happy memories
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
18 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 

เสพงานศิลป์ ๑๖๔





ภาพจากเวบ deviantart.com





"ฉันได้จากโลกนี้ไปแล้วโดยไม่เสียใจ

เพราะฉันได้อุทิศชีวิตของฉันให้กับ

บางสิ่งที่เป็นประโยชน์

ในฐานะเป็นผู้รับใช้ที่ต่ำต้อย

ในงานศิลปของฉัน

ชีวิตนั้นสั้น....แต่ศิลปะยืนยาว


ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี





Romance - Yuhki Kuramoto











HEart for The King


ขอเชิญชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “HEart for The King” โดย อาร์ทเทอรี่ โพสต์ โมเดิร์น แกลเลอรี่ ร่วมกับสุดยอดศิลปินประติมากรรมกระดาษ ชาวเกาหลีใต้ โฮ ยูน ชิน ศิลปินผู้ซึ่งได้รับการยอมรับ และมีผู้ติดตามการแสดงงานของเขาอยู่ทั่วโลก ร่วมกันจัดนิทรรศการครั้งนี้เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระชนมพรรษาครบรอบ ๘๗ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ และ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระอัจฉริยภาพด้านศิลปกรรม


งานนิทรรศการนี้จะจัดขึ้นที่ ชั้น ๕ อินฟินิซิตี้โซน สยามพารากอน วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ (*เปิดลงทะเบียนเวลา ๑๖.๐๐ น.) ในงานนิทรรศการจะจัดเปิดประมูลชิ้นงาน เพื่อนํารายได้ไม่หักค่าใช้จ่ายนําขึ้นทูลเกล้าถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย


นิทรรศการ : “HEart for The King”
ศิลปิน : โฮ ยูน ชิน (Ho Yoon Shin)
วันที่ : ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
สถานที่ : ชั้น ๕ อินฟินิซิตี้โซน สยามพารากอน
เวลา : เปิดลงทะเบียนเวลา ๑๖.oo น. เป็นต้นไป
หมายเหตุ : นิทรรศการ “HE art for The King” โดย โฮ- ยูน ชิน (Ho Yoon Shin) จะจัดแสดงที่ อาร์ทเทอรี่ โพสต์ โมเดิร์น แกลเลอ ( Artery Post-Modern Gallery) ระหว่างวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : o๘๙-๖o๗-๓o๖๕
อีเมล : arterybkk@hotmail.com















ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com















เรื่องของพ่อที่ยังไม่รู้ ภาพที่หาดูได้ยาก


นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัด มท. เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๗ พรรษา ๕ ธ.ค. ๕๗ ระหว่างวันที่ ๓o พ.ย.ถึง ๖ ธ.ค. ๕๗ ภายใต้ชื่องาน "รักพ่อ" บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง และบริเวณถนนราชดำเนินกลาง ซึ่งในงานดังกล่าวได้กำหนดให้มีการจัดนิทรรศการแสดงผลการดำเนินงานโครงการตามพระราชดำริ ภายใต้แนวคิด "ปณิธานสืบสานต่ออนันต์ค่า" โดยที่ประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดกิจกรรมซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มอบหมายให้ มท.รับผิดชอบการจัดกิจกรรมและนิทรรศการ "เรื่องของพ่อที่ยังไม่รู้ ภาพที่หาดูได้ยาก" บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยกรมการปกครองจะเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ จึงได้กำหนดรูปแบบการจัดนิทรรศการดังกล่าว โดยแบ่งเป็นโซนของนิทรรศการ ซึ่งจะจัดแสดงภาพหายากของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโซนของงานบริการต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจในสังกัด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมงานในส่วนของการจัดนิทรรศการภาพหายากของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


นอกจากนี้กรมการปกครองได้มีหนังสือแจ้งให้ทุกจังหวัดพิจารณาสรรหาภาพที่หาดูยาก ที่ถ่ายโดยช่างภาพท้องถิ่นหรือช่างภาพของจังหวัด เมื่อได้รับแล้วจะพิจารณาคัดเลือก และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเผยแพร่ต่อไป ในส่วนของโซนงานบริการจะมีหน่วยงานออกให้บริการ เช่น กรมการปกครองมีการให้บริการด้านการทะเบียน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีชุดเคลื่อนที่ในการประชาสัมพันธ์ การไฟฟ้านครหลวงมีบริการรับชำระค่าไฟฟ้า รับเรื่องร้องเรียน เผยแพร่ข่าวสารการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจัดบอร์ดนิทรรศการให้ความรู้เรื่องการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและปลอดภัย มีบริการน้ำดื่มและเปิดบริการจุดจ่ายน้ำ โดยการประปานครหลวง


สำหรับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ในส่วนภูมิภาค มท.ได้แจ้งให้ทุกจังหวัดจัดงานให้สมพระเกียรติ เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยจัดให้มีพิธีทำบุญตักบาตรในวันที่ ๕ ธ.ค. ๕๗ พิธีลงนามถวายพระพร พิธีถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล และจัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล







ภาพและข้อมูลจากเวบ
innnews.co.th
breakingnews.nationtv.tv
assassinice.wordpress.com






































ภาพและข้อมูลจาก นิตยสารคู่สร้างคู่สม

































ภาพและข้อมูลจาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจวันอาทิตย์ ๑๖ พ.ย. ๒๕๕๗














สมญาภาพย์
ศักดิ์สิริ มีสมสืบ


“บทกวี ภาพถ่ายจุดประกาย สานฝันเติมไฟให้กำลังใจชีวิต”


“สมญาภาพย์” ชื่อหนังสือ ภาพถ่ายประกอบถ้อยคำของสองพ่อลูก ญาดาง ดวงไสว ลูกสาวนักเดินทาง ทำงานอยู่ต่างประเทศ รักการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ


สมปอง ดวงไสว พ่อนักเดินทางภายใน ปั่นจักรยานถ่ายภาพบันทึกเรื่องราวที่ประสบพบเห็น ลูกสาวของพ่อ.. “บันทึกเทศ” พ่อของลูก “จารึกไทย”


ภาพถ่ายของลูก บันทึกความงามของสถานที่ สถาปัตยกรรม ธรรมชาติ ต่างกาละ เทศะ หิมะแรก กังหันลม วังแห่งสันติภาพ... เนเธอร์แลนด์, แสงสะท้อนน้ำในคลองเล็ก ที่เมืองบรัจจ์, บรัสเซล เบลเยียม, หอไอเฟล มุมมองจากหอไอเฟล ปารีส, ภาพจากสวิสเซอร์แลนด์, อิตาลี, สาธารณรัฐเชค, กรีช, สวีเดน, อเมริกา, แคนาดา ทุกหนทุกแห่งที่เธอเดินทางผ่านพบ


ภาพถ่ายของพ่อ...มุมมองเล็กๆ แสงเงาในมุมสงบ ความเคลื่อนไหว ในความเงียบ ความนุ่มละมุนของปุยเมฆ ความว่างเปล่าในความคิด เงาสะท้อน แห่งศรัทธา ปีกที่โบกบิน ความโดดเดี่ยวอันมุ่งมั่น มุมแคบ ๆ ที่มองเห็นแสงแห่งความหวัง ระฆังใบน้อยที่กังวานใส


ภาพถ่ายของลูกสาว และพ่อ ... ประกอบด้วยถ้อยคำสั้น ๆ
“สายลมยังเปลี่ยนผ่าน กังหันลมย่อมเปลี่ยนไป
ชีวิตกระแสใจ ย่อมเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลง”
“อยู่สูงให้มองต่ำ จักงามล้ำประหลาดใจ
อยู่ต่ำมองสูงไว้ เป็นกำลังใจให้ฝ่าฟัน”
“เป็นลูกไก่ในกำมือ หรือจักถือกำหัวใจ
ชีวิตเราใช่ของใคร ใช่ลูกไก่ให้ใครกำ”
“กำแพงแข็งแกร่งกั้น เครื่องกีดกันให้ฟันฝ่า
หัวใจให้ทายท้า สู้ชีวาฝ่ากำแพง”
“จุดหมายที่ปลายฟ้า ใช้เวลากว่าถึงฝัน
เส้นชัยแห่งชีวัน ต้องฝ่าฟันทั้งชีวี
ถ้อยคำประกอบภาพถ่ายของลูกสาว ญาดา ดวงไสว


“โลกแล้วร้อนใจร้อนรุ่ม โลกถูกรุมทำลายล้าง
คนใจแล้งไม่จืดจาง ทำลายล้างไม่จบสิ้น
“มีมืด มีสว่าง ณ เส้นทางคนสร้างสรรค์
มีอุปสรรคมีฝ่าฟัน ใจมุ่งมั่นไม่พ่ายแพ้”
“คือเหตุเป็นเบื้องต้น ส่งเป็นผลยลติดตาม
มีแสงส่องเงางาม เงาทบทวนติดตรึงตรา”
“เบาบางจึงบางเบา จึงว่างเปล่าลงเบาบาง
ใจจิตคิดปล่อยวาง จิตจึงว่างลงบางเบา”
ถ้อยคำประกอบภาพถ่าย ของ พ่อสมปอง ดวงไสว



สมปอง ดวงไสว อดีตครูโรงเรียนวัดสุทธิวรรณกรรม และโรงเรียนวัดสังเวช อาจารย์พิเศษ ม.ธรรมศาสตร์, เกษตรศาสตร์ นักเขียนคณะศิลปวัฒนธรรม นักถ่ายภาพ รักการขีดเขียน รักจักรยาน ผูกพันกับบางลำพู มีผลงานเขียนหลายเล่ม ล่าสุดฝากผลงานในฐานะผู้เขียน และบรรณาธิการหนังสือสำคัญ “รอยทางเจริญธรรม”


ลูกสาวญาดา ผู้รักการเดินทาง มีประสบการณ์ชีวิต เรียน และทำงานอยู่ต่างประเทศ บันทึกโลกผ่านสายตา และกล้องของเธอ


“กล้องคือเครื่องมือที่หยุดกาลเวลาได้ ภาพถ่ายคืออัญมณีอันทรงค่า ที่เจียระไนด้วยใจของนักถ่ายภาพ” (สงคราม โพธิ์วิไล)


“สมญาภาพย์” หนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่จุดประกายสานฝัน เติมไฟ และให้กำลังใจชีวิต สำหรับใครบางคนที่สนใจความงามในความเงียบ สงบนิ่ง ที่จะเฝ้ามอง บางสิ่งบางอย่าง ในชั่วขณะภาวะหนึ่ง ซึ่งภาพถ่ายได้ “หยุดกาลเวลา” ไว้ และสำหรับ ใครบางคนที่นั่งฟังถ้อยคำสักประโยคแล้วดิ่งลึกลงไปในความหมายหลังถ้อยคำนั้น


ด้วยหัวใจ และดวงตา “สมญาภาพย์” ญาดา ดวงไสว สมปอง ดวงไสว ลูกสาวของพ่อ และพ่อของลูกสาว







ภาพและข้อมูลจาก
คอลัมน์ "ศิลป์แห่งแผ่นดิน" นสพ.คม ชัด ลึก ๑๖ พ.ย. ๒๕๕๗
komchadluek.net















'ดุลยภาพแห่งชีวิต' ปูนปั้นยอดเยี่ยม ชวนมองคุณธรรมชีวิต


ในนิทรรศการศิลปกรรม "นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต" ครั้งที่ ๒๖ ประจำปี ๒๕๕๗ คงไม่มีผลงานใดโดนเด่นไปกว่า "ดุลยภาพแห่งชีวิต" งานปูนปั้นสีขาวเทคนิคผสม สะท้อนความสมดุลและวัฏจักรของสรรพสิ่ง ถ่ายทอดผ่านโลก ป่า และธรรมชาติ ในจินตนาการของอชิรญา ขับกล่อมส่ง นักศึกษาชั้นปีที่ ๕ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่สามารถคว้ารางวัลยอดเยี่ยมในระดับอุดมศึกษาและบุคคลทั่วไป พร้อมกับได้รับพระราชทานเกียรติบัตรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ที่ผ่านมา


ผลงานดังกล่าวสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด "นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต" เป็นแนวคิดที่กลุ่มโตชิบา ประเทศไทย ได้นำมาเป็นแนวทางในการถ่ายทอดงานศิลปะตลอดระยะเวลา ๒๖ ปีที่ผ่านมา






อ.นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กล่าวถึงเหตุผลการตัดสินให้ "ดุลยภาพแห่งชีวิต" เป็นประติมากรรมยอดเยี่ยมว่า ผลงานชิ้นนี้มีความโดดเด่นเป็นเอกภาพ มีความหมายที่สื่อเรื่องความเป็นไปของธรรมชาติได้ชัดเจน ในเรื่องของรูปแบบที่น่าสนใจ มีความหลากหลาย มีความเป็นธรรมชาติที่เอื้ออาทรกัน มีการจัดวางที่โดดเด่นกว่าชิ้นอื่น ปูนปั้นมีเทคนิคฝีมือสะท้อนตัวตนของศิลปิน มีการนำมาแปะติดเชื่อมกันหลายชิ้น ประกอบกันเป็นเรื่องราว ถึงจะเป็นวัสดุโบราณ แต่นำมาสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ สื่อความหมายนำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต


รวมถึง ศาสตราจารย์ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ กล่าวเช่นเดียวกันว่า แนวคิดงานพูดถึงการสร้างโลกใหม่ในจินตนาการที่ศิลปินฝัน คล้ายแดนหิมพานต์ เขาสร้างสิงสาราสัตว์ขึ้นมาจากจินตนาการ ด้วยการใช้วัสดุที่ทำขึ้นมาเอง เอาดิน ปูน มาผสมกระดาษ วิธีการปั้นตรงนี้เป็นการประดิดประดอย สะท้อนบุคลิกของศิลปิน มีความเฉิ่มๆ นิดหน่อย การประกอบสร้างรูปทรง และการติดวัสดุมีความเรียบง่าย ซึ่งเป็นอีกบุคลิกที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ผลงานชิ้นนี้เป็นความพยายามจะสร้างดินแดนสักแห่งที่สมมติขึ้น โลกในฝันที่เขาอยากเป็น






อชิรญา ขับกล่อมส่ง เจ้าของผลงานรางวัลยอดเยี่ยมปีนี้ เผยว่า แนวคิด นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต เป็นเรื่องของความดีงาม เช่นเดียวกับผลงานดุลยภาพแห่งชีวิต พูดถึงการเพิ่มพูน ความสมดุลของชีวิตบนโลกใบนี้ โดยเลือกใช้น้ำพุ สัญลักษณ์ของการพวยพุ่งหมุนเวียน มีตุ๊กตาปูนปั้น ลักษณะแปลกตา ผสมผสานระหว่างคน พืช สัตว์ จัดวางอยู่โดยรอบ เป็นตัวแทนของความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะในความเป็นจริงแล้ว คน พืช สัตว์ คือเอกภาพ ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อคงสภาวะความสมดุล ให้โลกมีความเหมาะสมพอดี โดยผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ย่อยสลายต่างมีเหตุผล นำไปสู่วัฏจักรแห่งชีวิต






"กล่าวได้ว่า โลกปัจจุบันไม่มีความสมดุล อากาศแปรปรวนอย่างเห็นได้ชัดนั้น ก็เกิดจากคนเราให้และรับไม่เท่าเดิม เรากอบโกยจากธรรมชาติ แต่ไม่ได้มอบสิ่งที่ธรรมชาติให้กลับคืน จึงอยากนำเสนอมุมมองที่ดีของธรรมชาติ ความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง ผ่านประติมากรรมปูนปั้นแฟนตาซี ชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ผลงานที่เห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกับโลกความเป็นจริงหรือเปล่า"






ทั้งนี้ อริชญายังกล่าวด้วยว่า การประกวดศิลปกรรมนำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต เป็นเวทีที่เปิดรับงานศิลปะร่วมสมัย ซึ่งใกล้เคียงกับแนวงานที่ทำอยู่ เป็นเทคนิคปูนปั้นแบบไทยผสานแนวคิดร่วมสมัย จึงตัดสินใจส่งผลงานเข้าแข่งขัน โดยครั้งนี้ได้นำศิลปะการจัดวางเข้ามาประยุกต์ สำหรับการเลือกส่งผลงานในแต่ละครั้ง เราจำเป็นต้องดูแนวงานของเวทีการประกวดนั้น ๆ ด้วย เพราะจะทำให้ผลงานของเรามีโอกาสเข้าสู่รอบลึก ๆ อีกทั้งศิลปินไม่ต้องปรับเปลี่ยนการทำงานมากนัก สามารถสะท้อนความเป็นตัวตนได้อย่างเต็มที่






นอกจากนี้ยังมีรางวัลยอดเยี่ยมอีก ๒ ระดับ ดังนี้ รางวัลยอดเยี่ยมระดับอนุบาล-ประถมศึกษาปีที่ ๓ คือผลงาน "แสงสุดท้าย" โดยเด็กชายกฤต ภาส เพชรานนท์ จากจังหวัดเชียงใหม่ และราง วัลยอดเยี่ยมระดับประถมศึกษาปีที่ ๔-๖ ผลงาน "ส่งใจ แรงกาย สู่ชาวใต้" โดยเด็กหญิงกังศดาล โยธาธร จากจังหวัดหนองคาย โดยผลงานกว่า ๑o๕ ชิ้นที่ผ่านการคัดเลือก จะจัดแสดงระหว่างวันนี้-๓o ธันวาคม ๒๕๕๗ และในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ จะนำผลงานบางส่วนไปจัดแสดงในต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่และปัตตานี เป็นต้น.



ภาพและข้อมูลจาก
นสพ.ไทยโพสต์ ๑๗ พ.ย. ๒๕๕๗
ryt9.com
เฟซบุคหอศิลป์เจ้าฟ้าฯ















ทึ่ง…มองจีนคืนความเก่าให้กรุงปักกิ่ง
lbibvyPPk


ใครที่ไปปักกิ่งในระยะใกล้ ๆ มานี้ ก็จะสังเกตเห็นว่า ได้มีการทำสัญลักษณ์บนอาคารหรือด้านหน้าอาคารที่เป็นแบบจีน ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมสมัยหมิง สมัยชิง หรือสมัยอื่น ๆ ที่ดูแล้วก็เห็นถึงความเป็นจีนและสัมผัสได้ถึงความเป็นจีนมากขึ้น


ถนนหลายสายได้มีการปรับปรุงอาคารหรือสร้างใหม่ หรือผสมกับการปรับปรุงซากเก่าให้เป็นอาคารแบบเก่า และทำให้เป็นแหล่งถนนคนเดิน หรือแหล่งจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น


ในบางเมือง เช่น นครซีอาน หรือเมืองเฉิงตู ของมณฑลเสฉวน หรือหลายพื้นที่ของเซี่ยงไฮ้ได้มีการปรับปรุงอาคารแบบเก่า รวมทั้งการสร้างอาคารแบบเก่าขึ้นมาใหม่ตลอดสองข้างถนน
ที่สำคัญ ในกรุงปักกิ่งนั้นกำลังมีคำขวัญคืนความเก่าให้กับปักกิ่ง โดยถนนบางสายได้จัดทำเป็นถนนคนเดิน มีการปรับปรุงและก่อสร้างอาคารเป็นแบบสมัยราชวงศ์ชิง และจัดให้มีการค้าขายแบบเดียวกับที่เคยเป็นมาในสมัยต้นราชวงศ์ชิง


การปรับปรุงให้เป็นแบบเก่านั้น ไม่ใช่เพื่อการชมหรือดูด้วยตาหรือใช้สอยอย่างอื่นไม่ได้ แต่เป็นการปรับปรุงเพื่อให้ฟื้นคืนสถาปัตยกรรมแบบโบราณและสามารถใช้สอยได้จริง ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวหรือแหล่งจับจ่ายใช้สอยให้กับประเทศจีน และเมืองต่าง ๆ ของจีน


ที่นครซีอานได้มีการสร้างเมืองต้าถังขึ้นมาใหม่ เป็นแบบสมัยราชวงศ์ถัง ภายในตัวเมืองมีปราสาทราชวังและอาคารร้านรวงต่าง ๆ อย่างเดียวกันกับที่มีอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง และเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวโดยทั่วไป รวมทั้งการเปิดให้พักแบบโรงแรมด้วยในอัตราค่าที่พักที่สูงลิ่ว แต่กลับเป็นที่นิยมชมชอบของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ถึงขนาดมีการจองล่วงหน้านานนับปี


ที่เมืองเฉิงตู นครเสฉวน ถนนหลายสายเป็นแบบเก่า มีอาคารร้านรวงแบบเก่าเกิดขึ้น เป็นการคืนความเก่าให้กับประเทศจีน แต่ใช้เป็นถนนคนเดิน ใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ใช้เป็นแหล่งค้าขายที่สร้างรายได้ให้กับคนจีนและประเทศจีน


ที่มณฑลเจียงซู ทั้งซูโจวและหังโจว กำลังมีการคืนความเก่าให้กับดินแดนที่สวยงามดุจเมืองสวรรค์กันอย่างขนานใหญ่ เพราะเมืองซูโจวและหัวโจว กวีลือนามที่มีนามว่าหลี่ไป๋ เคยเขียนบทกวีชมเมืองทั้งสองนี้ไว้ว่า “บนฟ้ามีสวรรค์ บนดินมีซู-หัง” คือมีซูโจวและหังโจวนั่นเอง


การฟื้นคืนความเก่าให้แก่เมืองต่าง ๆ ของประเทศจีนเพื่อคืนความเป็นจีน คืนบรรยากาศยุคโบราณเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งค้าขาย กำลังกลายเป็นกระแสหลักและกระแสใหญ่ในประเทศจีน


เพราะจีนจับทางได้ว่านักท่องเที่ยวที่ไปเยือนประเทศจีนนั้นไม่ได้ต้องการดูความเจริญก้าวหน้าของจีนแบบยุโรปหรืออเมริกา แต่ต้องการไปเยี่ยมชมความเป็นจริง และศิลปวัฒนธรรมโบราณของจีน


ดังนั้นการตอบสนองต่อความต้องการบนพื้นฐานการฟื้นฟูวัฒนธรรม อารยธรรม และศิลปกรรม สถาปัตยกรรมแบบจีนขึ้นทั่วทั้งแผ่นดินจีนในขณะนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามอง เพราะนั่นกำลังเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศจีนมากขึ้นและจับจ่ายใช้สอยในประเทศจีนมากขึ้น
แล้วบ้านเมืองของเราเล่าเป็นอย่างไร? เรากำลังจัดระเบียบขับไล่ผู้ค้าผู้ขายออกจากแหล่งทำมาหากิน จะให้ไปขายที่ไหนก็ไม่รู้ สุดแท้แต่บุญกรรม


กรุงเทพมหานครเมื่อ ๕o ปีก่อนมีประชากรไม่มาก มีตลาดอยู่แค่ไหน มาถึงวันนี้ก็ยังมีอยู่แค่นั้น มีเพิ่มขึ้นบ้างก็ไม่เป็นสัดส่วนที่พอดีกับการเพิ่มขึ้นของประชากรที่มีจำนวนมากกว่า ๑o ล้านคนขึ้นไปแล้ว

เมื่อมีคนมาก ความต้องการจับจ่ายใช้สอยก็มีมาก แต่เมื่อไม่มีพื้นที่ตลาด ไม่มีพื้นที่คนเดิน ไม่มีแหล่งท่องเที่ยว และแหล่งจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ธรรมชาติจึงบันดาลให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าหรือผู้ที่ดิ้นรนหาเช้ากินค่ำต้องตั้งหาบเร่แผงลอยค้าขายกันโดยทั่วไป


แล้วทำให้คนมีบุญอำนาจวาสนาพากันรำคาญว่าเป็นเรื่องสกปรกรกรุงรัง กระทั่งรื้อของเก่า สร้างใหม่ จนกระทั่งไม่รู้ว่าของใหม่นั้นเป็นอะไร ทำให้บรรดาคนทั้งหลายที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยไม่สามารถพบเห็นความเป็นไทย เพราะดูบรรดาตึกรามบ้านช่องทั้งหลายก็กลับกลายเป็นแบบฝรั่งอนาถาไปทั้งสิ้น


ถึงเวลาหรือยังที่เราจะคิดคืนความเก่าให้กับประเทศไทย คืนความเป็นไทยให้กับประเทศไทย กำหนดแบบแผนการก่อสร้างและสถาปัตยกรรมในพื้นที่อนุรักษ์ให้เป็นแบบไทย กำหนดการก่อสร้างในพื้นที่ประวัติศาสตร์ให้เป็นแบบดั้งเดิม คืนยุคสมัยล้านนา ลพบุรี สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์ให้กับแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง


เพิ่มพื้นที่คนเดิน เพิ่มพื้นที่จับจ่ายใช้สอย เพิ่มตลาด เพิ่มแหล่งค้าขายสำหรับประชาชนให้เพียงพอต่อการเพิ่มขึ้นของประชากร ซึ่งเป็นการจัดระเบียบอย่างถาวรทั้งให้เกิดความสวยงาม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นแบบไทย ๆ


จะดีกว่าการขับไล่ไสส่งให้ไปตายตามบุญตามกรรมไม่ใช่หรือ?



ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com
thewingsofhope.org















There are Reasons to Begin


ด้วยการริเริ่มของ Mite-Ugro องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ พร้อมยังเป็นสถานที่พบปะเสวนาแลกเปลี่ยน ของบุคลากรทางศิลปะในเมืองกวางจู ประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงยังเป็นสถานที่ที่ร่วมจัดโปรแกรมให้ศิลปินในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พำนัก


ครั้งนี้ Mite-Ugro ได้ร่วมมือกับ Gwangju Cultural Foundation เพื่อเผยแพร่ศิลปะร่วมสมัยของกวางจู เมืองที่ใหญ่เป็นอับดับที่ ๖ ของประเทศ มีวัฒนธรรม วิถีชีวิต และศิลปะของตัวเอง โดยเฉพาะเทศกาลศิลปะ Gwangju Biennale ที่จัดขึ้นเพื่อร่วมเคลื่อนไหวและมีบทบาทต่อวงการศิลปะร่วมสมัยในเกาหลีตลอดมา


นิทรรศการ There are Reasons to Begin เป็นครั้งแรกของการนำเสนอผลงานศิลปะร่วมสมัย โดย ๗ ศิลปินชั้นนำจากเมืองกวางจู ได้แก่ Chanboo Jung, Guhwan Park, Hoyoon Shin, Leenam Lee, Ma C, Sehee Sarah Bark และ Seongheup Ha ซึ่งล้วนเป็นศิลปินแถวหน้าและเสาหลักของแวดวงศิลปะร่วมสมัยในเมืองกวางจู มีผลงานนำเสนอทั้งในประเทศเกาหลี และเป็นที่จับตาในระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น ภาพถ่าย ผลงานวีดีโอจัดวาง สื่อประสม ฯลฯ


ไทยและกวางจูมีความคล้ายคลึงทางด้านประวัติศาสตร์การเมือง แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือสังคมที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด พร้อมๆกับการปรับตัวทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของเกาหลี นิทรรศการครั้งนี้จึงเป็นการเปิดประตูบานสำคัญให้เราได้รู้จักรูปแบบศิลปะร่วมสมัยในเมืองกวางจู ที่กล่าวได้ว่าเป็นความสำเร็จของการร่วมมือส่งเสริมความก้าวหน้าของวงการศิลปะระหว่างภาครัฐและเอกชนของประเทศเกาหลีใต้


พิธีเปิดนิทรรศการ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.oo น. ณ นำทองแกลเลอรี


นิทรรศการ : There are Reasons to Begin
ศิลปิน : Chanboo Jung, Guhwan Park, Hoyoon Shin, Leenam Lee, Ma C, Sehee Sarah Bark และ Seongheup Ha
วันที่ : ๒๗ พฤศจิกายน – ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
สถานที่ : นำทองแกลเลอรี (Numthong Gallery (BTS:สถานี อารีย์ – ทางออกหมายเลข 3 ))
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : o๒-๖๑๗-๒๗๙๔
Facebook : https://www.facebook.com/NumthongGalleryAtAree



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com















แวะเข้าโรงหนังชมภาพยนตร์สารคดีชั้นเยี่ยมระดับโลก


โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ร่วมกับ documentary club เอาใจคนชอบดูหนังแนวสารคดี ด้วยการจัดสรรภาพยนตร์เรื่องสนุก ๔ เรื่องมาฉายให้คนไทยได้ดูกันในโปรโมชัน DOC HOLIDAY “วันหยุดสุดบันดาลใจกับหนังสารคดีชั้นดี”


ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่ฉายในประเทศไทย มักจะเป็นหนังแนวตลาด หรือหนังของดารา ผู้กำกับคนดัง นาน ๆ ครั้งถึงจะมีหนังแนวแหวกกระแส ออกทางอินดี้ หรือหนังพล็อตแปลก ๆ มาให้รับชมกัน ยิ่งถ้าเป็นภาพยนตร์แบบสารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องจริงแบบไม่อิงนิยาย นี่แทบจะหารับชมกันไม่ได้เลยทีเดียว ดังนั้นงาน Doc Holiday จึงเรียกได้ว่าเป็นงานพิเศษๆ สุด ๆ ที่แฟนหนังชาวไทยจะได้รับชมภาพยนตร์สารคดีที่น่าสนใจและมีคุณภาพโด่งดังระดับโลกมาให้ชมกัน


งานนี้ทางผู้จัดได้คัดเลือกสรรภาพยนตร์คุณภาพที่มีรางวัลการันตีจากทั่วโลกรวมมาให้ชมกัน โดยจะมีมาให้ชมทั้งสิ้น ๔ เรื่อง ได้แก่ Finding Vivian Maier, The Case against 8, The Circle และ Life itself และทุกเรื่องมีบทบรรยายไทยให้คอหนังชาวไทยได้รับชมกันอย่างจุใจ


โดยงานนี้จะเริ่มฉายตั้งแต่ช่วงวันพ่อ ๕ ธันวาคม ถึงวันที่ ๗ ในช่วงเวลา ๑๗.oo น. ที่โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า บนเซ็นทรัลเวิลด์ชั้น ๗ โดยเรื่องแรกที่จะเปิดฉายรอบพิเศษในวันอาทิตย์ที่ ๓o พฤศจิกายนนี้ เวลา ๒o.oo น. เป็นเรื่อง Finding Vivian Maier สารคดีที่จะมาคลี่ปริศนาภาพถ่ายของวิเวียน ไมเออร์ ช่างภาพหญิงลึกลับที่คนนับล้านคลั่งไคล้ โลกได้ยกย่องให้เธอเป็นช่างภาพสตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ได้รับการค้นพบในศตวรรษที่ ๒๑ แต่ทำไมเมื่อ ๕o ปีก่อน เธอจึงถ่ายรูปไว้นับแสนภาพ และเก็บลงกล่อง ไม่ล็อก ปิดห้อง และไม่เคยยอมให้ใครได้รับชมภาพถ่ายของเธอ ทำไมเธอต้องซ่อนตัวคนอันแท้จริงในฐานะตากล้องฝีมือดี ภายใต้คราบของ พี่เลี้ยงเด็ก เรื่องราวทั้งหมดจะถูกนำมาถ่ายทอดให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น


ใครที่อยากรับชมสามารถจองตั๋วล่วงหน้าได้ก่อนในรอบpre-sale ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน เป็นต้นไป สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SF Call Center o-๒๒๖๘-๘๘๘๘ หรือ sfcinemacity.com



ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th















เปิดตัว Smirnoff Festive Box 'BoomBox' ฝีมือ Jirayu Koo ศิลปินชื่อดังระดับอินเตอร์


Smirnoff (สเมอร์นอฟ) แบรนด์วอดก้าสปิริตพรีเมียมของโลก กลับมาสร้างเสียงฮือฮาอีกครั้งกับโปรเจกท์งานศิลป์ ต้อนรับเทศกาลเฉลิมฉลองปลายปี สู่การเปิดตัว Smirnoff Festive Box “BoomBox” อีกหนึ่งแพ็กเกจพิเศษของ Smirnoff ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรยากาศงานปาร์ตี้ สีสัน และความสนุกสุดเหวี่ยง พร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วไป






Smirnoff Festive Box “BoomBox”โปรเจกท์พิเศษนี้ นำเสนอผลงานการออกแบบของ จิรายุ คูอมรพัฒนะ หรือชื่อที่รู้จักกันในวงการศิลปะว่า “Jirayu Koo” ศิลปินไทยที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติด้วยการสร้างสรรค์งานศิลป์แนวคอลลาจ (แนวตัดแปะ) จากกระดาษอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผลงานที่เธอสร้างสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษให้กับ Smirnoff ครั้งนี้ เป็นการผสมระหว่างคำว่า “Box” หมายถึงหีบห่อ และ “Boom” สื่อถึงความสนุกสนานที่ระเบิดขึ้นในการเฉลิมฉลองและปาร์ตี้






จิรายุ คูอมรพัฒนะ ศิลปินสาวชื่อดัง อธิบายถึงแนวคิดในการเลือกรูปทรงเรขาคณิตมาเป็นส่วนประกอบหลักของการออกแบบ BoomBox ว่า ยกตัวอย่างเช่นยอดแหลมรูปสามเหลี่ยมทับซ้อนกัน สื่อถึงแสงไฟจากปาร์ตี้ที่สาดส่องไปทั่ว และเป็นสัญลักษณ์แทนเสียงเพลงมัน ๆ ที่ดังออกมาจากลำโพง สร้างความตื่นเต้นสนุกสนานถึงขีดสุดแก่ชาวปาร์ตี้ ไฮไลท์พิเศษที่สร้างขึ้นโดยการใช้เทคนิคการพิมพ์ เพื่อล้อเล่นกับแสงไฟในมุมต่างๆ สี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่สร้างขื้นด้วยเทคนิคโฮโลแกรมยังสามารถปรากฏขึ้นรอบ ๆ กล่อง สื่อถึงงานปาร์ตี้ที่เกิดขึ้นได้ทั้งในร่มและกลางแจ้งท่ามกลางแสงดาว ล้วนเป็นส่วนประกอบที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับผู้ชมได้อย่างงดงามและมีชั้นเชิง






ทั้งนี้ในปลายปีนี้เหล่าขาปาร์ตี้จะได้สัมผัสช่วงเวลาดีๆ และประสบการณ์ใหม่กับ Smirnoff Festive Box “BoomBox” ที่จะช่วยเพิ่มบรรยากาศงานปาร์ตี้ให้สนุกแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร และสร้างแรงบันดาลใจให้“การคิดนอกกรอบ”กับดีไซน์และเทคนิคการออกแบบที่หลากหลายน่าสนใจ ซึ่งจะกลายเป็นศูนย์รวมความสนุกและช่วงเวลาดี ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะ บรรยากาศของงานปาร์ตี้และการสร้างสรรค์ไม่รู้จบ โดยกล่องดีไซน์พิเศษนี้ยังจะกลายเป็นของที่ระลึกจากงานปาร์ตี้สุดเหวี่ยง และของสะสมที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะด้วย















ภาพและข้อมูลจากเวบ
naewna.com















เสียงเห่าหอน สะท้อนสังคม


อ่ยชื่อ “ธง อุดมผล” หลายคนคุ้นตากับงานศิลปะของเขา ที่มักนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ “สุนัข” ซึ่งบางคนอาจคิดว่า น่าจะมีที่มีจากเพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่รักและเลี้ยงสุนัข ทว่าในความจริงแล้ว งานศิลปะเกี่ยวกับสุนัขของเขา มีจุดเริ่มต้นมาจาก “กองขยะ” ราวสิบกว่าปีก่อน ธงเลือกที่จะสะท้อนปัญหาสังคม ผ่านภาพเขียนเทคนิคสีน้ำมัน ซึ่งเป็นภาพบรรดาสิ่งของเหลือใช้ที่พบได้ในกองขยะ จากนั้นเขาก็ขยับมาเขียนภาพสุนัข เพราะเมื่อเหลือบมองไปรอบๆ บ่อยครั้งที่เขาพบเห็นมัน ดำรงชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของกองขยะ นอกจากจะสะท้อนใจว่า มันก็ไม่ต่างไปจากบรรดาสิ่งของเหลือใช้หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกนำทิ้ง บางเวลาเขายังรับรู้ได้ถึงความโดดเดี่ยวที่เกี่ยวโยงมาถึงชีวิตของตนเอง


“สุนัขบางตัวที่ผมเห็น เหมือนมันกำลังสิ้นแรงอยู่ข้างๆ กองขยะ สะเทือนใจไม่ต่างจากเวลาที่เราเห็นซากของตุ๊กตา หรือรับทราบข่าวของเด็กทารกที่ถูกแม่นำมาทิ้งที่กองขยะ”


จากนั้นธงจึงเริ่มต้นเขียนภาพสุนัขชิ้นเล็ก ๆ โดยการใช้เทคนิคในเดียวกันกับที่เคยเขียนภาพกองขยะ นั่นคือ เขียนด้วยสีน้ำมันบางๆเพื่อให้ได้ภาพที่มีลักษณะใส ๆ










จนในเวลาต่อมา ธงได้จัดแสดงเดี่ยวผลงานศิลปะของตัวเองที่เกี่ยวกับสุนัขครั้งแรกในชื่อ นิทรรศการ “จิตรกรรมหมา หมา” ที่มีทั้งภาพครอบครัวสุนัขและสุนัขที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง


“เพราะตอนนั้นส่วนตัวผมเริ่มมีความวิตกกังวลเรื่องภัยธรรมชาติ เรื่องสิ่งแวดล้อมที่มันเปลี่ยนไป ดังนั้นสุนัขในภาพส่วนหนึ่งมันก็เป็นสัญลักษณ์แทนตัวผม และคนรอบข้างที่มีความวิตกกังวลในเรื่องสิ่งแวดล้อม บางภาพผมเขียนภาพสุนัข ที่ดูคล้ายกำลังติดเกาะหรือติดอยู่ในซากประหลักหักพัง ล้อมรอบด้วยน้ำที่ท่วมเมือง ผมเขียน ก่อนจะเกิดเหตุการณ์นำท่วมกรุงเทพฯ ในปี ๒๕๕๔”


และการแสดงงานครั้งนั้นได้ดึงดูดคนที่รักสุนัขมาให้เขาได้พบและทำความรู้จักเป็นจำนวนมาก


“คนเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็หลงคิดไปเหมือนกันว่า ผมเริ่มต้นทำงานมาจากความที่เป็นคนรักสุนัขเลี้ยงสุนัข อันที่จริงเรื่องความผูกพันของเรากับสุนัข มันก็มีมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับคนอื่นๆที่เขารักและทุ่มเททั้งชีวิตให้ เราอาจจะไม่ถึง ๕o เปอร์เซ็นต์ของคนเหล่านั้น เพราะเราเริ่มต้นมาจากการที่เราพบเห็นมันที่กองขยะ และชีวิตมันก็สะท้อนให้เราเห็นชีวิตตัวเอง และสะท้อนสังคม”


เว้นช่วงไปราว ๕ ปี ก่อนจะมีนิทรรศการแสดงเดี่ยวศิลปะเกี่ยวกับสุนัขอีกครั้ง ระหว่างนั้น หากมีกิจกรรมเวิร์คชอปศิลปะ,ร่วมแสดงงานกับศิลปินคนอื่น ๆ และได้รับทุนสร้างงานศิลปะ ธงก็ยังเลือกที่จะทำงานศิลปะที่เกี่ยวกับสุนัขไปร่วมแสดง แต่เรื่องราวของสุนัขในภาพ อาจเปลี่ยนไปตามสภาวะอารมณ์และความรู้สึกของเขาที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว


“ตัวอย่างเมื่อสองปีที่แล้วที่ผมแสดงผลงานร่วมกับอาจารย์สมพร แต้มประสิทธิ์ ผ่านนิทรรศการ ชีวิตสัตว์โลก (Life- Animals) สุนัขในภาพก็จะเป็นสุนัขที่มีความเพ้อฝัน เป็นงานในลักษณะแฟนตาซี เขียนสุนัขเป็น Angel บ้าง เป็น Devil บ้าง และบางภาพก็มีการหยิบยืมเอางานศิลปะของศิลปินคนสำคัญๆระดับโลกมาล้อเลียน”


และเมื่อปีที่แล้ว ผมเป็นหนึ่งในผู้ได้รับ “ทุนสร้างสรรค์ ศิลป์ พีระศรี” ซึ่งงานศิลปะที่ผมเสนอไปและทำให้ได้รับทุนนี้ เป็นภาพเขียนเทคนิคสีน้ำมันชิ้นใหญ่สะท้อนภาพชีวิตสุนัขถูกจับไปขาย และอัดแน่นอยู่ในกรง ซึ่งสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมคือ เรื่องราวของสุนัขที่ผมรับรู้ผ่านสื่อ”










ล่าสุด นิทรรศการแสดงเดี่ยวศิลปะกับเกี่ยวกับสุนัขชุด “เสียงเห่าหอน สะท้อนสังคม” นอกจากจะมีภาพเขียนของสุนัขในรูปแบบเดียวกับที่ทำให้ได้รับทุนสร้างสรรค์ ศิลป์ พีระศรี มาจัดแสดง ธงยังมีภาพสุนัข ซึ่งเป็นงาน Drawing ผสม Painting บนกระดาษหนังสือพิมพ์ มาร่วมแสดง เนื่องจากเป็นช่วงที่เขาทดลองนำวัสดุเหลือใช้อย่างหนังสือพิมพ์มาทำงานศิลปะ และหากเดินทางไปแสดงงานในต่างประเทศ ก็จะพยายามหาหนังสือพิมพ์ของประเทศนั้น ๆ มาใช้เป็นวัสดุในการทำงาน ส่วนเรื่องราวของสุนัขในงานศิลปะเทคนิคนี้ของเขา ต้องการสะท้อนว่าสังคมสุนัข ก็ไม่ต่างจากสังคมมนุษย์ที่มีการต่อสู้เพื่อแย่งชิง มีการแสดงออกตามสัญชาตญาณ และบางส่วนของภาพยังปรากฎตัวหนังสือที่สอดคล้องกับเรื่องราวและเหตุการณ์ในสังคมที่กำลังเป็นอยู่


นอกจากนี้ธงยังมีภาพสุนัข ซึ่งเป็นงาน Drawing และภาพเขียนเทคนิคสีน้ำ ชิ้นเล็ก ๆ จำนวนหลายชิ้นมาร่วมแสดงในนิทรรศการด้วย ซึ่ง งานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะที่ทำในช่วงเวลาที่ต้องการผ่อนคลายตัวเอง และทำเพื่อคั่นเวลา ก่อนจะลงมือทำงานชิ้นใหญ่


“เพราะก่อนจะทำงานชิ้นใหญ่ เราจะมีการสเก็ตซ์งานก่อน แต่งานชิ้นเล็กๆเหล่านี้ มันเป็นมากกว่างานสเก็ตซ์ของเรา คือเราพยายาม Drawing และทำให้มันมีสีสันขึ้น ด้วยการลองเขียนด้วยสีน้ำดูบ้าง”










โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง ...เสียงนี้อาจไม่ดังออกมาจากชิ้นงานให้เราได้ยินด้วยหู ในเวลาที่ชมงานศิลปะชุดนี้ของธง แต่เขาก็ปรารถนาว่า ภาพที่ทุกคนเห็นผ่านตาจะสามารถสะเทือนไปถึงใจ รับรู้ได้ถึงด้านที่เจ็บปวดของสัตว์ที่หลายคนยกให้เป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของมนุษย์


“อยากให้งานของของผมเป็นตัวแทนของการรับรู้และได้ยินเสียงอันนั้น และปลุกจิตสำนึกของแต่ละคนว่าเราควรจะทำอย่างไร ถ้าเรามีสัตว์เลี้ยงอยู่ที่บ้าน และในเวลาที่เจอสัตว์เหล่านี้อยู่นอกบ้านและกำลังถูกกระทำ เราควรจะตระหนักไม่ร่วมสร้างปัญหา หรือร่วมแก้ปัญหาอย่างไร”


ขณะเดียวกันอยากให้ผู้ชมลองเปิดใจชมงานศิลปะในลักษณะที่ชวนหดหู่สิ้นหวัง หรือชวนให้เศร้าหมองดูบ้าง เพราะมันเป็นอีกทางเลือกในการเสพศิลปะ


“ ขณะที่ส่วนหนึ่งเราได้เคยชมภาพเขียนที่มันให้ความสดชื่นแก่เรา อย่างภาพดอกไม้หรือภาพอย่างอื่นที่มันมีความสวยงาม เราก็ลองมาชมงานในลักษะณะนี้ดูบ้าง มันก็คงไม่ต่างจากบางอารมณ์ที่เราก็อยากจะดูละครที่มันชวนให้โศกเศร้าเคล้าน้ำตา”


นิทรรศการ “เสียงเห่าหอน สะท้อนสังคม” โดย ธง อุดมผล วันนี้ - ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ณ หอศิลป์จามจุรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย











ภาพและข้อมูลจากเวบ
manager.co.th















เทพนิยาย


เทพนิยาย โดย นิพนธ์ อินทฤทธิ์ งานภาพถ่ายสารคดีกับการตีความหมายใหม่ โดย อ.สุชีพ กรรณสูต และ อ.ภูมิกมล ผดุงรัตน์ นิพนธ์ อินทฤทธิ์ ได้รับรางวัลชมเชยจากสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๓ และมีผลงานตีพิมพ์ในช่วงต้นทศวรรษ 40นิพนธ์ อินทฤทธิ์( เกิดเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๑) , เคยมีผลงานแสดงภาพถ่ายเดี่ยวมาแล้ว ๔ ครั้ง Kathmandhu Photo Gallery(Fairytale เทพนิยาย), Onon Gallery by PDC Phuket (Fairytale Extention เทพนิยายภาคขยาย), Arun In Bangkok Gallery(Fairytale Extention เทพนิยายภาคขยาย), Wangchan Gallery (Equality of Human คนเท่ากัน) และเร็ว ๆ นี้ Kathmandhu Photo Gallery ( Man’s Religion ศาสนาของผู้ชาย)​


ขอเชิญทุกท่านร่วมงานเปิดนิทรรศการโดย อนุชัย ศรีจรูญภู่ทอง ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ หอศิลป์พัฒนา คณะศิลปะและการออกแบบ ม.รังสิต


นิทรรศการ : เทพนิยาย
ศิลปิน : นิพนธ์ อินทฤทธิ์
วันที่ : ๒o พฤศจิกายน – ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๗
สถานที่ : หอศิลป์พัฒนา คณะศิลปะและการออกแบบ ม.รังสิต
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : o๒-๙๗๗-๒๒oo-๓o ต่อ ๓๔๓๖, o๘๙-๖๑๔-๖๖๖๒



















ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com















Timeless Harmony


นิทรรศการในครั้งเป็นการแสดงผลงานของศิลปินพ่อและลูก โจเชฟ เซอร์เคอร์ ศิลปินชาวอเมริกาที่มีชื่อเสียง และลูกสาว ลิซ่า (เซอร์เคอร์) มอส ศิลปินผู้พำนักอยู่ที่จังหวัดเชียงรายJoseph Zirker NA ศิลปินผู้คิดค้นเทคนิคการพิมพ์แบบแคสท์อะคริลิค (Cast Acrylic Print) ที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ เขาเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์งานศิลปะบนกระดาษในกลุ่มของศิลปินชาวอเมริกันในช่วงปี 1970 1980 และ 1990 จนนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมสื่อศิลปะแบบผสมผสาน ซึ่งได้รวบรวมผลงานมาแสดงครั้งนี้ด้วยเช่นกัน


ในปี 2004 และ 2010 เขาได้รับรางวัลสำคัญอย่าง “Pollock – Krasner Award” และได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของสถาบันออกแบบนานาชาติ (The National Academy of Design) เขามีชื่อเสียงในระดับโลกในฐานะที่เป็นผู้คิดค้นเทคนิคภาพพิมพ์ และการพิมพ์ ซึ่งได้ถูกจัดแสดงทั้งในแบบคอลเลคชั่นส่วนตัวและเปิดให้เข้าชมแบบสาธารณะทั้งในอเมริกา และนานาชาติ นอกจากนั้นชื่อของเขายังได้ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในศิลปินของวงการศิลปะของอเมริกาที่ชื่อว่า “Who’s Who in American Art” อีกด้วย


Lisa(Zirker)Moses เป็นศิลปินชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เธอคือหนึ่งในสมาชิกศิลปินของกองทุนศิลปินเชียงราย(ขัวศิลปะ) เทคนิคพิเศษอันโดดเด่นที่ใช้ในการทำงานของ Lisa คือ เทคนิคการพิมพ์ด้วยอะคริลิค ซึ่งพ่อของเธอ Joseph Zirker คือผู้คิดค้นเทคนิคนี้ขึ้นมา เธอสร้างสรรค์งาน collage print ลงบนพื้นผิวเรียบ ที่ได้ผสมผสานองค์ประกอบของการจัดวางอย่างลงตัว และมีความเฉพาะในสีสันอันโดดเด่นมีชีวิตชีวา หลายปีที่ผ่านมานี้ งานศิลปะของเธอได้แรงบันดาลใจมาจากโลกมนุษย์ ท้องฟ้า และจักรวาลอันไร้ขอบเขต


โครงการ SOLD
รายได้ส่วนหนึ่งจากงานแสดงผลงาน/นิทรรศการศิลปะนี้ จะสนับสนุนโครงการเดอะโซลด์โปรเจค ซึ่งมีพันธกิจเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์จากเด็กในประเทศไทย โดยใช้กิจกรรมต่างๆ ที่คำนึงถึงวัฒนธรรมของท้องถิ่น เพื่อเด็กในกลุ่มเสี่ยง และแบ่งปันเรื่องราวเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่มีจิตสาธารณะ และมีความคิดสร้างสรรค์เพื่อร่วมมือกันต่อไป


ขอเชิญท่านร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดงานนิทรรศการ ในวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2557 เวลา 19.00 น. ณ ขัวศิลปะ เชียงราย – ArtBridge ChiangRai (ABCR) พบกับการสาธิตเทคนิคการพิมพ์แบบแคสท์อะครีลิค (cast acrylic print) โดย ลิซ่า มอส


นิทรรศการ : “Timeless Harmony”(ไทม์เลส ฮาร์โมนี่)
ศิลปิน : โจเชฟ เซอร์เคอร์ และ ลิซ่า (เซอร์เคอร์) มอส (Joseph Zirker NA & Lisa(Zirker)Moses)
วันที่ : 29 พฤศจิกายน 2557 – 15 มกราคม 2558
สถานที่ : ขัวศิลปะ ArtBridge ChiangRai (ABCR)
โทรศัพท์ : 053-166 623, 088-418 5431
อีเมล : artbridge.cr@gmail.com ,www.facebook.com/artbridgechiangrai
เว็บไซต์ : //www.artbridgechiangrai.org/























ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com















SUB-SUKHUMWIT


บราวน์สโตน และ เอ็กโซติกอาร์ท ขอนำเสนอ นิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของพงษ์สกุล ชาเหลา ”ซับ-สุข” มาจากชื่อเต็มของนิทรรศการในภาษาอังกฤษ “SUB-SUKHUMWIT” นิทรรศการนี้ครั้งนี้ พงษ์สกุล ชาเหลา เลือกที่จะเปิดโลกทัศนวิสัยของเขาบนถนนสุขุมวิท ถนนสายหลักสายสำคัญ ถนนที่ไม่เคยหลับไหล เขาเดินทางผ่านไป ผ่านมาบนถนนสุขุมวิทหลายครั้งนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยรู้ว่าถนนที่ผู้มีอันจะกิน ดารา นักร้อง นักการเมือง ผู้มีชื่อเสียง ตระกูลใหญ่ตระกูลโต ชอบที่จะเลือกมาพำนักอาศัยอยู่ในนั้น หรือรวมไปถึง นักธุรกิจชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยวจากทั่วมุมโลกต้องเดินทางมาถนนสุขุมวิทแห่งนี้ สักครั้งหนึ่งในชีวิต


พงษ์สกุล ชาเหลา ได้ใช้เวลาทั้งตอนกลางวันและกลางคืน เดินเข้าออกตามซอกซอยสุขุมวิทเพื่อบันทึกภาพ เริ่มจากสุขุมวิทซอย ๑ ไปเรื่อย ๆ เป็นเวลาร่วมอาทิตย์ เพื่อเก็บข้อมูลและเพื่อมาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในรูปแบบที่เขาถนัด คือการเลือกใช้เศษผ้ายีนส์เก่า ๆ ผ้ายีนส์มือสอง มาแทนการใช้สีและพู่กัน บรรเลงภาพเขียนโดยใช้เข็มและจักรเย็บผ้าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างผลงานศิลปะในรูปแบบที่ต่างจากศิลปินทั่วไป


เขามองว่า “ยีนส์” อาจจะเป็นสัญลักษณ์หรือรูปแบบของวัฒธรรมสำเร็จรูปโดยปฏิเสธไม่ได้


พงษ์สกุล ชาเหลา เป็นหนึ่งในศิลปินที่ร่วงพำนักอาศัยและสร้างสรรค์ในโครงการของของศูนย์ศิลปะที่ V64 สตูดิโอ กรุงเทพ


นิทรรศการ “ซับ-สุข” เปิดงานในวันศุกร์ที่ ๗ พฤศจิกายนนี้ ตั้งแต่เวลา ๑๙.oo น. เป็นต้นไป


นิทรรศการ : “ซับ-สุข” (SUB-SUKHUMWIT)
ศิลปิน : พงษ์สกุล ชาเหลา
วันที่ : ๗ พฤศจิกายน-๗ ธันวาคม ๒๕๕๗
สถานที่ : Brownstone Studio (ที่อยู่ : ๑๓๙๕ ถนนสุขุมวิท ๗๗ ซอยอ่อนนุช ๒๓-๒๕ เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ)
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บราวน์สโตน สตูดิโอ : o๘๗-๗o๓-o๔๔๘ (ภาษาอังกฤษ), o๘๗-๑๑๒-๗๗๗๔ (ภาษาไทย)
อีเมล : brownstonebangkok@gmail.com



ภาพและข้อมูลจากเวบ
artbangkok.com




บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii

Free TextEditor





 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2557
0 comments
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2557 9:48:51 น.
Counter : 3689 Pageviews.


haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.