มกราคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
11 มกราคม 2554

The miracle of life มหัศจรรย์แห่งชีวิต - Chapter1 ในที่สุดหนูก็มา

เดือนที่หนึ่ง

16 พฤษภาคม 2553

วันนี้เป็นวันที่คุณแม่กับคุณพ่อตื่นเต้นมากๆ เพราะเป็นวันที่คุณพ่อคุณแม่จะรู้ว่าลูกมารึยัง คุณแม่ลุ้นแทบแย่ว่าประจำเดือนจะมารึเปล่า

คุณพ่อกับคุณแม่ไปหาคุณหมอ และได้เจาะเลือดดูค่าฮอร์โมนHCG ผลก็คือ ลูกมาแล้วจริงๆ เพียงแต่ว่า ในวันนี้ลูกยังอ่อนมากๆ(ไม่ถึงเดือน) คุณแม่กับคุณพ่อเลยทราบว่าลูกมาแล้วผ่านทางผลเลือดอย่างเดียว
คุณแม่กับคุณพ่อดีใจมากๆ และตั้งใจไว้ว่าจะดูแลลูกในดีที่สุด ให้ลูกอยู่รอดปลอดภัยในครรภ์อย่างแข็งแรงจนครบกำหนด

คุณแม่แอบสงสัยว่าลูกคือลูกคุณแม่คนก่อน ที่มาให้คุณแม่กับคุณพ่อดีใจได้แค่10วัน ไม่ทันได้เจอกัน ก็กลับสวรรค์ไปซะก่อนรึเปล่า

คุณพ่อกับคุณแม่ยังไม่บอกใครว่าลูกมาแล้ว คิดว่าจะรอสามเดือนก่อน ให้ลูกแน่ใจว่าลูกอยากอยู่กับคุณพ่อกับคุณแม่ และเป็นเวลาที่คุณแม่จะพิสูจน์ให้ลูกเห็นว่าคุณแม่จะดูแลลูกได้

คุณแม่เอาหนังสือเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ที่มีอยู่มาอ่านซ้ำไปซ้ำมาเพราะอยากรู้ว่าช่วงนี้ลูกจะเป็นยังไงบ้าง


เดือนที่สอง

23 พฤษภาคม 2553

คุณพ่อกับคุณแม่ไปหาคุณหมอเพื่ออัลตร้าซาวน์ดูถุงการตั้งครรภ์

คราวที่แล้วคุณหมอตรวจดูไม่เจอถุงการตั้งครรภ์ จึงเจาะเลือดก็พบว่าค่าHCGได้ลดลงไปแล้ว การที่ได้รู้ว่าลูกไม่อยู่แล้ว มันเป็นความรู้สึกที่คุณพ่อกับคุณแม่ไม่อาจลืมได้เลย ลูกรู้ไม๊ว่าคุณแม่ตื่นเต้นมาก และก็กลัวไปต่างๆนาๆ

คุณพ่อกับคุณแม่ดีใจมากที่ได้เห็นถุงการตั้งครรภ์เล็กๆ คุณแม่ดีใจมากที่เหตูการณ์ไม่ได้เป็นเหมือนเดิม ตอนนี้ลูกอายุได้ 5W+3 แล้ว

แต่คุณแม่ก็ยังแอบกังวลลึกๆว่าคราวหน้าที่พบหมอ จะได้เห็นลูกรึเปล่า ลูกจะอยู่ในถุงนั้นรึเปล่า


30 พฤษภาคม 2553

หัวใจเล็กๆของลูกเต้นแล้ว วันนี้ลูกอายุได้ 6W คุณพ่อคุณแม่ยิ้มแก้มแทบปริที่เห็นหัวใจลูกกระพริบแว๊ปๆทางหน้าจอมอนิเตอร์ แต่เพราะลูกยังเล็กมากๆ คุณพ่อคุณแม่จึงดูไม่รู้เลยว่าตรงไหนคือส่วนไหนของลูก เห็นแต่หัวใจลูก แต่มันก็เป็นสิ่งคุณพ่อคุณแม่อยากจะเห็นมากที่สุดในตอนนี้

ตอนนี้คุณแม่เริ่มรู้สึกแพ้ท้องบ้างแล้ว คุณแม่รู้สึกขมปากตลอดเวลา แต่โชคดีที่คุณแม่ยังทานอาหารได้บ้าง ไม่ได้แพ้จนอาเจียนทานไม่ได้เหมือนคุณแม่คนอื่นๆ

เดือนที่สาม

11 กรกฏาคม 2553

ลูกอายุได้ 12W+3 วันนี้คุณพ่อไปทำงานที่ต่างจังหวัด คุณแม่เลยไปหาคุณหมอกับคุณยาย วันนี้เป็นวันแรกและวันเดียวที่คุณแม่สามารถเห็นลูกได้ทั้งตัวและเห็นเป็นตัวลูก ขนาดของลูกตอนนี้พอดีกับการอัลตร้าซาวน์ เห็นลูกนอนหงาย ยกมือ ยกเท้าขึ้น เห็นนิ้วมือและนิ้วเท้าจิ๋วๆของลูก คุณยายตื่นเต้นใหญ่เลย
คุณแม่เห็นลูกในวันนี้ ทำให้ความรู้สึกถึงการมีอยู่ของลูกชัดเจนขึ้นเพราะคุณแม่จะจินตนาการได้ว่าลูกอยู่ในท้องคุณแม่จริงๆ

ช่วงที่ผ่านมาคุณแม่งานเริ่มจะยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนงานในแผนก ทางบริษัทปรับให้คุณแม่ไปทำงานที่คุณแม่อยากทำมาตลอด ทำให้คุณแม่ต้องรับผิดชอบงานเดิมด้วยระหว่างที่ยังไม่ได้โอนถ่ายให้คนอื่น และยังมีงานโปรเจ็กใหม่ๆของงานใหม่ด้วย ถ้าเป็นช่วงที่ลูกยังไม่มา คุณแม่คงไม่ลังเลที่จะทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เพื่อหน้าที่การงานของตัวเอง แต่พอคุณแม่มีลูกแล้วคุณแม่รู้ได้เลยว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณแม่คือลูก ความปลอดภัยของลูก คุณแม่เคยเสียลูกไปครั้งนึงแล้วและจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก บางคนอาจจะคิดว่าคุณแม่โอเวอร์ แต่คุณแม่คิดว่าคุณแม่จะตัดความเสี่ยงทั้งหมดที่อาจจะกระทบกับลูกได้ คุณแม่อยากทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด เพราะมันสามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้
หลังจากที่คุณแม่ได้คุยกับคุณพ่อแล้วคุณแม่ก็ลาออกจากงานในวันที่ 7 สค 2553

เดือนที่สี่

8 สิงหาคม 2553

วันนี้เป็นวันเกิดคุณแม่ และลูกอายุได้ 16W+2
ตอนนี้ลูกเริ่มโตแล้ว คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถเห็นลูกทั้งตัวได้แล้ว คุณหมอจะให้ดูเป็นส่วนๆ คุณหมอวัดการเจริญเติบโตของลูกโดยดูขนาดรอบศีรษะ, ดูกระดูกขา ลูกแข็งแรงดี แต่เสียดายที่ยังไม่รู้ว่าลูกเป็นลูกสาวหรือลูกชายเพราะลูกขี้อาย หนีบอยู่

ช่วงนี้คุณแม่เริ่มเปิดซีดีเพลงคลาสสิกที่เพื่อนๆที่ทำงานแม่ให้มาให้ลูกฟัง ลูกจะได้ผ่อนคลายและก็ฉลาดๆด้วย

เดือนที่ห้า,เดือนที่หก, เดือนที่เจ็ด

4 กันยายน 2553

ลูกอายุ 20W+1
วันนี้คุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นลูกชัดขึ้น จากการอัลตร้าซาวน์สี่มิติ คุณหมอที่ดูให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ คุณหมอดูลูกอย่างละเอียดแทบจะทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ศีรษะ สมอง กระเพาะอาหาร กระดูกสันหลัง
คุณแม่เห็นหน้าลูกได้ชัด เห็นลูกนอนหลับอยู่ในท้อง แต่ลูกยังผอมอยู่เลย ยังไม่มีไขมันเลย

วันนี้คุณพ่อคุณแม่ได้รู้ว่าลูกเป็นลูกสาว
ท้องคุณแม่เริ่มออกมากขึ้น แต่ยังนอนหงายได้ ยังไม่อึดอัด นั่งรถไกลๆยังได้


17 ตุลาคม 2553

ลูกอายุ 26W+2 น้ำหนักโดยประมาณ 875g

ช่วงนี้คุณแม่เริ่มคิดถึงวิธีการเลี้ยงลูกแล้ว ว่าพอลูกเกิดมาจะเลี้ยงแบบไหนที่จะดีต่อลูกมากที่สุด โดยหาข้อมูลจากการอ่านหนังสือต่างๆเช่น กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว, เด็กสองภาษา
คุณแม่จึงได้รู้ว่ามีพ่อแม่มากมายที่พูดภาษาอังกฤษกับลูกตั้งแต่ลูกเด็กๆ เพราะ เล็งเห็นถึงความจำเป็นของภาษาอังกฤษ และการแข่งขันในอนาคต

ลูกโชคดีที่คุณยายเป็นคนญี่ปุ่นและคุณแม่ก็พอพูดภาษาญี่ปุ่นได้ คุณแม่เลยตั้งใจว่าคุณแม่และคุณยายจะพูดภาษาญี่ปุ่นกับลูก ให้คุณพ่อพูดภาษาอังกฤษกับลูก ส่วนคนอื่นๆก็พูดภาษาไทยกับลูก เป็นสามภาษา เพราะจากที่อ่านหนังสือเค้าบอกว่าสมองของเด็กจะซึมซับได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ในช่วงแรกเกิดถึงสามขวบ แต่คุณแม่ก็ยังลังเลอยู่ว่าจะมากเกินไปสำหรับลูกรึเปล่า คุณแม่คงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกหน่อยก่อนตัดสินใจ

คุณแม่เริ่มดูโรงเรียนให้ลูกเหมือนกัน หลายคนบอกว่าเร็วไป แต่คุณแม่อยากหาข้อมูลไว้ก่อน เพราะถ้ารู้ทิศทางว่าจะให้ลูกเรียนโรงเรียนไทย หรือโรงเรียนนานาชาติแต่เนิ่นๆ คุณแม่จะได้รู้ว่าต้องให้ลูกเรียนอนุบาลแบบไหนที่ไหน และก็จะได้รู้อีกว่าการจะพูดหลายๆภาษากับลูกจะเหมาะสมหรือไม่ หรือควรจะเน้นพูดกับลูกภาษาอะไรเพื่อให้ลูกสามารถเข้าเรียนอนุบาลได้ และเข้าใจที่อาจารย์พูด

การเลี้ยงลูกในปัจจุบันนี่เหนื่อยจริงๆ นี่ขนาดแค่วางแผนนะยังไม่เริ่มปฏิบัติเลย คุณแม่เริ่มปวดหัวแล้ว


เดือนที่แปด, เดือนที่เก้า

8 พฤศจิกายน 2553

ลูกอายุ 29W+3 น้ำหนักโดยประมาณ 1,348g

28 พฤศจิกายน 2553

ลูกอายุ 32W+2 น้ำหนักโดยประมาณ 2,093g

19 ธันวาคม 2553

ลูกอายุ 35W+3 น้ำหนักโดยประมาณ 2,616g

สองเดือนนี้ท้องคุณแม่ใหญ่ขึ้นมาก เข้าห้องน้ำก็บ่อยขึ้นด้วย
เดินนิดหน่อยก็เหนื่อย ต้องนั่งพัก ส่วนลูกก็ดิ้นแรงขึ้นเยอะเลย คุณพ่อชอบมาแตะท้องแม่และก็คุยกับลูกเวลาลูกดิ้น แต่ก็แปลกเพราะหลายๆครั้งที่ลูกไม่ได้ดิ้นเลย เหมือนจะหลับอยู่ แต่พอคุณพ่อมาคุยกับลูก ลูกก็จะดิ้น

ตอนนี้คุณแม่มีโรงเรียนอนุบาลในใจไว้แล้ว 2โรงเรียน โรงเรียนแรกเป็นโรงเรียนไทย สำหรับเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนไทย กับอีกโรงเรียนเป็นโรงเรียนอินเตอร์
คุณแม่อยากจะไปดูโรงเรียนแต่ก็ไปไม่ไหวแล้ว

ตอนนี้คุณแม่สมัครเป็นสมาชิกบริษัททำของเสริมพัฒนาการเด็กของญี่ปุ่น (Shimajiro)ไว้ให้ลูกแล้ว ปกติเค้าจะส่งของเล่นมาให้ทุกเดือนตามพัฒนาการของลูก แต่คุณแม่สมัครก่อน โดยให้เค้าส่งไปที่บ้านคุณลุงที่ญี่ปุ่น และฝากคุณลุงให้ส่งมาให้คุณแม่อีกที ลูกจะได้คุ้นเคยกับภาษาญี่ปุ่น ได้เล่นของเล่นโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นกับคุณแม่และคุณยาย

แม่เชื่ออย่างที่หนังสือบอกว่าลูกจะสามารถพัฒนาความสามารถได้มากที่สุดในสามปีแรก คุณแม่จึงพร้อมที่จะสนับสนุนลูกในช่วงนี้เท่าที่คุณแม่จะทำได้ โดยมีคุณพ่อคอยช่วยเหลือ (ด้านการเงิน555) อยู่ใกล้ๆ

คุณแม่คิดว่าโดยรวมแล้ว การตั้งครรภ์ครั้งนี้ของคุณแม่ค่อนข้างสมบูรณ์ เพราะไม่ต้องเจาะน้ำคร่ำ, รกก็ไม่ได้เกาะต่ำ, ไม่ได้เป็นเบาหวานแฝง และลูกของคุณแม่ก็แข็งแรงมาก ดิ้นก็แรง


เข้าเดือนที่สิบ

4 มกราคม 2554

ลูกอายุ 37W+5, น้ำหนัก 2,825g

คุณหมอให้เข้าไปตรวจ Fetal Monitor ดูการบีบตัวของมดลูกม ดูการเต้นของหัวใจและดูการดิ้นของลูก
สงสัยลูกแม่จะขี้เซา เพราะลูกนอนหลับ ไม่ดิ้นเลย จนคุณพยาบาลต้องกระตุ้น (ปลุก) โดยการเอาเครื่องมือกลมๆมาแนบท้องคุณแม่ แล้วเครื่องมือจะทำให้ท้องกระตุก หลังจากนั้นลูกก็ดิ้นดีมากเลย คุณแม่แอบคิดว่าลูกจะตกใจหรือว่าเจ็บรึเปล่า (คุณแม่เองยังตกใจเลย)
จากการตรวจพบว่ามดลูกเริ่มบีบตัวแบบไม่ปกติแล้ว คือลูกพร้อมที่จะออกมาได้แล้ว แต่เนื่องจากคุณแม่จะคลอดแบบธรรมชาติ ก็เลยต้องรอให้มีอาการก่อน รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีอาการอะไร นอกจากอาการเจ็บหัวหน่าวมากๆ เจ็บถ่วงๆที่ท้อง (เดินแทบจะไม่ไหว เวลานอนตะแคง สะโพกก็ชา จะเปลี่ยนด้านตะแคงก็ปวด ทำไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมานั่งแล้วล้มตัวนอนใหม่)
คุณหมอบอกให้เตรียมแพคของสำหรับไปโรงพยาบาลเผื่อไว้ได้เลย เพราะไม่น่าเกินหนึ่งอาทิตย์

ตอนนี้ท้องคุณแม่ใหญ่มากๆ คุณแม่น้ำหนักขึ้นมาประมาณ11กิโลแล้ว


11 มกราคม 2554

ลูกอายุ 38W+5
วันนี้คุณพ่อพาคุณแม่ไปหาคุณหมออีกครั้ง ได้ทำการตรวจ Fetal Monitor อีก
ตอนแรกหัวใจลูกเต้นแรง เสียงดัง แต่พอผ่านไปสักพักลูกก็หลับอีก จนอัตราการเต้นของหัวใจต่ำลงเหลือประมาณ120กว่าและก็ไม่ดิ้นเลย จนพยาบาลต้องกระตุ้นลูกอีก หลังจากนั้นลูกก็ดิ้นดีมาก
คุณหมอตรวจปากมดลูกให้คุณแม่พบว่า ปากมดลูกนุ่มแล้วแต่ยังไม่เปิด
วันนี้คุณหมอได้ทำการกระตุ้นให้ปากมดลูกเปิดให้คุณแม่ เจ็บมากกกกกกก หลังจากนั้นก็มีเลือดออกมานิดหน่อย ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้นปากมดลูก (คุณแม่แอบผิดหวัง เพราะคิดว่าเป็นอาการก่อนคลอดซะอีก)

คุณหมอให้คุณแม่เดินเยอะๆ เพราะเป็นการกระตุ้นการคลอดโดยวิธีธรรมชาติ และให้คอยสังเกตุอาการที่จะต้องไปโรงพยาบาล คือ ท้องแข็งทุกๆ๗นาที หรือถี่กว่านั้น, น้ำเดิน, เลือดออก, ลูกดิ้นน้อยลง
คุณหมอบอกว่าถ้าวันที่23แล้วยังไม่มีอาการ อาจจะต้องผ่าออก

ลูกจ๋า ออกมาเร็วๆนะ ทุกๆคนรออยู่ อย่ามัวแต่ขี้เซาอยู่ในท้องนะลูก

อ้อ วันนี้คุณพ่อคุณแม่ได้คุยกับคนของไทยสเต็มเซลล์ไลฟ์ ได้รู้ข้อมูลต่างๆ คุณพ่อคุณแม่ได้ปรึกษากันและตัดสินใจเก็บ เพราะคิดว่าในปัจจุบันมีโรคใหม่ๆ หรือโรคที่ร้ายแรงมากมาย และเชื้อโรคเองก็มีวิวัฒนาการการอยู่รอดของมันมากขึ้นไปอีก รวมถึงวิถีการดำรงชีวิตในปัจจุบันก็มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการเกิดโรคใหม่ๆมากขึ้น
การเก็บสเต็มเซลล์เป็นเหมือนการประกันความเสี่ยงชนิดหนึ่ง อาจจะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ ไม่มีใครรู้ แต่จะเก็บได้ตอนลูกเกิดเท่านั้น โดยสเต็มเซลล์ที่เก็บ ถ้าไม่ได้ใช้ก็ถือว่าโชคดีที่ลูกของคุณแม่แข็งแรง หรือถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ไม่ต้องเสียดายที่ไม่ได้เก็บ


20 มกราคม 2554 (คืนวันคลอด)

ลูกอายุ 40W
วันนี้คุณแม่มีนัดทานข้าวที่บ้านอาชิกเจ็กตอนเย็น
ตอนกลางวันที่ทานข้าวที่บ้านก็คุยกับป้าโกะ ป้าโกะบอกว่าอย่าไปเลย อยู่บ้านดีกว่า อยู่ใกล้โรงพยาบาลไว้ก่อนดีกว่าเพราะท้องแก่มากแล้ว คุณแม่เลยไม่ได้ไป
ตอนทานข้าวกลางวัน คุณแม่รูสึกปวดท้องเป็นระยะๆ แต่ไม่มากอะไร ปวดแค่พอให้รำคาญ คุณแม่ยังพูดกับป้าโกะเลยว่าปวดเตือนอีกแล้ว

อาการปวดท้องเป็นระยะๆก็ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ ไม่หายไปเหมือนที่เคย โดยที่ระดับความปวดก็ดูเหมือนจะมากขึ้น ความถี่ก็มากขึ้น คุณแม่เลยเริ่มจดเวลาที่ปวดท้องไว้ตั้งแต่ประมาณบ่ายสองโมงเป็นต้นไป

เวลา17:30 คุณพ่อกลับมาจากที่ทำงาน อาการปวดท้องตอนนั้นแม้จะมากขึ้นมากและความถี่มากขึ้นโดยทิ้งระยะประมาณ5-6นาที เนื่องจากเป็นท้องแรกและคุณแม่ก็รออาการเตือนใกล้คลอดที่ต้องรีบไปโรงพยาบาลมาตลอด แต่ไม่มีทีท่าว่าจะมาสักที ในคราวนี้คุณแม่ยังคิดว่าอาจจะเป็นการเตือนเหมือนเคย คุณแม่คิดว่ายังมีเวลาที่จะรอดูไปอีกระยะนึงว่าเป็นการปวดท้องคลอดหรือเปล่า
เย็นวันนั้นก็ยังสั่งอาหารให้ส่งมาที่บ้าน ตอนหกโมงเย็นเริ่มเจ็บท้องมากขึ้นและถี่ขึ้นประมาณ3-5นาที ปวดท้องมากแบบทำอะไรไม่ไหวเลย แต่พอหายปวดก็หายเป็นปลิดทิ้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คุณแม่เห็นท่าเเปลกๆเลยไปอาบน้ำและไปโรงพยาบาลกับคุณพ่อ ถึงโรงพยาบาลเกือบๆทุ่มนึง คุณพ่อวนไปส่งคุณแม่หน้าอาคาร ตอนนั้นเป็นช่วงไม่ปวด คุณแม่เลยเดินไปถามพนักงานโรงพยาบาลที่อยู่หน้าอาคารว่าปวดท้องคลอดต้องไปชั้นไหน (ว่าจะเดินไปเอง) เท่านั้นแหละ เค้าก็รีบเอารถเข็นมาให้นั่งและเข็นไปห้องคลอด พยาบาลบอกว่าปากมดลูกเปิดแล้ว 6 เซ็น ตอนนั้นตอนปวดนี่ปวดมากๆจนจะไม่ไหวเลย เลยบอกพยาบาลว่าให้บล็อคหลังเลย (เพราะจากที่อ่านหนังสือมา ต้องปากมดกเปิดอย่างน้อยสี่เซ็นถึงจะบล็อคหลังได้ เพื่อให้คนไข้รู้สึกเวลาเบ่ง) พยาบาลบอกให้รอก่อน เพราะต้องกรอกประวัติ, สวนอุจจาระ ก่อน กว่าจะได้บล็อคหลังก็ประมาณเกือบสามทุ่ม ปวดท้องมากขึ่นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าการบล็อคหลังไม่ได้ทำให้ดีขึ้นเลย คุณหมอวิสัญญีก็ค่อยๆเพิ่มโดสยาให้ แต่ต้องเพิ่มทีละนิดเพื่อความปลอดภัย เพิ่มนิดนึงแล้วก็ต้องรอ15นาทีให้ยาออกฤทธิ์ หมอถึงจะวินิจฉัยต่อว่าควรเพิ่มขนาดอีกหรือไม่ หลังจากเพิ่มแล้วเพิ่มอีก ในที่สุดอาการปวดท้องก็ดีขึ้นเล็กน้อย แต่มีอาการปวดหลังขึ้นมาอีก อาการปวดหลังเป็นลักษณะเย็นหลังและปวดมากๆ คุณแม่คิดว่าที่ปวดหลังเป็นเพราะคุณหมอกำลังเพิ่มโดสยาให้ พอเพิ่มเสร็จอาการปวดจะหายไป
แต่ความเป็นจริงไม่เป็นอย่างนั้น อาการปวดหลังเริ่มจะมากขึ้นเรื่อยๆ รวมกับอาการปวดท้องนั้นเป็นความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ปวดอย่างที่้ไม่เคยปวดขนาดนี้มาก่อน คุณแม่นึกไปถึงความเจ็บปวดทรมานของคนสมัยก่อนที่เสียชีวิตจากการคลอด คุณหมอยังไม่ทำคลอดให้เพราะต้องรอให้ปากมดลูกเปิด10เซ็น แต่ผ่านไปหลายชั่วโมงก็เปิดแค่8เซ็น คุณหมอจึงใส่ยาเร่งคลอดให้ในน้ำเกลือ ซึ่งทำให้อาการปวดท้องนั้นมากขึ้นกว่าเดิม
ประมาณเที่ยงคืนครึ่ง คุณหมอก็เริ่มให้เบ่ง คุณแม่เบ่งหลายครั้งมากแต่ลูกก็ยังไม่ออกมา เนื่องจากลูกอยู่ในลักษณะแหงนหน้า ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้คลอดยากจึงใช้เวลานาน ตอนนั้นคุณแม่ถึงรู้ว่าอาการปวดหลังเกิดจากการที่ลูกแหงนหน้าทำให้หลังศีรษะลูกไปกดหลังของคุณแม่ ซึ่งอาการปวดนี้ไม่มีวิธีที่จะบรรเทาได้ ต้องทนอย่างเดียวเลย
จนอัตราการเต้นของหัวใจลูกเต้นช้าลง เท่านั้นแหละคุณแม่เบ่งสุดใจขาดดิ้น ประมาณ4-5ครั้งลูกก็คลอดออกมา ที่เวลา 1:27น. ของวันที่21 มกราคม 2554

แล้วพยาบาลก็อุ้มลูกมาดูดนมแม่และก็ถ่ายภาพครอบครัว เป็นภาพแรกของลูกและของเราสามคน




 

Create Date : 11 มกราคม 2554
1 comments
Last Update : 10 พฤษภาคม 2554 20:44:43 น.
Counter : 5064 Pageviews.

 

แวะมาอ่านจร้าขออนุญาตฝากเว็บไว้ในอ้อมกอดน้อยๆด้วยนะครับ|เข้าชมเว็บ บิ๊กอายขอบคุณครับ

 

โดย: bigeye (tewtor ) 17 เมษายน 2554 3:33:00 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Happy Alice
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Happy Alice's blog to your web]