เล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวในต่างประเทศ

Vienna ที่ฉันสัมผัส


เช้าวันสุดท้ายก่อนออกเดินทางจากประเทศเช็ก ฉันตื่นเช้าเป็นพิเศษ ก่อนเจ็ดโมงเช้าก็ออกไปเดินเก็บตกบริเวณ Wenceslas Square ซึ่งเป็นย่านที่มีผู้คนคึกคัก แต่ในเช้าวันนี้ฝนยังตกปรอยๆ อยู่ ท้องฟ้าไม่สดใสเท่าที่ควร ยังคงสลัวอยู่ ทำให้เห็นผู้คนมาเดินในยามเช้าค่อนข้างน้อย



บริเวณ Wenceslas Square


บริเวณนี้ทำให้นึกถึงพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 เพราะมีรูปปั้นของ St.Wenceslas ทรงม้าอยู่เกาะกลางถนน ถนนเส้นนี้คล้ายๆ จะเป็นถนนคนเดิน สองฟากฝั่งเป็นอาคารในสไตล์ Art Nouveau สวยงามและทันสมัย



เบื้องหลัง Wenceslas Square ก็คือ National Museum ซึ่งดูใหญ่โตและสวยงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Neo-Renaissance ฉันใช้เวลาเดินดูและถ่ายรูปบริเวณนี้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วก็เดินสำรวจบริเวณใกล้เคียงอีกเล็กน้อยจึงเดินกลับที่พัก




บริเวณ Wenceslas Square และ National Museum


กลับมาจัดการกับอาหารเช้าเสร็จ ฉันก็รีบกลับขึ้นไปสำรวจข้าวของให้เรียบร้อยก่อนที่จะลงมาเช็คเอ๊าท์



.....ที่ล็อบบี้ พี่แต๋วกับลาญ่ามานั่งทานกาแฟรออยู่แล้วค่ะ เกรงใจพี่เขามากเลยนะคะที่มาเทคแคร์ฉันอย่างเต็มที่เช่นนี้ เรานั่งคุยกันสักพัก ฉันก็สำรวจใบเสร็จค่าที่พัก ปรากฏว่าไม่มีค่าโทรศัพท์ในวันแรกที่ใช้โทรหาพี่แต๋วเกือบครึ่งชั่วโมงรวมอยู่ด้วย จึงย้อนกลับไปที่เคาน์เตอร์บอกให้พนักงานช่วยเช็คใหม่ แต่หญิงสาวประจำเคาน์เตอร์บอกว่าไม่มีบิลค่าโทรศัพท์ให้เรียกเก็บ นี่แสดงว่าพนักงานชายคนที่ฉันเช็คอินวันแรกนั่นไม่ได้ลงบิลไว้ ใจดีอย่างที่คิดไว้เลยนะคะ ไม่งั้นคงจะต้องเสียอีกหลายตังค์แน่เลย



ออกจากโรงแรมแล้ว พี่แต๋วให้ลาญ่าขับรถชมเมืองอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะขับไปส่งที่สถานีรถไฟ เดินหาชานชาลากันอยู่นานเหมือนกัน เพราะเรามองหาป้ายแล้วไม่พบ เลยต้องดูตัวหนังสือที่อยู่บนขบวนรถไฟแทน



ฉันบอกลาพี่แต๋ว และขอบคุณในความกรุณาที่ดูแลฉันเป็นอย่างดีตลอดสองวันที่ผ่านมา



รถไฟออกจากชานชาลาสถานี Praha Holesovice ราวสิบโมงครึ่ง และจะถึงสถานี Wien Sudbahnhof ราว 14.30 น. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง



การเดินทางข้ามประเทศจากเช็กไปยังออสเตรียนั้น นอกจากจะเดินทางโดยรถไฟนี่แล้ว ยังสามารถเดินทางโดยรถยนต์ได้อีกด้วย จากการหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตพบว่ามีรถบัสของ Student Agency ที่ฉันเคยนั่งจากครุมลอฟเข้าปราก เปิดเส้นทางวิ่งระหว่างประเทศเช็กกับประเทศอื่นในยุโรปด้วย แถมราคายังถูกกว่านั่งรถไฟหลายเท่าตัว เช่น รถบัสวิ่งจากปรากไปเวียนนา ค่าโดยสารเพียงแค่ 16 ยูโรเท่านั้น (ค่ารถไฟ 33.7 ยูโร + ค่าจอง 7 ยูโร) ใช้เวลาในการเดินทาง ประมาณ 4.5 ชั่วโมง มากกว่าเดินทางโดยรถไฟแค่ครึ่งชั่วโมง แต่สามารถประหยัดค่าโดยสารมากกว่ายี่สิบยูโรเชียวค่ะ



บนรถไฟก็มีคนเข็นอาหารและเครื่องดื่มมาขายนะคะ ใกล้ๆ เที่ยง ฉันสั่งแค่กาแฟร้อนมาดับหนาว ดื่มคู่กับช็อกโกแลตที่ยังมีติดตัวมาจากครุมลอฟ ....ซื้อตุนไว้เยอะค่ะ แถมก่อนจากกัน พี่แต๋วยังมอบช็อกโกแลตสอดไส้เชอรี่ผสมเหล้ารัมมาให้อีกด้วย งานนี้เลยได้ลิ้มรสช็อกโกแลตเต็มที่



รถไฟเข้าเทียบสถานีปลายทางที่ Wien Sudbahnhof ประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง ฉันมีเงินยูโรติดกระเป๋าไม่มากพอที่จะจับจ่ายอะไรที่สถานีได้ เลยต้องมองหาตู้เอทีเอ็มเพื่อถอนเงินยูโรมาใช้ก่อน





ฉันแวะไปซื้อบัตรเวียนนาการ์ด 72 ชั่วโมง ราคา 18.5 ยูโร เพื่อใช้ในการขึ้นรถสาธารณะฟรี และเป็นส่วนลดในการเข้าชมสถานที่ต่างๆ ได้ด้วย



เวลาที่เดินทางเปลี่ยนเมืองนี่ อดรู้สึกว่าตัวเองเป็นบ้านนอกเข้ากรุงไม่ได้ เพราะมาถึงทีไรก็จะทำหน้าตาเหรอหรา และงงว่าจะเข้า-ออกทางไหนต่อไปดี ดูเบ๊อะบ๊ะเฟอะฟะยังไงชอบกล ถึงแม้ว่าจะเตรียมข้อมูลการเดินทางไว้แล้วก็ตามที


ฉันยังต้องกางคู่มือที่พิมพ์มาว่าต้องนั่งรถรางสายอะไร เพื่อไปลงหน้าที่พัก



แล้วก็อย่างเคยค่ะ..... คือนั่งรถผิดฝั่งเหมือนเดิมเป๊ะเลย จนเอะใจว่าทำไมมันไกลจากสถานีรถไฟนัก ทั้งที่จองโรงแรมไม่ห่างจากสถานีรถไฟสักเท่าใด เลยต้องถามคนบนรถรางชี้ให้เขาดูจุดที่จะไป เขาก็เลยบอกว่า


“ต้องนั่งรถฝั่งตรงข้ามนะครับเจ๊”



ทุลักทุเลจริงๆ ค่ะ เพราะต้องยกกระเป๋าขึ้น-ลงจากแทรมหรือรถรางอยู่หลายรอบกว่าจะถึงที่พัก คราวนี้น่าจะหนักกว่า 16 กิโลตอนที่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ แล้วล่ะ เพราะพี่แต๋วฝากไวน์ขาวของประเทศเช็กมาให้ Big Boss ของฉันขวดนึง ก็เลยหาวิธีแพ็คใส่กระเป๋ามาโดยใช้ผ้าขนหนูและเสื้อกันหนาวที่ไม่ได้ใส่ ห่อหุ้มเอาไว้อย่างแน่นหนากันขวดแตก ก่อนที่จะแพ็คลงกระเป๋าเดินทาง ..ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่นะคะ



Kolbeck Hotel เป็นโรงแรมที่ฉันจองมาสำหรับการเที่ยวและพักที่เวียนนารวม 3 คืน ได้ราคาถูกที่สุดในทริป คือคืนละ 44 ยูโร รวมอาหารเช้า สภาพห้องพักก็ตามราคาค่ะ



ห้องเดี่ยวที่ฉันจองมานั้น อยู่ถึงชั้น 3 แล้วก็ไม่มีลิฟท์ (อีกแล้ว) งานนี้อยากจะร้องไห้โฮๆ จริงๆ เพราะต้องค่อยๆ ยกกระเป๋าขึ้นบันไดแบบถัดทีละขั้น แล้วบันไดที่นี่ก็มีช่วงที่เป็นบันไดวนด้วย



...ลำบากจริงๆ ค่ะงานนี้...



สภาพห้องนั้น มีลักษณะเหมือนกับหอพักหรืออพาร์ตเม้นท์บ้านเรามากกว่าโรงแรม เตียงนอนก็นอนไม่ค่อยสบายเลยค่ะ แต่ดีตรงที่ใช้ผ้าห่มได้สองผืนนี่แหละ ตู้เสื้อผ้าที่เห็นนั้นประตูเปิดปิดทำด้วยพีวีซี ใช้มือเลื่อนไปมา ภาพทีวีด้านล่างขวามือนั้นเขาติดไว้บนผนังกำแพงห้องค่ะ ไม่รู้ว่ากลัวแขกที่เข้าพักจะทำเสียหรืออย่างไร จึงต้องไปแขวนอยู่ข้างบนโน่น ดูยากจัง แถมจอยังแค่ 14 นิ้วเอง เล็กมากเลยนะคะ


...ที่นี่จะมีดีก็ตรงอาหารเช้า ที่เรียกว่าดีใช้ได้ก็เพราะมีให้เลือกเยอะหน่อย...


ส่วนที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็นกลิ่นบุหรี่ที่ลอดเข้ามาตามร่องประตูห้อง เข้าใจว่าผู้เข้าพักบางคนคงจะได้ห้องที่ห้ามสูบบุหรี่ก็เลยมาอัดสูบกันข้างนอก ยิ่งตอนกลางดึก บางคืนฉันอึดอัดมากเพราะควันเข้ามาเยอะจนรู้สึกเกือบหายใจไม่ออก จะเปลี่ยนโรงแรมก็ขี้เกียจขนย้ายของ เลยต้องทนๆ ไป



หลังจากที่ฉันเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งใจจะตระเวนเที่ยวในบริเวณใกล้ๆ ที่พักก่อน ฝนยังตกอยู่ค่ะ เลยยืนคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพนักงานของโรงแรมเรื่องดินฟ้าอากาศ เขาก็บ่นให้ฟังเหมือนกันว่า เดี๋ยวนี้อากาศในเวียนนาแปรปรวนมาก อย่างเช่นตอนนี้ไม่ใช่หน้าฝน ก็มีฝนตกบ่อยๆ



เรื่องภาวะโลกร้อนที่ทำให้อากาศแปรปรวนนี่ มีผลตกกระทบกับทุกภูมิภาคของโลกเราเลยนะคะ เราทุกคนก็มีส่วนทำให้โลกใบนี้เปลี่ยนแปลง ดังนั้น ถ้าจะบอกให้ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก็คงจะไม่หนักหนาอะไรนัก



ฉันขี้เกียจรอให้ฝนหยุดตก ก็เลยออกไปเที่ยวทั้งอย่างนั้น เจ้าโรคขี้เกียจถือร่มเริ่มกลับมาเยือน จึงแค่สวมหมวกออกไปเที่ยว ก่อนออกก็หยิบแผนที่ที่วางตามเคาน์เตอร์ในโรงแรมติดมือไปด้วย เป็นแผนที่ฉบับแจกฟรี ซึ่งจะมีวางไว้บริการแก่นักท่องเที่ยว แต่คุณภาพของกระดาษไม่สู้จะดีเท่าไหร่ ฉันตั้งใจแล้วว่าจะเดินไปชม Belvedere Palace พระราชวังฤดูร้อนก่อน เพราะอยู่ในใกล้สถานีรถไฟซึ่งไม่ห่างจากที่พักนัก




Belvedere Palace



ทริปเที่ยวยุโรปคนเดียวของฉันเนี่ย ต้องบอกว่าเป็นทริปของคนจอมหลงทางเลยค่ะ เพราะนั่งแทรมเลยไปไหนต่อไหนจนต้องนั่งย้อนกลับแล้วก็เดินหาพระราชวัง เข้าไปถามคนตามท้องถนนก็ชี้ไปไหนก็ไม่รู้ ฉันจึงเดินมั่วไปหมด



นี่คงเป็นเพราะใช้จีพีเอสที่ติดตัวมาด้วยไม่ค่อยเป็น กว่าฉันจะหาเจอก็หกโมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่ปิดทำการพอดี เลยได้แต่เก็บบรรยากาศภายนอกพร้อมกับดอกทิวลิปอันสวยงาม



กลับจากเดินเก็บบรรยากาศเล็กๆ น้อยๆ ในวันแรกของเวียนนาแล้ว ฉันก็กลับไปตั้งหลักแถวโรงแรมที่พัก เพราะเห็นว่าละแวกโรงแรมนั้น มีชอปปิ้งมอลล์อยู่ด้วย ตั้งใจจะไปซื้อผลไม้มาไว้กินเล่นรองท้องเวลาเดินเที่ยววันพรุ่งนี้ แล้วก็เลยหาอาหารเย็นกินในซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย ก็ไม่ได้ประหยัดตังค์เท่าไหร่หรอกนะคะ สุดท้ายก็เลือกอาหารจากรูปภาพ ฉันจึงได้อาหารแบบฟาสต์ฟู๊ดส์ซึ่งรสชาติไม่ค่อยถูกใจนัก เพราะพนักงานขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เวลาเธอถามอะไรก็ฟังไม่รู้เรื่อง ได้แต่พยักหน้ากับสั่นหน้าเท่านั้นเองค่ะ มื้อนี้ฉันก็เลยได้อาหารมานั่งกินแบบไม่เอ็นจอยปากนัก



Columbus Shopping Mall


ที่จริงแถวชอปปิ้งมอลล์ Columbus นี่เป็นถนนคนเดินด้วยนะคะ มีร้านอาหารและร้านค้าทั่วไปให้เดินชอปปิ้งได้มากพอสมควร ฉันแค่ เดินสำรวจแบบวินโดว์ชอปปิ้งตามเคย ร้านอาหารส่วนมากจะเป็นร้านพิซซ่า และแฮมเบอร์เกอร์ซะมากกว่าอย่างอื่น บางร้านพอเข้าไปสำรวจแล้วดูหน้าตา อาหารไม่ค่อยสมกับราคา ฉันก็บอกลาออกมาดื้อๆ เหมือนกัน



วันแรกของเวียนนา ฉันจึงได้แค่วนเวียนอยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก เพลียจากการเดินทางบ้างเล็กน้อย ยังมีเวลาที่เวียนนาอีกสองคืน พรุ่งนี้ค่อยไปตะลุยเที่ยวต่อค่ะ




วันที่สองของเวียนนา ฉันแพลนไว้ว่าจะไปเที่ยวในเมืองซึ่งเป็นเขตเมืองเก่ามีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ติดๆ กันเต็มไปหมด จนเกือบจะเป็นวงกลมแห่งการท่องเที่ยวเมืองเวียนนาเลยค่ะ



ออกจากที่พักก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก่อน ผ่านตลาดสดยามเช้า มีของขายทั้งพืช ผัก ผลไม้ ต้นไม้ประดับนานาชนิด




...มาเที่ยวเองก็ดีตรงนี้ล่ะค่ะ ได้สัมผัสกับชีวิตของคนท้องถิ่นด้วย นึกจะหยุดตรงไหนก็ได้ แต่ถ้าไปเที่ยวกับทัวร์เราคงใช้เวลากับเรื่องพวกนี้ไม่ได้เลย เพราะจะทำให้คนอื่นต้องมาคอยเราด้วย



ฉันไม่ลืมที่จะแวะธนาคารแห่งหนึ่ง เพราะต้องเข้าไปแลกเงินดอลล่าร์ที่เจ้านายคนหนึ่งให้ติดตัวมาเที่ยว แถมด้วยเงินเช็กคราวน์ที่ยังเหลืออยู่ในกระเป๋าอีกจำนวนหนึ่ง พนักงานที่นี่ให้บริการดีนะคะ รวดเร็วทันใจดีมาก มีค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนเล็กน้อยค่ะ



เสร็จธุระเรื่องเงินๆ ทองๆ แล้วก็กางแผนที่เพื่อหาเส้นทางรถไฟ ใต้ดินสายสีแดง U1 ที่จะไป Stephansplatz นั่งไปแค่ 5 สถานีก็ถึงแล้วค่ะ พอเดินขึ้นมาจากสถานีก็เห็นมหาวิหาร Stephandom ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเลยค่ะ มองไปรอบๆ ปรากฏว่าเต็มไปด้วยร้านค้าประเภทแบรนด์เนมสารพัดยี่ห้ออยู่รายรอบ ฉันรู้สึกว่าแปลกดีเหมือนกันที่ความเก่ากับความใหม่อยู่ด้วยกันได้อย่างไม่ขัดแย้งกัน และยังมีผู้คนจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเที่ยวชมกันมากมาย



นี่อาจจะเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของเวียนนาก็ได้นะคะ


ที่ด้านหน้าของมหาวิหาร Stephandom มีชายหนุ่มหลายคนแต่งตัวเลียนแบบโมสาร์ต ยืนเรียกลูกค้าเพื่อขายตั๋วคอนเสิร์ตอยู่



นึกเสียดายเหมือนกัน ที่ตัวเองอุตส่าห์มาถึงเมืองแห่งดนตรีคลาสสิค แต่กลับไม่ได้ไปสัมผัสคอนเสิร์ตของที่นี่เลย เหตุผลหลักๆ คือขี้เกียจนำชุดกระโปรงและรองเท้าที่เหมาะสมกับการเข้าชมแพ็คกระเป๋ามาด้วย ก็เลยตัดความต้องการนี้ออกจากโปรแกรม






มหาวิหาร Stephandom ถือเป็นสัญลักษณ์ของเวียนนา และเป็นศูนย์กลางเขตเมืองเก่าที่สร้างเสร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1435 สถาปัตยกรรมทั้งด้านนอกและด้านในมีความละเอียดลออและสง่างามมาก



บนหลังคาโบสถ์จะมีกระเบื้องที่มีสัญลักษณ์อินทรีคู่ของราชวงศ์ฮับสบูร์กอยู่ด้วย ซึ่งหลังคานี้เคยถูกไฟไหม้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ทุกรัฐในออสเตรียต่างร่วมใจกันสละเงินเพื่อก่อสร้างขึ้นมาใหม่



พระราชวังฮอฟบวร์กนี้ ฉันได้ชมเพียงแค่ด้านนอกเท่านั้น ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไปชมด้านในเพราะไม่ทราบว่าเป็นพระราชวัง ดูจากแผนที่แล้วเข้าใจว่าต้องเข้าอีกด้านหนึ่ง แต่แค่ชมภายนอกก็จะเห็นว่าเป็นกลุ่มอาคารใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่บริเวณนั้นไปมาก



พระราชวังแห่งนี้ เคยเป็นที่ประทับของราชสำนักฮับสบูร์กมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึงศตวรรษที่ 20




ระหว่างที่เดินเที่ยวบริเวณรอบๆ เมืองอยู่นี้ ฉันพบกลุ่มเด็กๆ น่ารักหลายกลุ่ม บางกลุ่มอายุไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำไป เข้าใจว่าน่าจะเป็นคุณครูพามาทัศนศึกษา เห็นแล้วอดปลื้มไม่ได้ค่ะ เพราะรู้สึกว่าเขาพยายามบอกเล่าและปลูกฝังเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ให้เด็กๆ ได้ซึมซับรับรู้ตั้งแต่วัยเยาว์



แม้ว่าการเดินเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ของฉันจะมีปัญหาเหมือนๆ เดิมคือ มักจะเดินผิดที่ผิดทาง วนไปวนมา แต่ก็ไม่น่าตกใจอะไรหรอกค่ะ เพราะถนนที่นี่แทบจะเรียกว่าทุกตรอกซอกซอยทะลุไปมาถึงกันได้หมด อาจจะอ้อมไปอ้อมมาเท่านั้นเอง




สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการเที่ยวชมเสมอก็คือความอิ่มเอมใจจากการได้ชมศิลปะอันสวยงามจากอาคารต่างๆ แม้ว่าฉันจะไม่มีความรู้ว่าชิ้นไหนเป็นศิลปะแบบไหน แต่การได้เห็นถึงฝีมือหรือไอเดียในการสร้างสรรค์ผลงานออกมา ก็คงจะบอกได้ว่าเป็นความโชคดีของชีวิตเลยค่ะ







ใกล้ๆ เที่ยง ฉันก็หยุดนั่งพักใน Burggarten ซึ่งมีรูปปั้นโมสาร์ตอยู่กลางสวน ในสวนนี้จะมีผู้คนหลากวัยมานั่งบนเก้าอี้กลางสวนเพื่อรับแดดกัน



ฉันเลือกนั่งใต้ต้นไม้ที่อยู่ในร่ม มองดูผู้คนเดินผ่านไปมา แล้วจึงหยิบผลแอปเปิ้ลสองลูกจากกระเป๋าขึ้นมากินพร้อมกับช็อกโกแลต ดื่มน้ำตามให้อิ่มเพื่อรองท้องขณะที่ไม่อยากหาร้านอาหารให้เสียเวลาเที่ยว ใจก็นึกว่าถ้าอยู่ที่เมืองไทยคงจะไม่มีโอกาสได้นั่งสบายๆ กินผลไม้ในสวน นั่งมองดูผู้คนในบรรยากาศแบบนี้แน่ๆ



ช่วงบ่ายฉันเดินดูหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1723 เป็นที่รวมหนังสือมีค่ามากกว่าสองล้านเล่ม ซึ่งมีทั้งกระดาษปาปิรัส และต้นฉบับลายมือเขียนอีกมากมาย





จากนั้นก็ไปเดินเล่นแถวๆ ถนนวงแหวนรอบเมือง (Ringstrasse) แถวจตุรัสมาเรีย เทเรเซีย (Maria-Theresia-Platz) ซึ่งก่อสร้างตั้งแต่ ค.ศ. 1887 ระหว่างจัตุรัสนี้จะมีพิพิธภัณฑ์สองแห่ง คือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ เสียค่าเข้าชมหลายเงินอยู่นะคะ เวียนนาการ์ดใช้ได้เป็นเพียงส่วนลดซึ่งไม่มากเท่าไหร่ค่ะ ไม่เหมือนกับ Salzburg Card ที่เรียกว่าสุดคุ้มไม่ต้องจ่ายค่าเข้าชมเพิ่มเลยสักยูโรเดียว



แล้วก็ตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินสาย U4 ไปเที่ยวชมพระราชวังเชินบรุนน์ (Schonbrunn Palace) ที่นี่สร้างขึ้นเลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ของฝรั่งเศส แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก แต่เล็กยังไงก็ยังมีห้องภายในพระราชวังถึง 1,440 ห้องเชียวค่ะ แต่เปิดให้ชมได้เพียง 40 ห้องเท่านั้น





ว่ากันว่าที่นี่เป็นสถานที่มีเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ของออสเตรียอยู่มาก เช่น โมสาร์ตเคยแสดงดนตรีต่อหน้าพระพักตร์ของพระนางมาเรีย เทเรซา เมื่ออายุได้เพียงหกปี แม้กระทั่งนโปเลียนเองก็เคยมาประทับที่นี่ด้วยเช่นกัน



มาที่นี่แล้วต้องเลือกซื้อตั๋วเข้าชมให้ตรงกับความต้องการด้วยนะคะ ถ้าเลือกแบบ Imperial Tour ราคาถูกที่สุด คือ 9.5 ยูโร จะได้เข้าชมเพียง 22 ห้อง ใช้เวลาประมาณ 30 นาที แต่ถ้าเข้าชมแบบ Grand Tour คนละ 12.9 ยูโร จะชมได้ 40 ห้องเต็ม ใช้เวลา 50 นาที ถ้าเข้าชมแบบ Classic Pass คนละ 15.9 ยูโร และ Gold Pass คนละ 36 ยูโร ฉันซื้อตั๋วเข้าชมแบบ Grand Tour ใช้เวียนนาการ์ดได้ส่วนลดเหลือเพียง 11.4 ยูโร ซึ่งที่นี่ฉันคิดว่าตัวเองได้เลือกซื้อตั๋วแบบพลาดไปอย่างมาก เพราะไม่ได้ชมสวนและวิวด้านหลังเลย อย่างน้อยที่สุดควรจะซื้อตั๋วเข้าชมแบบ Classic Pass เพราะจะได้ชมสวนสวยและวิวพาโนรามาด้วย



ควรจะใช้เวลาในการเดินชมที่พระราชวังเชินบรุนน์นี่อย่างน้อยสองชั่วโมงนะคะ ฉันก็เดินอยู่ในนี้จนถึงบ่ายสามโมงครึ่งจึงนั่งรถไฟใต้ดินกลับไปเดินเล่นในเมืองต่อ




ตอนที่ไปเปลี่ยนรถไฟใต้ดินจากสายสีเขียว U4 ไปเป็นสายสีม่วง U2 บังเอิญไปเจอร้าน baker’s & coffee ซึ่งมีเบเกอรี่ที่อร่อยมากอีกแล้วค่ะ เรียกว่าอร่อยจนวันรุ่งขึ้นฉันต้องกลับมาที่นี่เพื่อซื้อขนมกลับไปกินอีกรอบล่ะ



จากนั้นก็ถือโอกาสเดินชมสถานที่ต่างๆ ละแวกนั้นด้วย เจอตึกสวยๆ อยู่ตึกหนึ่งชื่อ ยูเรเนีย (Urania Observatory) เป็นเหมือนท้องฟ้าจำลองบ้านเราค่ะ ฉันแค่เดินเข้าไปดูแว้บๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้ซื้อบัตรเข้าชมแต่อย่างใด





แล้วก็เดินเรื่อยมาจนกระทั่งถึง Stadt-Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่มากของเวียนนา และก็เหมือนกับสวนสาธารณะแทบทุกแห่งที่จะมีรูปปั้นโมสาร์ตประดับอยู่ จะต่างกันก็ตรงลีลาท่าทางของสุดยอดคีตกวีผู้นี้เท่านั้น ฉันเห็นแค่รูปปั้นกับดอกไม้สีเหลืองและสีแดงประดับรายรอบแล้ว ทำให้นึกอยากฟังเพลงคลาสสิคของโมสาร์ตขึ้นมาทันที



คงจะเป็นเพราะอารมณ์ศิลปินเข้าสิงหรืออารมณ์ไหนกันแน่ก็ไม่รู้ จึงทำให้เดินไปจนถึงย่านกราเบน (Graben) อีกครั้ง เดินเรื่อยไปจนถึง Karntner StraBe ถนนคนเดินหรือถนนสายชอปปิ้งที่มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยร้านกาแฟเต็มถนน ที่นี่จะมีผู้คนมาเล่นดนตรีและการแสดงอยู่หลายกลุ่ม ฉันก็ได้อาศัยฟังเพลงคลาสสิคจากศิลปินพเนจร ผู้ซึ่งบรรเลงเพลงของโมสาร์ตเพื่อยังชีพแถวๆ นี้ด้วย....... เพลินไปเลยค่ะ เลยหยิบเงินบริจาคไปห้าดอลล่าร์



ดูนาฬิกาแล้วยังไม่หกโมงเย็น เผอิญเดินผ่านร้าน Nordsee ด้วย พอเห็นปุ๊บก็เลี้ยวเข้าร้านปั๊บเลย เพราะยังจดจำรสชาติลาซานญ่าอร่อยที่สุดในโลกได้ แต่ที่นี่ไม่มีเมนูนี้ค่ะ ฉันเลยสั่งแค่สลัดกุ้งกับเครื่องดื่มเท่านั้น แค่นี้ยังปาเข้าไปตั้ง 8.85 ยูโรหรือหกร้อยกว่าบาท ฉันเลยกินแบบแทบจะนับจำนวนกุ้งในสลัดเลยค่ะ ...ว่าแต่กุ้งของเค้าเยอะจริงๆ นะคะ ไม่ต่ำกว่า 30 ตัวเชียวล่ะ



อิ่มท้องแล้วก็ยังอยากจะเที่ยวต่อ เลยคิดว่าจะไปเที่ยวสวนสนุก Prater ฉันเห็นที่นี่ครั้งแรกจากแผ่นดีวีดีหนังเรื่อง Before Sunrise ซึ่งมี Ethan Hawkes และนักแสดงสาวที่ไม่คุ้นหน้า Julie Delphy เป็นพระนาง



เรื่องราวของหนุ่มสาวแปลกหน้าสองคนที่บังเอิญมาพบกันบนรถไฟสายยุโรปแล้วเกิดถูกชะตาและพูดจาเข้ากันได้ดี จึงชวนกันลงรถไฟที่เวียนนา ทั้งสองต่างตกหลุมรักกันทั้งที่เจอกันแค่เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่และสวนสนุกที่ Prater แห่งนี้ ก็เป็นฉากเด่นในเรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แนบแน่นขึ้น (ลองหาภาพยนตร์สองเรื่องนี้มาดูนะคะ หากใครนิยมชมชอบความโรแมนติกและความสัมพันธ์ของหญิงชาย)



Prater แห่งนี้ก็มีประวัติความเป็นมาเหมือนกันนะคะ คือบริเวณที่แห่งนี้เป็นเขตล่าสัตว์ในราชสำนัก ต่อมากษัตริย์โยเซฟที่ 2 (ค.ศ.1780-1790) ได้พระราชทานให้เป็นสวนหย่อนใจของประชาชน จนต่อมากลายเป็นที่นิยมกันในศตวรรษที่ 19



ฉันเลือกมาที่นี่... ไม่ใช่เพราะต้องการจะตามรอยความโรแมนติกในเรื่อง Before Sunrise หรือเผื่อจะเจอหนุ่มแปลกหน้ามาชวนเที่ยวแบบในหนังหรอกค่ะ หากแต่ว่าชีวิตในปัจจุบันช่างห่างไกลกับสวนสนุกเสียเหลือเกิน



“แดนเนรมิต” ที่เคยไปก็น่าจะเกือบๆ ยี่สิบปีกระมัง หลังสุดไปดิสนีย์แลนด์ที่โตเกียวก็นานกว่าสิบกว่าปีแล้ว ดังนั้น การได้มาสถานที่แบบนี้ มันก็เหมือนกับการย้อนเวลากลับไปสู่วัยสดใสอีกครั้งหนึ่งค่ะ





แล้วก็เกือบจะเกิดเรื่องตลกไม่ออกเข้าจนได้ค่ะ.....


ระหว่างที่เดินเล่นอยู่ ฉันเห็นหนุ่มนิโกรคนหนึ่ง ผิวสวยเชียวค่ะ เพราะผิวสีดำมันขลับเลย ท่าทางน่าจะเกิดอาการ Hang out กระมัง เห็นกำลังทำท่าอาเจียนใส่ถังขยะอยู่ ฉันก็เลยพยายามไม่เดินเข้าไปใกล้ล่ะ เรียกว่าเดินคนละฟากฝั่งเลย กลัวเจอลูกหลงของคนเมาค่ะ



พอฉันเดินผ่านก็รีบก้าวเท้าให้ยาวขึ้นเพื่อให้พ้นไปเร็วๆ ปรากฏว่า “ยิ่งกลัวยิ่งเจอ” เพราะรู้โดยสัญชาติญาณทันทีเลยค่ะว่า พ่อหนุ่มนิโกรเดินตามหลังมา ฉันก็พยายามเกร่เข้าที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง หลบไม่พ้นค่ะ พี่แกเล่นเดินไล่จนเกือบจะขึ้นมาขนานคู่ แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า



“Hello”


ฉันยอมเสียมารยาท ตัดสินใจทำเป็นไม่ได้ยินเสียงทัก แล้วก็รีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปอยู่ในคนหมู่มาก แล้วก็คิดว่าไม่ดูไม่เล่นอะไรต่อแล้วล่ะ ขอกลับที่พักไปตั้งหลักก่อนดีกว่า แฮ่ะ แฮ่ะ!!


แล้วหนุ่มนิโกรก็โผล่แว้บมาดักฉันอีกทีตรงเกือบทางออก ร้องทักว่า “เฮ้!....”


ฉันก็พกหลวงพี่โกยล่ะสิคะ


แหม!! นี่ถ้าเปลี่ยนให้หนุ่มนิโกรคนนี้เป็นหนุ่มหล่อแบบอีธาน ฮอว์ก ในหนังเรื่อง Before Sunrise ฉันอาจจะยอมอยู่ผจญภัยต่อก็ได้ค่ะ


นี่คงเอาไปคุยได้เหมือนกันนะคะว่า เที่ยวยุโรปครั้งแรกก็มีหนุ่มมาตามแล้วเหมือนกันน่ะ


 







 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2554
0 comments
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2554 0:21:57 น.
Counter : 1907 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แฮปปี้มีนา
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]









ทำงานในองค์กรภาครัฐ ใช้เวลาพักร้อนในแต่ละปีออกไปเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในโลกใบนี้ตามลำพัง ...การออกไปเผชิญโลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่จำเป็นต้องเก่งภาษามากมายขอแค่มีใจที่พร้อมจะเปิดรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างเดินทาง ทั้งสุข สนุก ตื่นเต้น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น จะทำให้เรามีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่มีในหนังสือท่องเที่ยวเล่มไหนสอนไว้


New Comments
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
6 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แฮปปี้มีนา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.