1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30 31
ก้าวเท้าข้ามผ่านปีที่ washington dc
ปีใหม่ไปเที่ยวไหน... ผ่านเข้าสู่ปีใหม่อีกปีแล้ว เชื่อว่าหลายคนต้องโดนยิงคำถามนี้ใส่กันบ้างล่ะ ถ้าใครอยู่บ้านเฉยๆ หรือใครที่ถึงขนาดต้องทำงานก็คงตอบกลับไปเซ็งๆ แต่ฉันโชคดีหน่อยที่โฮสต์มีโปรแกรมเยี่ยมญาติหลังคริสต์มาส เลยสามารถตอบด้วยน้ำเสียงคึกครื้นรื่นเริงกลับไปได้ว่า ปีใหม่นี้ไปวอชิงตันดีซีมา ความจริงโฮสต์บอกก่อนว่าถ้าไม่อยากไปก็อยู่บ้านได้นะ ไม่บังคับ ฉันก็มานั่งนึกดูว่าไปบ้านญาติเค้าต้องวุ่นวายแน่เลย แบบทำตัวไม่ถูกเพราะไม่ใช่ญาติเรา ไม่รู้จะเอาตัวไปไว้ตรงไหน ได้แต่นั่งยิ้มๆ แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่า เอาเหอะ อุตส่าห์ได้มาไกลถึงนี่แล้ว จะมัวนั่งนอนอยู่บ้านทำไม ไปสวัสดีเมืองหลวงของอเมริกาดีกว่าน่า แล้วก็ดีใจล่ะที่ตัดสินใจไป เพราะทริปนี้ได้เปิดหูเปิดตาดูอะไรแปลกใหม่เยอะเลย และแน่นอนว่าฉันไม่ลืมเก็บเรื่องราวกลับมาเล่าให้ฟังด้วย...ลิงบนรถไฟ เริ่มต้นที่วันเสาร์ฉันตื่นมาแต่งตัวให้วิลเลี่ยมกับโคดี้ตั้งแต่เช้าตรู่ เด็กๆ ตื่นเต้นมากมายที่จะได้ออกเดินทางไกล เลยแสดงออกด้วยการวิ่งเล่นเอ็ดตะโรวุ่นวายไปทั้งบ้าน ความจริงฉันก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่กลับต้องแสดงออกด้วยการวิ่งไล่จับพวกมันมาใส่รองเท้า เฮ้ออออ... พอทุกคนเรียบร้อยกันแล้ว เราก็แบกของพะรุงพะรังไปขึ้นรถไฟ amtrak ที่สถานี stamford ซึ่งอยู่ไม่ไกลบ้านนัก เราใช้เวลาบนรถไฟตั้งห้าชั่วโมงกว่าแน่ะ นั่งจนสงสารก้นเลย แต่ที่น่าสงสารมากกว่าคือคนที่โดยสารรถไฟขบวนเดียวกับโคดี้ เพราะว่ามันวิ่งพล่านไปทั้งตู้โดยสาร และก็เป็นหน้าที่ของฉันอีกล่ะสิที่ต้องวิ่งไล่จับมัน พอจับมานั่งที่ได้ก็แย่งของเล่นกับวิลเลี่ยมอีก ถ้าใครเกลียดเด็กแล้วนั่งใกล้กับมันนี่คงเกลียดหนักเข้าไปอีก เพราะขนาดฉันที่ถือได้ว่ารักเด็กพอสมควรก็เริ่มจะเกลียดเด็กขึ้นมาบ้างแล้ว โชคยังดีที่รถไฟมาจอดที่สถานี alexandria ซะก่อนที่จะมีข่าวพี่เลี้ยงผลักเด็กตกรถไฟ หุหุ อ่อ...ลืมบอกว่าบ้านที่เราจะไปเป็นบ้านลุงของโคดี้ชื่อสตีฟ ซึ่งอยู่ในเวอร์จิเนีย แต่ว่าใกล้ชิดติดกับวอชิงตันดีซีมากประมาณพระประแดงกับกรุงเทพอะไรทำนองนั้น กิกิ ลุงสตีฟเนี่ยมีเมียชาวอินเดียและลูกชายสองคน แกเป็นคนที่บ้าการถ่ายรูปมาก ถ้ามีกล้องอยู่ในมือนี่ลุงจะกดชัตเตอร์ตลอดเวลามีความถี่มากกว่านาทีละรูปเสียอีก (จริงๆ นะ) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมบนฝาผนังบ้านแกถึงมีนิทรรศการส่วนตัวเป็นภาพถ่ายเด็กๆ จากหลายประเทศทั่วโลก สนามหลวงของอเมริกา เช้าวันรุ่งขึ้น ลุงสตีฟก็ยกขบวนพาพวกเราขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานี Franconia-springfield ใกล้ๆ บ้านเพื่อไปตะลุยเมืองหลวงของอเมริกากัน รถไฟฟ้าของที่นี่หน้าตาดีกว่าซับเวย์ในนิวยอร์กมาก ดูสะอาด ปลอดภัย และเข้าใจง่ายกว่าเยอะ ที่นี่เปรียบเหมือนคุณหนูผู้ดีไฮโซแต่นิวยอร์กเป็นกุ๊ยสกปรกข้างถนนอะไรอย่างนั้นเลย สถานีแรกที่ก้าวออกมาจากรถไฟพาพวกเราไปเจอแท่งยาวๆ ที่เค้าเรียกกันว่า washington monument เป็นอนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของวอชิงตันดีซี ตั้งอยู่ตรงกับข้ามกับตึก capital hall ตรงกลางระหว่างสองอย่างนี้จะมีสนามหญ้าใหญ่ยักษ์กั้นอยู่ เห็นแล้วคิดถึงสนามหลวงเลย ฉันยังนึกอยู่ว่าถ้ามีใครเอาว่าวมาชักเล่นเหมือนบ้านเราบ้าง สนามโล่งที่ดูเคร่งขรึมแห่งนี้คงจะมีสีสันขึ้นเยอะ แต่จะว่าไปก็อย่าไปทำลายบุคลิกของเมืองนี้เลยดีกว่า วอชิงตันดีซีดีในความรู้สึกของฉันดูเป็นเมืองขรึมๆ เท่ๆ เหมือนผู้ชายใส่สูทผูกเนคไท คงเพราะมันเต็มไปด้วยตึกราชการที่สำคัญและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติมากมาย เลยทำให้สง่าราศีจับอย่างช่วยไม่ได้ ไดโนเสาร์สยอง พอสายฝนเริ่มโปรยพวกเราก็หลบเข้ามาใน national museum of natural history ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ Smithsonian ที่ประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์หลายแห่งกระจายไปทั่วบริเวณ ที่นี่ต้อนรับทุกคนด้วยช้างยักษ์ตรงโถงทางเข้า ความจริงคงต้องอาศัยเวลาเดินดูทั้งวันกว่าจะทั่ว แต่ฉันมีเวลาเดินดูแค่ซากสัตว์ป่าหายากที่สตั๊ฟไว้ แล้วก็ได้เห็นโครงกระดูกไดโนเสาร์เป็นครั้งแรกในชีวิต ขนาดเป็นแค่โครงกระดูก พวกมันก็ยังดูน่าสะพรึงกลัวอยู่เลย ไม่อยากคิดว่าตอนมีชีวิตจริงๆ พวกมันจะน่าสยองขนาดไหน จากนั้นฉันก็ต่อแถวตามเด็กๆ เข้าไปดูหนังสามมิติเรื่อง Sea Monsters มันเป็นสารคดีสัตว์ดึกดำบรรพ์ใต้ท้องทะเลที่ตอนแรกก็ตื่นเต้นดี แต่ผ่านไปไม่กี่นาทีฉันก็หลับปุ๋ย แหะๆ ทัวร์วันนั้นปิดท้ายด้วยการที่เด็กๆ ร้องไห้งอแงเดินไม่ไหว ผู้ใหญ่ก็เลยต้องจำใจพาขึ้นรถไฟกลับบ้านตามระเบียบ เคาท์ดาวในสุสาน เช้าวันสุดท้ายของปี คุณลุงสตีฟขับรถมาส่งฉันที่สถานีรถไฟฟ้า เพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดฉันก็เลยฉวยโอกาสไปตะลุยเดี่ยวเที่ยวเมืองหลวงตามลำพัง ความจริงฉันสิ่งที่ฉันอยากเห็นมากที่สุดในวอชิงตันดีซีคือ ต้นซากุระที่ญี่ปุ่นมอบเป็นของขวัญให้อเมริกา แต่กว่าพวกมันจะผลิบานก็เดือนมีนาคมโน่นแน่ะ ฉันเลยนั่งรถไฟมาลงที่เป้าหมายที่สอง นั่นคือ arlington national cemetery สุสานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ที่นี่กว้างใหญ่ไพศาลมากและทั่วทั้งอาณาบริเวณก็มีแต่หลุมฝังศพทหารและบุคคลสำคัญนับหมื่นคน ภาพแท่งศิลาสีขาวเรียงรายบนสนามหญ้าสุดลูกหูลูกตาดูสวย สงบ เศร้า และวังเวงไปพร้อมๆ กัน จนฉันประหลาดใจตัวเองว่ากล้ามาที่นี่คนเดียวได้ยังไงเนี่ย หลุมฝังศพที่มีคนมาเคารพมากที่สุดของที่นี่ก็คือหลุมฝังศพประธานธิบดี john f kennedy และภรรยา ซึ่งมีคบเพลิงที่จุดติดตลอดเวลาอยู่ด้านหน้าด้วย พอเคารพท่านประธานาธิบดีเสร็จ ฉันก็ตั้งใจจะไปไว้อาลัยให้หลุมศพของทหารที่ไม่มีใครรู้ชื่อซึ่งเสียชีวิตจากสงครามต่างๆ ฉันรู้สึกว่าพวกเขาน่าสงสารมากที่ต้องพลีชีวิตให้กับความกระหายอำนาจของใครบางคน และไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะให้ญาติๆ ได้จัดพิธีฝังศพให้ แต่ว่าเดินตามลูกศรบอกทางมาตั้งไกลแล้วก็ไม่ถึงซะที พอดีมาเจอทหารกำลังทำพิธีอะไรซักอย่างเหมือนเป็นการสวนสนามเปลี่ยนเวรยามก็เลยหยุดดู ในขณะที่ความเงียบเข้าครอบงำนักท่องเที่ยวทุกคนเพื่อเป็นการให้เกียรติพิธีการและสถานที่ เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นนนนนน... จนต้องวิ่งหลบออกมาข้างนอกอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าต้นสายโทรมาจากเมืองไทย ฉันเลยเพิ่งเอะใจว่าเดินอยู่ในสุสานแห่งนี้จนเกือบเที่ยงแล้วหรือนี่ เสียงของเจ้าหนอนแว่วมาจากเมืองไทยอย่างตื่นเต้นว่าในทีวีช่องเจ็ดสีกำลังจะเคาท์ดาวกันแล้ว จากนั้นก็มีเสียงนับถอยหลังเข้าสู่เที่ยงคืน...ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง...ซึ่งพอดิบพอดีกับที่นาฬิกาในสุสานดังก้องไปทั่วบริเวณเพื่อบอกเวลาเที่ยงวัน โอ้ววว...มันช่างเป็นช่วงยามอันน่าอัศจรรย์ในการก้ามข้ามผ่านปีอันน่าจดจำของฉัน คงจะมีใครไม่กี่คนบนโลกนี้หรอกใช่ไหมที่ได้นับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ในสุสาน... บุกทำเนียบขาว กว่าจะเดินออกจากสุสานแห่งชาติมาได้ก็เมื่อยขามากมาย แต่ฉันก็ยังไม่ย่อท้อนั่งรถไฟฟ้าต่อไปที่สถานี farragut west ซึ่งพาฉันไปเยือน white house หรือทำเนียบขาว ซึ่งเป็นที่ทำงานของประธานาธิบดีจอร์ช บุช ตอนแรกฉันนึกว่าจะเจอตำรวจยืนเรียงหน้ากระดานให้การอารักขาเสียอีก แต่ที่ไหนได้หน้าบ้านสีขาวหลังนั้นกลับมีแต่นักท่องเที่ยวเรียงหน้าถ่ายรูปกันอย่างคึกคัก และมีรถตำรวจเก่าๆ จอดอยู่คันเดียว (อาจจะเป็นไปได้ว่าในบรรดานักท่องเที่ยวเหล่านั้นมีตำรวจนอกเครื่องแบบแฝงตัวอยู่เหมือนในหนัง กิกิ) ฝั่งตรงข้ามกับบ้านสีขาวก็ได้รับความสนใจในการถ่ายรูปไม่แพ้กัน มันเป็นเพียงมุมเล็กๆ ที่มีคุณป้าหน้าตาเหมือนชาวจีนยืนชูสองนิ้วท่ามกลางป้ายประท้วงมากมาย ในจำนวนนั้นมีป้ายเล็กๆ อันหนึ่งที่เรียกร้องอย่างตรงไปตรงมาว่า peace now มันเป็นคำง่ายๆ ที่ไม่น่าจะเข้าใจยาก แต่ฉันเกรงว่าผู้ชายคนที่นั่งทำงานอยู่ในบ้านหลังนั้นคงจะอ่านไม่ออก และถ้าเขายังคงดักดานอ่านไม่ออกเสียที... ต่อให้ขยายพื้นที่ของ arlington national cemetery ให้กว้างใหญ่มากขึ้นแค่ไหนก็คงจะไม่มีวันพอฝังศพทหารที่เสียชีวิตจากสงคราม... รูปเดียวของดาวินชี ตอนแรกฉันตั้งใจว่าไปเที่ยวแค่สองที่ก็พอแล้ววันนี้ แต่ตอนเดินหันหลังให้ทำเนียบขาวเพิ่งจะบ่ายสามเอง เลยลองเปิดหนังสือดาวเหงา (lonely planet) ดูว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง มาสะดุดตรงที่เขาบอกว่า national gallery of art เป็นหอศิลป์ที่เก็บรักษารูปภาพเพียงรูปเดียวในอเมริกาของลีโอนาโด ดาวินชีไว้ก็เลยตรงดิ่งไปยังสถานีรถไฟ archives-navy meml-penn quarter แต่พอโผล่ขึ้นมาบนดินดันมองไม่เห็นตึกไหนดูน่าจะใช่หอศิลป์เลย มองหาอยู่แป๊บนึงก็ตัดสินใจถามผู้หญิงคนหนึ่ง ปรากฏว่าโชคดีมากมายผู้หญิงคนนั้นมีจุดหมายที่เดียวกัน ฉันก็เลยเดินตามเขาไปต้อยๆ ในหนังสือบอกว่าหอศิลป์แห่งชาติปิดบริการตอนห้าโมงเย็น มองนาฬิกาแล้วฉันไม่มีเวลาชิลล์มากนัก ก็เลยถามคุณลุงใจดีที่ประตูทางเข้าว่า อยากดูรูปของดาวินชีจะไปทางไหนดีคะ ลุงแกยิ้มประมาณว่ามีคนถามแกอย่างงี้ทุกวัน วันละหลายหนอ่ะ แล้วก็หยิบแผนที่มากลางบอกทางเสร็จสรรพ ฉันจึงพุ่งดิ่งไปยังชั้นสองทันที รูปภาพรูปเดียวของดาวินชีในอเมริกาเป็นรูปพอร์ตเทรทของผู้หญิงคนหนึ่งให้อารมณ์ประมาณโมนาลิซ่าเลย แล้วก็มีคนมารุมถ่ายรูปเยอะมาก ถ่ายรูปเสร็จฉันเลยถอยมาเดินดูรูปของศิลปินคนอื่นๆ บ้าง ความจริงก็ไม่ได้ดื่มด่ำซาบซึ้งในศิลปะเท่าไรนัก ฉันจะออกแนวมองป้ายชื่อศิลปินมากกว่า พอเห็นคำว่า แวนโก๊ะ โมเนต์ โกแกง ก็จะแอบฮือฮาในใจอยู่คนเดียว ฮ่าๆ แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศก็พาให้ฉันรู้สึกเพลิดเพลินกับการชื่นชมรูปภาพที่หาค่าไม่ได้เหล่านี้ พร้อมทั้งแอบภาคภูมิในใจตัวเองไปพลางๆ ด้วย...แหะๆ ก็วันนี้ทั้งวันฉันตะลุยเดี่ยวเที่ยวเมืองหลวงของอเมริกาด้วยสองขาของตัวเอง โดยที่ยังไม่หลงทางเลยแม้แต่นิดเดียวนี่นา
Create Date : 03 มกราคม 2551
11 comments
Last Update : 3 มกราคม 2551 11:45:36 น.
Counter : 492 Pageviews.
โดย: แมวเฟือน IP: 58.8.91.45 3 มกราคม 2551 12:13:04 น.
โดย: Monchanok IP: 58.9.195.242 3 มกราคม 2551 21:29:37 น.
โดย: ตีตี้ IP: 202.142.193.15 3 มกราคม 2551 23:22:32 น.
โดย: megapor IP: 124.121.222.181 6 มกราคม 2551 1:36:08 น.
โดย: หลังเที่ยงคืน IP: 222.123.175.228 6 มกราคม 2551 2:01:11 น.
โดย: Nang IP: 125.24.86.105 8 มกราคม 2551 18:43:00 น.
โดย: แม่หมี IP: 202.142.193.15 11 มกราคม 2551 10:37:41 น.
โดย: iammonkey IP: 222.123.212.147 17 มกราคม 2551 0:18:32 น.
ปีนี้แมวฉลองปีใหม่ด้วยเบียร์ทุกยี่ห้อเท่าที่ท้อปส์จะมีขาย
ปีก่อนๆแมวมักจะไปยืนน้ำลายยืดตรงมุมช็อกโกเลต เหมือนเกรเธลเจอบ้านขนมปัง
แต่ปีนี้แมวกลายร่างเป็นแมวขี้เมาไปแล้ว
เฮ้อ...ความเยาว์อันไม่อาจหวนคืน
เชียสสสสสสสส