยปลิวไปตามฝัน ข้ามขอบฟ้าขอบน้ำค่ำคืนวัน มาแบ่งปันกลิ่นหอมหวานของความรัก
ฉันเขียนกวีบทนี้ไว้เป็นที่ระลึกสำหรับการเดินทางไปเยี่ยมเยือนเชียงคาน อำเภอเล็กๆ ในจังหวัดเลยที่ชีวิตของผู้คนช่างเรียบง่ายและไหลเอื่อย ไม่ต่างจากแม่น้ำโขงที่ทอดตัวอย่างอบอุ่นคั่นกลางระหว่างพี่ไทยกับน้องลาวเอาไว้ ทริปรียูเนียนของชาว บ้านสีฟ้า ครั้งนี้ถูกวางแผนนานข้ามปีกันเลยทีเดียว ไม่ว่าใครจะลีลา ไปหรือ ไม่ไป ยังไง ฉันก็ตั้งใจอย่างเต็มที่ว่าจะไปเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ ร่วมกับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้ออกเดินทางไปไหนไกลๆ ร่วมกันนานแล้ว หลังจากที่พวกเรา เติบโต และต่างมีเส้นทางเล็กๆ เป็นของตัวเอง แต่ราวกับมีใครต้องการทดสอบอะไรบางอย่าง... สองสัปดาห์ก่อนกำหนดการเดินทางจะมาถึง ฉันถูกมรสุมการงานรุมเร้าด้วยการต้องทำสกู๊ปไปพร้อมกับเขียน Advertorial จำนวนมหาศาล ถึงขนาดตื่นเช้าไปสัมภาษณ์และกลับมาเขียนงานถึงตี 1 ตี 2 ทุกคืนก็ยังไม่มีวี่แววว่างานจะเสร็จทันกำหนด จึงมีคำถามเกิดขึ้นว่าจะยอมบอกเพื่อนไปเสียแต่โดยดีดีไหม ว่าไม่สามารถร่วมขบวนไปเที่ยวเชียงคานได้แล้วเพราะภาระที่ต้องรับผิดชอบอันมากมายเหลือเกิน ฉันคิดเรื่องนี้อยู่ในใจกลับไปกลับมาหลายรอบ... แล้วค่ำคืนของสุดสัปดาห์นั้นฉันก็ลากกระเป๋าใบใหญ่ (มาก) ไปเจอกับสมาชิกที่มากันพร้อมหน้า ณ สถานีหมอชิต ซึ่งคราคร่ำไปด้วยนักเดินทาง... ตั้งแต่เรียนจบและทำงานมาหลายปีแล้ว ฉันไม่เคยยอมให้ใครพูดได้ว่าเป็นคนไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ เพราะทุกครั้งที่ได้ยินใครบอกว่าตัวหนังสือที่ฉันเขียนเป็นผลงานที่ดี นั่นเป็นการเติมพลังขับเคลื่อนชีวิตได้อย่างวิเศษ แต่สำหรับการออกเดินครั้งนี้ ความคิดของฉันซับซ้อนและต่างออกไป... ระหว่างการทำงานอย่างหนัก เพื่อแลกกับเสียงชื่นชมและความภูมิใจในตัวเอง กับการได้ร่วมทางกับผู้คนที่มีความหมายกับชีวิตและได้สูดลมหายใจในบ้านเมืองที่ไม่เคยคุ้นร่วมกัน มันก็ยากอยู่เหมือนกันที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกสิ่งไหนดี แต่เมื่อให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าจะจัดกระเป๋า หัวใจของฉันก็ราวกับโปรยปลิวไปตามสายลม ลองคิดในทางกลับกันว่าถ้าฉันตัดสินใจนั่งทำงานทั้งๆ ที่เป็นวันหยุด งานที่เสร็จออกมาอาจจะทำให้โล่งอก แต่ก็ไม่รู้ว่าหัวใจจะห่อเหี่ยวสักเพียงไหนที่พลาดคืนวันดีดีในชีวิต ที่ตัดสินใจได้อย่างนั้นคงเป็นเพราะสองสัปดาห์อันสาหัสที่ผ่านมาฉันอ่อนล้าเหลือเกิน กระทั่งคิดว่าทำไมจะต้องทำงานหนักเพื่อให้คนอื่นชื่นชม ในเมื่อคนที่เราต้องอยู่ด้วยไปชั่วชีวิตคือตัวของเราเองไม่ใช่หรือ? ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่งก็อาจจะเป็นความคิดที่ไร้ความเป็นผู้ใหญ่สิ้นดี แต่ในบางเช้าเราก็อยากตื่นขึ้นมามองโลกด้วยแววตาของเด็กบ้างไม่ได้หรือไง เด็กที่เห็นโลกเป็นเรื่องน่าสนุกและค้นหา มากกว่าจะเป็นสถานที่แห่งเกียรติยศและความภาคภูมิใจ แล้วฉันก็พบว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่ยอมให้รถบัสพาฉันและเพื่อนๆ ไปปล่อยไว้กับสายหมอกยามเช้าที่เชียงคาน ความเล็กและเงียบสงบของเมืองอาจจะทำให้เรามีกิจกรรมไม่มากนัก แต่ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเราก็เป็นไปตามจังหวะของความสุข ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ท่าถ่ายรูปทั่วทุกมุมของร้านลมรำเพย ร้านที่เจ้าของถูกสายลมพัดพามาจากแดนไกล การชื่นชมผลงานศิลปะของตัวเองและคนอื่นๆ ที่แปะอยู่บนฝาผนัง การเดินเล่นผ่านบ้านเรือนสีไม้ การยิ้มตอบให้กับไมตรีของคุณลุงคุณป้าและเด็กๆ ในท้องถิ่น การชิมอาหารรสชาติแปลกใหม่ การค้นพบเครื่องดื่มที่อร่อยซ่ามากกว่าโค้ก การเขียนโปสการ์ดส่งตรงถึงตัวเอง การนั่งจิบเบียร์แกล้มลมหนาวเคล้าละอองน้ำค้าง การปั่นจักรยานริมแม่น้ำโขง รวมไปถึงการปล่อยให้บทสนทนาระหว่างเพื่อนรื่นไหลไปตามทิศทางของมัน ต่อให้ต้องรีบกลับมาตั้งหน้าตั้งตาปั่นงานเต็มสปีด หรือต้องเผชิญกับการทวงงานที่บั่นทอนความรู้สึกแค่ไหน ฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิดเลยแม้แต่นิดเดียว... เพราะคืนวันอันงดงามของชีวิตแบบนี้ไม่ว่าจะทำงานหนักอีกสักกี่ปีก็ไม่อาจซื้อหาได้หรอกใช่ไหม?
Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
8 comments |
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2552 17:30:48 น. |
Counter : 708 Pageviews. |
|
|
|
ไม่อ่านหรอก
ชิ...
ขอให้ทุกคนที่ได้ไป ขึ้นคานด้วย
ชิ...