เล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวในต่างประเทศ
ในอ้อมกอดของขุนเขาและสายน้ำ



แปดโมงเช้าของการเที่ยววันที่สี่ ฉันรีบลงไปที่ห้องอาหาร เนื่องจากเมนูมื้อเย็นเมื่อคืนเป็นปลาเทราต์ย่างเกลือ ทำให้ร่างกายเผาผลาญอย่างรวดเร็ว ท้องร้องจ๊อกตั้งแต่ยังไม่หกโมงเช้า จึงไม่น่าแปลกใจที่ฉันจะลงไปที่ห้องอาหารเป็นคนแรก อาหารเช้าของที่นี่เป็นประเภท Cold breakfast buffet ไม่มีของร้อนๆ คงมีแต่ซีเรียลชนิดต่างๆ ทั้งซีเรียลข้าวโพด ธัญพืช ผสมถั่วหลากประเภท ซึ่งก็ดีต่อสุขภาพ แล้วก็มีแฮมชนิดต่างๆ 5-6 ชนิด ชีสสองอย่าง ขนมปังหลากแบบพร้อมเนย แยม สารพัดอย่าง รวมทั้งนมและน้ำผลไม้ กาแฟหรือชาเสิร์ฟโดยเจ้าของ Sepp Zuaner บุรุษผู้สูงใหญ่



มื้อเช้าเหมือนทุกวันที่ฉันจะต้องเติมกระเพาะอาหารให้เต็มที่ เพื่อจะเที่ยวได้นานหน่อยก่อนถึงมื้อกลางวัน จึงต้องเดินเติมอาหารอยู่หลายรอบจนได้ที่ แล้วก็เริ่มออกสำรวจเมือง โดยไล่ไปทางขวามือของ Marktplatz ก่อน ตั้งใจว่าวันนี้จะลองเดินถนนบนเชิงเขาดูบ้าง น่าจะมองเห็นทัศนียภาพของที่ Hallstatt ได้ชัดเจนขึ้น



ฉันเดินเลยไปจากจุดจอดรถบัสเมื่อวานนี้ที่ว่ามีวิวอันสวยงามแล้ว ปรากฏว่าไปเจอจุดที่สวยงามกว่าอีกเพราะเดินตามหนุ่มฝรั่งที่สะพายกล้องตัวโต แล้วก็เหลียวหลังมามองบ่อยๆ ว่าฉันจะตามไปด้วยมั้ย ...ไม่รู้หรอกนะคะว่าอยากให้ตามหรือเปล่า แต่บังเอิญว่าวิวที่เห็นข้างหน้าสวยงามมาก จนอดใจให้เดินตามไม่ได้ พร้อมกับหยิบขาตั้งกล้องออกมาเก็บภาพตัวเองไว้หลังจากพ่อหนุ่มคนนั้นชิ่งหนีไปแล้ว




หนึ่งมุมอันงดงาม



ขยับกล้องเปลี่ยนมุมอีกหน่อย



แอบผสมโรง



ระหว่างที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดมุมเพื่อใช้ขาตั้งกล้อง ก็มีเจ้าแมวเหมียวซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน ไม่มีปลอกคอบอกความเป็นเจ้าของ เข้ามาเคล้าคลอเคลียกับฉันบนม้านั่ง อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเล่นด้วย ก็ตัวอวบอ้วนน่ารักออกปานนั้น เลยจับมาเป็นดาราหน้ากล้องซะอย่างภาพที่เห็น



แมวเอ๋ยแมวเหมียว



เมื่อสายน้ำสะท้อนเงาให้ขุนเขา (สิบโมงเช้า)



ดุจดั่งกระจกเงาของเมืองในฝัน (ตอนเที่ยงวัน)



ย้อนดูเงาประหลาดของตัวเอง!!!


Smiley  ในอ้อมกอดของขุนเขาและสายน้ำ  Smiley


หมู่บ้าน Hallstatt นี้มีลักษณะเหมือนแอ่งกะทะ สภาพบ้านเรือนที่ปลูกไล่ระดับกันขึ้นไปจากส่วนที่อยู่ต่ำสุดของขอบทะเลสาบซึ่งเป็นชายน้ำ ไล่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นชั้นๆ ชั้นบนสุดจึงตัดถนนเลียบภูเขาอีกทีหนึ่ง มีบ้านปลูกอยู่บนไหล่เขาบ้างไม่กี่หลัง การปลูกบ้านเรือนเช่นนี้ ทำให้แต่ละบ้านมองเห็นทัศนียภาพของทะเลสาบได้เหมือนกันแม้จะเป็นคนละมุม



มุมนี้ถ่ายจากทางเดินด้านบน


หลังจากเก็บภาพจนหนำใจแล้ว จึงเดินย้อนกลับเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ก็เจอเข้ากับกลุ่มสาวไทยทั้งเจ็ด ทักทายกันพอได้ความว่ามาค้างแค่คืนเดียว กำลังจะไปเที่ยวทะเลสาบ Wolfgangsee กันต่อ และคงได้ไปเจอกันที่ Cesky Krumlov ประเทศเช็กอีกล่ะค่ะ



ที่พิพิธภัณฑ์นี่ ฉันไปทำเฟอะฟะให้คนขายตั๋วดุเอาเสียแล้วค่ะ ด้วยความที่ไม่คิดว่าจะเสียเงินค่าเข้าชม ก็เลยจะเดินเข้าไปดูเฉยๆ ปรากฏว่าถูกคนขายตั๋วเรียกไว้ แล้วก็ชี้ให้ดูราคาป้ายปี 2008 ฉันก็ยังงงๆ อยู่ พยายามอ่านแต่มันเป็นภาษาเยอรมัน แล้วก็ไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าที่นี่ต้องเสียค่าเข้าชมเท่าไหร่ เลยไม่รู้ว่าภาษาเยอรมันที่ติดไว้ อันไหนคือราคาที่ต้องจ่าย คุณแหม่มคนนี้เลยทำท่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ บอกให้ถอดแว่นออก ฉันก็เลยถอดออกแบบงงๆ ว่ามันเกี่ยวกันตรงไหนล่ะเนี่ย


อ้าว! พอถอดออกมาเท่านั้นแหละ เลนส์ที่แว่นมันมืดตึ๊ดตื๋อจริงๆ แหละ



....โธ่!!! ใครจะไปคิดล่ะคะว่า เจ้าเลนส์แว่นสายตาที่เวลาอยู่กลางแจ้งจะปรับสีตามปริมาณแสงยูวีให้เป็นแว่นกันแดดอัตโนมัติ แต่พอกลับเข้ามาข้างในตัวอาคาร มันจะยังไม่ทันได้ปรับสีลดลงให้เป็นเลนส์ใสตามปรกติ เลยทำให้คุณแหม่มไม่พอใจ คงนึกว่ายายกะเหรี่ยงคนนี้เซ่อซ่าน่าดู



ท่าทางอันเงอะงะ ทำให้แหม่มต้องถามว่าเป็นนักศึกษารึเปล่า ...แหม!!! คำถามนี้เลยทำให้ไม่เอาสีหน้าท่าทางเธอมาเป็นอารมณ์ให้เสียบรรยากาศ ...ราคาค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 7.5 ยูโร ถือว่าแพงมากเลยเมื่อดูเทียบกับสถานที่ภายนอกซึ่งเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์เล็กๆ มิน่าเล่าตอนหาข้อมูลทางเน็ต จึงไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงด้านในพิพิธภัณฑ์นี่สักเท่าไหร่ เป็นเพราะราคาแพงนี่เองที่ทำให้ไม่เข้าไปชมกัน ....ตอนแรกที่ได้ฟังราคา ฉันก็คิดว่าจะถอยดีรึเปล่า แต่ด้วยความที่มาแล้วทั้งที จากที่คิดว่าตั้งสี่ร้อยบาทเชียวก็แปรเปลี่ยนเป็นแค่สี่ร้อยเองน่ะ ยอมตัดใจจ่ายแต่โดยดี



แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ ที่นี่ถึงจะเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แต่มีเรื่องราวให้ศึกษาเพื่อทราบร่องรอยของประวัติศาสตร์อยู่มากทีเดียว ไม่แปลกใจว่าทำไมค่าเข้าชมถึงแพงนัก เขาทำได้ดีมากเลยค่ะ ตั้งแต่ทางเดินเข้าซึ่งต้องใช้บัตรเข้าชมที่เป็นกระดาษบาร์โค้ด ถือเป็น Key Motion เสียบเข้าไปในเครื่อง (หาวิธีการเข้าไปอยู่นานกว่าจะเดาได้) เข้ามาด่านแรกจะเป็นวีดิทัศน์สามมิติบอกเล่าเรื่องราวของ Hallstatt




ด้านล่างของภาพบนขวา มีตัวเลขบอกถึงลำดับประชากรอยู่บ้านไหนไว้ด้วย



ภาพซ้ายมือเป็นการจำลองทางเข้าเหมืองเกลือ



ภาพเขียนในพิพิธภัณฑ์เปรียบเทียบกับรูปปัจจุบันที่ถ่ายมา


ห้องต่างๆ จะมีของโบราณตั้งแต่สมัยมนุษย์ยุคแรกไล่มาแต่ละยุค จำลองเหตุการณ์ เรื่องราวความเป็นมา Hallstatt เป็นเมืองที่มั่งคั่งตั้งแต่แรกจากการทำเหมืองเกลือแม้แต่ในยุคของชนเผ่าเคลต์และเผ่าอิลลีเรีย ตลอดถึงยุคเหล็กช่วงแรก ก่อนคริสตกาลได้รับการขนานนามว่า "ยุคฮาลซ์ชตัทท์"



ในปัจจุบัน เมืองนี้ได้รับฉายาเป็น "Pearl of Austria" และเป็นหนึ่งใน UNESCO World Heritage ด้านวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997....ถึงตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเสียดายเงินค่าเข้าชมเลยค่ะ ไม่น่าเชื่อด้วยซ้ำว่าฉันจะใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แห่งนี้นานถึงชั่วโมงกว่า



หลังจากเสร็จสิ้นการชมพิพิธภัณฑ์แล้วฉันก็เดินชมหมู่บ้านอีกหลายรอบ หมู่บ้านเล็กจริงๆ เดินข้างบนแล้วก็เปลี่ยนเป็นด้านล่างอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย



สังเกตดูจะเห็นว่าหมู่บ้านนี้มีเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง คือ การปลูกต้นแอ๊ปเปิ้ลให้ติดชิดกับตัวบ้าน แล้วก็ค่อยๆ ดัดให้ทุกกิ่งก้านแนบไปกับตัวบ้านด้วย ทั้งหมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยศิลปะของไม้ดัด เสียดายที่ไปในช่วงที่มีแต่กิ่งก้าน จึงไม่ได้เห็นสีเขียวแดงของใบและผล



รู้สึกตัวว่าหิวอีกทีก็เที่ยงครึ่งแล้วค่ะ ฉันเห็นร้านไก่ย่างอยู่ร้านหนึ่งซึ่งในเน็ตเคยมีคนโพสต์ไว้ว่าอร่อย เลยตั้งใจจะลองชิมดู ขณะนั้นที่ร้านมีลูกค้าอยู่หลายคน สาวคนขายก็ท่าทางใจดี พอเข้าไปบอกว่าจะเอาไก่ย่างเท่านั้นแหละ เธอถามว่าทั้งตัวเลยรึเปล่า เล่นเอาฉันหัวเราะแหะๆ บอกว่าไม่ไหวล่ะค่ะขอแค่ครึ่งตัวละกัน ราคาครึ่งตัว 3.5 ยูโร น้ำแร่ 1.5 ยูโร (วันนี้ลืมหยิบน้ำเปล่าติดตัวมา เลยต้องเสียเงินซื้ออีก)




รสชาติไก่ก็ไม่เลวค่ะ หนังไก่ออกจะเค็มๆ แต่ไม่กรอบ ไม่ต้องเติมซอสอะไรให้วุ่นวาย ระหว่างนั้นก็มีคู่รักคนไทยเข้ามาสั่งฮ็อทด็อกพร้อมกับไก่ครึ่งตัว ฉันไม่ได้ทักทายเนื่องจากว่าเห็นคุยกันกระจุ๋งกระจิ๋งเกรงจะเป็นการขัดคออย่างไม่สมควร



ตอนเดินถนนด้านบนเพื่อกลับไปทาง Marktplatz ได้ยินเสียงกระแอม ฉันจึงเหลียวไปมอง ปรากฏว่าเจอคุณลุงคนหนึ่งกำลังตัดแต่งต้นไม้ที่ติดผนังบ้านอยู่ ไม่รู้ว่าแกจะกระแอมเรียกรึเปล่า ก็เลยทักทายพร้อมกับขออนุญาตถ่ายรูปไว้หน่อย หากคุณลุงตั้งใจเรียก จะได้ไม่เสียน้ำใจ



คุณลุงกำลังตัดแต่งต้นไม้



สุสานประจำเมือง


ฉันเดินกระทั่งถึงสุสานของเมือง ก็หยุดไว้อาลัยให้สักพัก ไม่ได้หยุดแวะดูห้องเก็บศพไบน์เฮาส์ (the Beinhaus หรือ Bone house) ซึ่งมีหัวกะโหลกนับร้อยๆ หัวที่ล้วนมีชื่อของเจ้าของสลักติดไว้อย่างเป็นระเบียบ



.....ตั้งใจจะเดินขึ้นเขาต่อ เส้นทางที่ไปเหมืองเกลือได้น่ะค่ะ แม้ว่าตอนนี้เหมืองเกลือจะปิด แต่เขาว่าสามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้ ทางค่อนข้างชันแต่ทำราวจับและขั้นบันไดเว้นเป็นระยะไว้ เดินแล้วก็ต้องนั่งพักดื่มน้ำเป็นระยะ เดินไปได้ค่อนชั่วโมง ชักจะไม่แน่ใจว่าถูกทางรึเปล่า เพราะฉันไม่ได้เริ่มต้นจากจุดที่ควรจะขึ้นตรง Marktplatz แต่เลือกเดินขึ้นทางนี้แทน สุดท้ายกลัวหลงไปไหนก็ไม่รู้ ประกอบกับเห็นข้างบนมีคนงานก่อสร้างอยู่ด้วย ก็เลยตัดสินใจหันหลังกลับมาเดินเล่นข้างล่างดีกว่า




มองต่างมุม ... แม้แตกต่างแต่งดงาม




มุมที่ร้างห่างตาคน



เจอวิวที่เป็นมุม "เมืองในฝัน" ที่นำไปเป็นโปสการ์ด


เดินจนบ่ายสามก็ชักจะล้า เพราะเดินทั้งวันติดต่อกันมาสามวันแล้ว เลยหันหลังกลับเพื่อไปพักผ่อน ผ่านร้านขายของที่ระลึกติดกับที่พัก แวะเข้าไปดูเห็นมีโปสการ์ดขาย ถามราคาจากคุณป้าคนขายพร้อมกับขอซื้อแสตมป์ด้วย คุณป้าถามว่าจะส่งไปที่ไหน ไทยแลนด์เหรอ


.....โอ้โฮ!!! คุณป้าตาถึงนะเนี่ย ไม่มองฉันเป็นหมวย เป็นญี่ปุ่น แบบคนอื่น สงสัยคนไทยจะมาอุดหนุนร้านคุณป้ากันเยอะ ฉันยังแซวคุณป้าเลยว่า อีกหน่อยคุณป้าอิโลนา (Ilona) คงจะพูดภาษาไทยได้แน่ๆ เล่นเอาคุณป้าหัวฉันะลั่น ฉันเลยบอกว่าถ้ามีโอกาสจะเขียนถึงคุณป้าในบล็อกด้วย เธอยิ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่



Ilona's shop


กลับมานั่งเขียนโปสการ์ดถึงครอบครัวและคนใกล้ชิดอยู่ครู่ใหญ่ จึงเริ่มแพ็คของใส่กระเป๋าสำหรับเดินทางวันพรุ่งนี้แต่เนิ่นๆ หลังจากนั้น ก็มีเวลาว่างมากพอที่จะนั่งชมวิวริมระเบียง



หลายๆ คนอาจจะมีความเห็นว่าที่นี่เป็นเมืองเล็ก ไม่น่าจะใช้เวลาเกินหนึ่งคืน แต่สำหรับความคิดของฉันที่เลือกพักที่นี่ถึง 2 คืน รู้ว่าตัดสินใจไม่ผิด ยิ่งเมืองเงียบสงบยิ่งทำให้ทุกอย่างเดินช้าลง สามารถทิ้งความคิดอันวุ่นวายทุกอย่างไว้เบื้องหลัง จนพูดได้เลยว่านี่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่แท้จริง




ฉันนั่งชมวิวทิวทัศน์ริมระเบียงจนกระทั่งหกโมงครึ่ง จึงลงไปที่ห้องอาหาร ...ความคึกคักของเมื่อเย็นวานนี้จางหายไปหมด ทิ้งไว้แต่บรรยากาศโรแมนติกแบบเงียบเหงา ฉันลงไปเป็นคนแรกและคนเดียวในเวลานั้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่นี่นิยมพักเพียงคืนเดียว เนื่องจากเป็นเมืองเล็กมาก อีกทั้งยังไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยวด้วย



ความอร่อยจากเมนูปลาเทราต์ย่างเกลือเมื่อคืนนี้ยังไม่จาง ฉันจึงสั่งซ้ำเมนูเดิมเพื่อสำรวจรสชาติอีกครั้งหนึ่ง แต่เครื่องดื่มนั้น รู้แล้วว่าจะต้องสั่งชนิดไหนอย่างไร จึงไม่หลงสั่งเบียร์แก้วจิ๋วอีก


...ขณะนั่งรออาหาร ก็หยิบเอกสารตารางโปรแกรมเที่ยวที่เตรียมไว้สำหรับประเทศเช็กมาอ่าน ระหว่างนั้น ก็มีนักท่องเที่ยวหญิงสองคน เดินเข้ามาในห้องอาหาร ฉันรีบทักทายขึ้นก่อนว่า ดีใจที่ทั้งสองคนมานั่งเป็นเพื่อน เพราะวันนี้ห้องอาหารเงียบเหงามาก



ทั้งคู่ทักทายตอบโดยเอ่ยขอโทษก่อน เนื่องจากไม่ทราบว่าฉันพูดภาษาอังกฤษได้ คนตัวเล็กเชิญชวนให้ฉันไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่ฉันเกรงใจ เนื่องจากเกรงว่าทั้งคู่จะเสียความเป็นส่วนตัว เธอจึงบอกว่าไม่เป็นไร คงจะพอดูท่าทางออกว่าเกรงใจจริงๆ



ที่จริงฉันพบกับทั้งคู่ตั้งแต่ตอนเข้าเช็คอินวันแรก แต่ไม่ได้ทักทายกัน ถ้าสังเกตจะเห็นในภาพหลายรูปที่ฉันถ่ายมา มีหญิงสาวสองคนนี้ติดอยู่บ้าง ทั้งยังไปเจอกันที่ Tourist Information ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หลังจากที่ทั้งคู่สั่งอาหารเสร็จ เราก็คุยกันข้ามโต๊ะ ฉันจึงทราบว่าทั้งคู่เป็นแม่ลูกกัน โดยที่คนตัวเล็กเป็นแม่ และคนตัวโตเป็นลูก ดูไม่ออกเลยนะคะ ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเพื่อนกันเสียอีก เพราะคนเป็นแม่ ดูอย่างไรก็ไม่แก่ถึงขนาดมีลูกโตขนาดนี้



เราคุยกันโดยไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของกันเลย ทั้งคู่เป็นชาวอเมริกัน อยู่รัฐฟลอริดา แหม่มลูกตั้งคำถามด้วยความสนใจมากว่า ฉันคิดอย่างไรจึงมาเที่ยวคนเดียว ขณะที่แหม่มแม่ถามว่าฉันวางแผนเที่ยวเองทั้งทริปเลยเหรอ ไม่ได้ซื้อทัวร์มาใช่มั้ย บอกว่าลูกสาวอยากมาเที่ยวเองคนเดียวเหมือนกัน แต่คนเป็นแม่ห่วง จึงมาเที่ยวเป็นเพื่อน ฉันก็ตอบไปตามตรงว่า มีแต่เพื่อนที่ไม่ว่างตรงกัน เจอโรคเลื่อนอยู่บ่อยๆ ขืนรอไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ได้เที่ยวสักที


...ชีวิตบางทีก็ไม่สามารถรออะไรได้ขนาดนั้น เวลาเป็นของมีค่านัก...


การมาเที่ยวคนเดียวจะทำให้ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น กล้าขึ้น และรู้จักตัดสินใจกับอะไรหลายๆ อย่าง



ฉันบอกว่าเมื่อคนฉันทำงานหนักแล้ว ต้องรู้จักพักผ่อนและให้รางวัลกับชีวิตบ้าง เพราะบางคนทำงานหนักทั้งชีวิต แต่ไม่เคยได้ใช้เงินที่หาได้อย่างมีความสุขและเหมาะสมเลย ซึ่งแหม่มคนลูกก็เห็นด้วย เธอเองลาออกจากงานมาแล้วเปลี่ยนอาชีพเป็นเซลส์ขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรายได้ค่อนข้างงาม จึงอยากหาโอกาสมาเที่ยว เพราะเริ่มคิดได้ว่า เธอไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตถึงเมื่อไหร่ และจะได้ใช้เงินที่เธอหามารึเปล่า






ทั้งสองคนกล่าวชมฉันว่าพูดภาษาอังกฤษได้ดี ฉันขอบคุณ แต่ก็ท้วงว่าจริงๆ แล้วฉันยังมีปัญหาเรื่องการพูดอยู่มาก เพียงแค่สื่อสารได้ พูดไม่เก่งแต่ก็พยายาม .....try and try.....



คนไทยไม่ค่อยกล้าเที่ยวเมืองนอกเอง เพราะส่วนมากเอาปัญหาเรื่องภาษามาเป็นอุปสรรค ห่วงพูดไม่ถูก grammar ซึ่งฉันเองก็ยังมีปัญหาด้านนี้มากโขอยู่ แต่ไม่ค่อยกังวล ยิ่งไปประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ยิ่งดีใหญ่ ต่างคนต่างมั่วได้



แล้วแหม่มคนแม่ก็ถามฉันว่ารู้จัก Hallstatt ได้อย่างไร ฉันบอกว่าอ่านเจอจากในอินเตอร์เน็ต คนไทยมาเที่ยวที่นี่กันมากและไปเขียนไว้ตามเว็บบอร์ดต่างๆ แหม่มคนลูกบอกเสียดายมาคราวนี้โชคไม่ดีที่เหมืองเกลือและถ้ำน้ำแข็งปิด ฉันบอกว่านั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉัน เพราะที่นี่ฉันสามารถมีความสุขได้ในทุกแห่ง สถานที่งดงามและน่าประทับใจมาก ซึ่งเธอก็เห็นด้วย โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์ที่ฉันเห็นตรงกันว่ายอดเยี่ยมทีเดียว



"มาเที่ยวคนเดียวอย่างนี้ รู้สึกกลัวหรือกังวลบ้างไหม?" แหม่มคนแม่ถามด้วยห่วงใย


ฉันจึงบอกไปตามจริงว่า This is my first time.......กังวลมาก เพราะนี่เป็นการเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวครั้งแรก แถมมาไกลอีกต่างหาก เรื่องนี้...อย่าว่าแต่คนในครอบครัวจะเป็นห่วงเลยค่ะ แม้แต่เพื่อนร่วมงานหรือผู้ใหญ่หลายท่าน ก็ยังเอ่ยปากด้วยความสงสัยว่า ทำไมจึงช่างกล้าหาญชาญชัยมาเที่ยวคนเดียวเช่นนี้



คืนนั้น ฉันลาจากกันโดยแหม่มคนแม่เข้ามาอวยพรว่าขอให้ปลอดภัยตลอดการเดินทางนะ ...เล่นเอาน้ำตาปริ่มๆ เหมือนกันค่ะ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกห่วงใยตามสัญชาตญาณของคนเป็นแม่ เท่าที่ดูก็รู้ว่าเธอมาเที่ยวเป็นเพื่อนลูกสาวเพราะความเป็นห่วงนี่เอง



พรุ่งนี้เธอทั้งคู่จะเดินทางไปเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์ต่อ ส่วนฉันจะข้ามไปประเทศเช็ก โดยเที่ยวที่ Cesky Krumlov ก่อนเข้าปราก ฉันเลยได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าของโรงแรม เรื่องที่ขณะนี้ไม่มีเรือให้บริการว่าเป็นเพราะพายุเข้าเมื่อครึ่งเดือนก่อน ทำให้เสาไฟฟ้าหลายต้นล้มทับรางรถไฟเสียหาย โดยคาดว่าน่าจะซ่อมเสร็จสิ้นเดือนเมษา ....เจ้าของ Mr.Sepp Zauner เองก็เป็นคนคุยสนุก บอกว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะไปเล่นสกีบนเขาแต่เช้า ดังนั้น ฉันสามารถลงไปกินอาหารเช้าได้ก่อนแปดโมง ไม่ต้องห่วงเรื่องต้องเช็คเอ๊าท์ในตอนเช้า ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาเช้า เหลือฉันไปนั่งในห้องอาหารเพียงคนเดียว แหม่มแม่ลูกออกเดินทางตั้งแต่ก่อนเจ็ดโมงเช้า



....จนถึงขณะนี้ฉันก็ยังรู้สึกคิดถึงเธอทั้งคู่กับมิตรภาพในช่วงสั้นๆ อยู่ และคงไม่เลือนหายไปจากความทรงจำดีดี ณ ที่แห่งนี้อย่างแน่นอน

SmileySmileySmiley






Create Date : 31 มกราคม 2554
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2554 23:43:49 น. 7 comments
Counter : 1184 Pageviews.

 

สวยมากครับ ยังไม่มีโอกาสไปแถวยุโรป


มาขอศึกษาดูก่อนครับ


โดย: ethic&philosophy วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:0:28:49 น.  

 
วิวเหมือนภาพวาดเลยนะคะ ขอบคุณที่นำมาให้ชม


โดย: Louis_v วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:2:03:13 น.  

 
ภาพสวยนะคะ วิวแบบนี้สบายตามากเลยค่ะ


โดย: auau_py วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:7:21:53 น.  

 
สวยมากๆเลยค่ะ เห็นเพื่อนๆไปกันหลายคนแล้ว อยากไปบ้างจัง ^^


โดย: Panino วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:16:33:58 น.  

 
ถ่ายภาพได้สวยมาก ๆ ๆ ๆ เลยค่ะ


โดย: Maeboon (Maeboon ) วันที่: 31 มกราคม 2554 เวลา:21:30:09 น.  

 
ขอบคุณ คุณ ethic&philosophy, คุณ Louis_v, คุณ auau_py, คุณ Panino และคุณ Maeboon ที่แวะมาทักทายกันนะคะ
Hallstatt เป็นเมืองเล็กๆ ที่หากมีโอกาส ก็น่าแวะไปเยือนสักครั้งค่ะ


โดย: แฮปปี้มีนา วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:23:49:02 น.  

 
ขอตามไปเที่ยวด้วยคนนะคะ
น่าไปมากๆเลยค่ะ
หวังว่าจะไปตามริยพี่บ้างค่ะ


โดย: Mint IP: 171.6.213.185 วันที่: 1 พฤษภาคม 2555 เวลา:18:56:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แฮปปี้มีนา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]









ทำงานในองค์กรภาครัฐ ใช้เวลาพักร้อนในแต่ละปีออกไปเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโลกใบนี้ตามลำพัง ...การออกไปเผชิญโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่จำเป็นต้องเก่งภาษามากมายขอแค่มีใจที่พร้อมจะเปิดรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างเดินทาง ทั้งสุข สนุก ตื่นเต้น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น จะทำให้เรามีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่มีในหนังสือท่องเที่ยวเล่มไหนสอนไว้


New Comments
Group Blog
 
 
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
31 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แฮปปี้มีนา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.