ปารีส : ย่านมองมาเตรอ และโบสถ์ซาเคร-เกอร์
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเวลา 6 โมงเช้า

ผมลุกขึ้นคนแรกมาอาบน้ำ ถึงแม้ข้างนอกจะหนาว แต่ข้างในอุ่นใช้ได้นะ โรงแรมทุกโรงแรมมีน้ำอุ่นบริการอยู่แล้วครับ ใครจะอาบหรือไม่อยู่ที่ "ความขี้เกียจ" ของแต่ละคน (ฮา) ผมค่อนข้างคันศีรษะมาตั้งแต่บนเครื่องบินแล้ว วันนี้จึงเป็นวันที่ "ต้อง" อาบน้ำ

อาหารเช้าของเราไม่มีครับ เราไม่ได้จองห้องแบบพ่วงอาหารเช้า ผมก็เลยกินบะหมี่ถ้วยที่เตรียมมากันหิว ทานกับกาแฟคาปูชิโน่ซอง ไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ เราเตรียมตัวกันไม่นานหรอกครับ เพราะชุดก็ไม่ต้องเลือกมาก ใส่เสื้อหนาวเดิม ๆ ทับไว้ทุกวัน เสื้อข้างในก็เป็นพวกเสื้อเก่าใส่แล้วทิ้ง ทุกวันกระเป๋าเราก็จะเบาขึ้น โดยเฉพาะกระเป๋าผม (ทิ้งของเยอะสุด)

เราไม่ลืมที่จะเตรียมร่มไปด้วย ฝนตกที่ปารีสทำเอาผมแปลกใจ และคงถูกแม่และน้องด่าในใจ เพราะผมเป็นคนบอกให้เอาร่มมาแค่คันเดียว เผื่อสาว ๆ จะร้อนกัน ที่ไหนได้กลายเป็นฝนตก ปารีสก็อยู่บนโลกเหมือนกันนะฝนตกได้ด้วย ท่านผู้อ่านก็อย่าลืมพกร่มเวลาต้องไปไหนต่อไหนล่ะครับ

เตรียมของเสร็จพวกเราก็เดินไปแกร์ดูนอร์เจ้าเก่า ตอนเช้าผมให้เวลาเที่ยวในย่านมองมาเตรอ (Montmartre)และโบสถ์ซาเครเกอร์ (La Basilique du Sacre Couer)ครึ่งวันเต็ม ๆ วิธีการไปมีสองทาง คือคุณใช้ทางเดินภายในสถานีจากแกร์ดูนอร์ ไปขึ้นรถ Metro สาย 2 ที่สถานี La Chapelle อ่านว่าอย่างไรไม่ทราบจริง ๆ ครับ ไปลงที่สถานี Anvers ซึ่งอ่านว่า อองเวียร์ ส่วนวิธีที่สองคือ การขึ้น Metro สาย 4 จากแกร์ดูนอร์ ไปลงสถานี Babes Rochechouart

ผมเข้าไปถาม information ในสถานี เจ้าหน้าที่ก็บอกให้เราเดินไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ถึง La Chapelle แล้วก็ขึ้นรถเมโทรสาย 4 อย่างที่ผมคิดไว้ เพราะการขึ้นลงต่อรถไฟน่าจะลำบากกว่าเดินไปตรง ๆ และเราจะได้ชมร้านค้าภายในแกร์ดูนอร์ด้วย เราไม่ลืมที่จะซื้อตั๋ว Mobilis สำหรับ 3 คนจากตู้ information เสียเลย จะได้ไม่ต้องบู๊กับตู้ขายตั๋ว จากนั้นเราก็ต้องเดินไปไกลเหมือนกันครับ สถานีแกร์ดูนอร์มันใหญ่กว่าที่เราคิดแหะ

ผมแวะซื้อกาแฟร้าน Segafredo ระหว่างทาง บรรยากาศของร้านไม่เหมือนเมืองไทยเลย คือจะมีเค้าเตอร์รอบ ๆ พื้นที่ทำเครื่องดื่ม ผู้คนก็จะสั่งกาแฟ แล้วนั่งทานบริเวณเค้าเตอร์นี้ ขนาดว่าเป็นตอนเช้ามาก ๆ ร้านก็ดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ เทียบกับร้านกาแฟเมืองไทยนี่คนละเรื่องเลยครับ แล้วยังไม่นับการบริการ รอยยิ้มอย่าไปหวัง แค่จำได้ว่าคุณสั่งกาแฟอะไรไปเป็นพอ ผมสั่ง cappuccino แบบ takeaway ออกเสียงดัง กว่าพนักงานจะทำกาแฟให้ผมก็รอไป 5 นาที กว่าจะทำเสร็จใส่แล้วเซรามิกให้ผมอีก มาตรฐานการบริการของบ้านเรานี่น่าชื่นชมมาก ๆ นะครับ ขนาดร้านกาแฟข้างทางยังสะอาด และบริการดีกว่านี้เยอะ

เดินไปจิบกาแฟไป สักพักก็เห็นป้ายสถานี La Chapelle แล้ว ขึ้นบันไดเลื่อนไปพวกเราก็เห็นท้องฟ้า ถ้าจำไม่ผิดเราต้องขึ้นบันไดไปอีกชั้น เมโทรสถานีนี้อยู่ลอยฟ้าเหมือน BTS ของเรา แต่มันไม่ได้อยู่บนดิน บนฟ้าตลอดนะครับ บางช่วงหรือบางสายก็อยู่ใต้ดิน นี่ก็น่าจะราว 8 โมงครึ่งแล้ว มีคนรอขึ้นเมโทรกับเราเยอะทีเดียว คาดดว่าคงไปทำงานกันแหละ เพราะวันนี้ก็วันศุกร์

รอไม่นานครับ เราก็ได้ขึ้นเมโทรกันละ คล้ายกับรถ BTS นั่นแหละ มีประกาศชื่อสถานีปลายทางเป็นภาษาฝรั่งเศสครับ นักท่องเที่ยวอย่างเราต้องฟังไปด้วย ดู Train Map ไปด้วย เพราะอ่านแต่ละชื่อ ไม่ได้ตรงกับที่เราอ่านสักกะคำ สักพักก็ถึงสถานีอองเวียร์

จุดที่เราขึ้นมาถึงเป็นเกาะกลางถนนครับ มีป้ายบอกทางเราไปยังโบส์ถซาเครเกอร์ ที่นี่เรียก The Basilica แปลว่าโบสถ์ ย่านนี้มีโบสถ์นี้ที่ดังที่สุด ย่านมองมาเตรอเป็นเหมือนเนินเขา รอบ ๆ เป็นร้านขายของที่ระลึก ขายขนม และอื่น ๆ ตอนเรามาถึงหลายร้านยังปิดอยู่และจะเปิดประมาณเก้าโมงเช้า เราเช็คพิกัดจาก Nokia Map กันก่อน ว่าเดินไปตามป้ายมันจะถูกหรือเปล่า ซึ่งก็เป็นไปตามที่เดาไว้ ว่าเดินไปตามตรอกที่มีร้านค้าเรียงรายอยู่นี่แหละ ก็จะถึงโบสถ์

เราเดินข้ามถนน มีนักท่องเที่ยวเดินไปกับเราอยู่จำนวนหนึ่ง ทั้งฝรั่งและเกาหลีครับ วันนี้เรามีเพื่อนเดินทางด้วยมากมาย (ฮา) ทางค่อย ๆ ชั้นขึ้นทีละเล็กละน้อย พวกเรามองเห็นโบสถ์สีขาวรำไรอยู่ตรงหน้า โบสถ์ซาเครเกอร์ทำจากหินพิเศษ ที่จะคายแคลเซียมออกมาเป็นระยะ ทำให้โบสถ์นั้นคงความขาวอยู่เสมอ ซึ่งมันก็ขาวจริงนะ เมื่อเปรียบเทียบกับโบสถ์อื่น ๆ ที่ผมเจอในภายหลัง

เราข้ามถนนอีกครั้งนึง ตอนนี้เรายืนอยู่บริเวณขอบของเนินเขา ทางที่จะขึ้นสู่โบสถ์ซาเครเกอร์กันแล้ว น่าแปลกที่ตรงนี้มีม้าหมุนสวย ๆ ตั้งเหงา ๆ อยู่แค่อันเดียว รอบ ๆ ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะจัดงานวัดงานแฟร์อะไรเลย พวกเราจึงแวะถ่ายรูปกับมันคนละรูป ก่อนที่เจ้าของจะมา บริเวณทางขึ้นโบสถ์มีคนผิวดำหลายคน มีเชือกสี ๆ พันที่มือ พยายามที่จะให้เราทำอะไรสักอย่างกับเชือก หรือขายอะไรเรานี่แหละ แต่ด้วยความที่มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก และคนพวกนี้ดูน่ากลัวจริง ๆ ผมจึงให้พวกเรารีบ ๆ เดินขึ้นโบสถ์ไปโดยเร็ว

ทางขึ้นโบสถ์จะว่าสูงก็ไม่สูงนัก แต่จะว่าเตี้ยก็ไม่ใช่แน่ ๆ บันไดหลายขั้นอยู่เหมือนกันแบ่งเป็นสามตอน แต่ละตอนมีม้านั่งยาวให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักเหนื่อย จะได้ไม่เป็นลมก่อนขึ้นไปถึงตัวโบสถ์ ขึ้นบันไดก็เหนื่อย อากาศหนาว ลมก็แรง และ ... ไม่นะ ม๊ายยย! "ฝน" ก็ยังเสือกตกลงมา นี่มันชีวิตของกรู หรือ วัลลี หรือ โอชิน กันแน่ สำหรับนักท่องเที่ยวจากแถบศูนย์สูตรอย่างเรา ผมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากเลยครับ อีกอย่างคือร่มก็มีคันเดียว โชคดีที่เตรียมซื้อหมวกกันมาไม่งั้นคงไม่รอด สงสารก็แต่แม่แหละ ต้องเดินขึ้นเขา แถมยังหนาวอีกต่างหาก ผมก็พยายามให้กำลังใจเค้าครับ ขึ้นมาถึงสุดก็พบว่า ข้าง ๆ มีรถรางที่จะขึ้นมายังโบสถ์บนนี้ได้ โอชินเงิบเลยครับงานนี้ โง่จริงเรา มิน่าละถึงมีเพื่อนเดินขึ้นเขาน้อยจัง แถมยังมีรถขับขึ้นมาส่งนักท่องเที่ยวเย้ยเราตรงนี้อีก เอาเหอะนึกในใจ "คนไทยแข็งแรง"

อาคารตรงหน้าดูสูงตระหง่าน ยอดของโบสถ์ทรงดอกบัวตูมสามโดม โดมตรงกลางเป็นโดมใหญ่ สีขาวของเส้นสายโค้งมนของสถาปัตยกรรม ทำให้ซาเครเกอร์ดูคลาสสิกและหวาน ภายในเสาและซุ้มโค้งด้านหน้าเป็นทางเข้า ประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดออก กลิ่นเครื่องหอมจาง ๆ ลอยมากระทบจมูก ภายในโบสถ์จัดไฟไว้ไม่สว่างนัก ดูอึมครึมสมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

เมื่อพ้นประตูเข้าไปยังด้านใน ก็มีชายผิวดำซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่บอกให้ผมถอดหมวก ซึ่งเป็นธรรมเนียมของการเข้าโบสถ์ทุกที่นะครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่น่าเสียมารยาทเลย อีกสิ่งที่ต้องระวังคือ โบสถ์บางแห่งอนุญาติให้เราถ่ายรูปได้ แต่ที่นี่และอีกหลายที่ "ไม่อนุญาติ" ฉะนั้นเราต้องพยายามสังเกตป้ายสัญญลักษณ์ตรงประตูทางเข้า ซึ่งจะมีบอกเอาไว้ว่า "ห้ามถ่ายรูป" "ห้ามเอาอาหารเข้ามา" เป็นต้น ที่ซาเครเกอร์นี่ค่อนข้างเคร่งครัด เพราะผมเห็นเจ้าหน้าที่เดินไปเตือนนักท่องเที่ยวหลายคน ที่แอบยกกล้องขึ้นมาแชะภาพภายในโบสถ์ ที่แสนสวยงามแห่งนี้

พวกเรานั่งพักกันตรงเก้าอี้ส่วนหลังสุดของโบสถ์ให้หายเหนื่อย มองดูว่าคนเค้าทำอะไรกัน เราพยายามควบคุมเสียงคุยให้เบาลง เพราะครอบครัวเราคุยกันเสียงดังมาแต่ไหนแต่ไร สักพักผมก็เห็นผู้ชายใส่เสื้อหนาวสีส้ม หันมามองพวกเราแบบไม่วางสายตา ใจผมคิดว่า "คนไทยแน่นอน"

ชายคนนั้นมากับหญิงสาวหนึ่งคน กับคนแก่อีกหนึ่งคน ผมไม่สบโอกาสทักทายพวกเขาในตอนนั้น เพราะตัวเองก็ยังไม่มั่นใจ ชายคนนี้ดูคล้ายคนจึนเหมือนกัน มองไปรอบ ๆ จะมีมุม ๆ หนึ่งที่เขาจะจุดเทียนวางไว้ เป็นการสักการะต่อพระแม่มารีหรือพระเยซูคริสต์ผมเองก็ไม่ทราบ หลายคนที่นั่งสงบนิ่งเหมือนจะสวดมนต์ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยว ที่เดินชมภายในของวิหารด้วยความสำรวม

นอกจากความสวยงามของโบสถ์แล้ว สิ่งที่ผมอยากมาเห็นก็คือรูปสำริดของ "โยน ออฟอาร์ค" ครับ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเค้าอยู่ข้างในโบสถ์นี้ หรือเราต้องเดินขึ้นบันไดไปส่วนไหนของโบสถ์อีก โยน ออฟอาร์ค เป็นนักบุญหญิงของชาวฝรั่งเศส อายุ 14 ปี อ้างว่าได้รับนิมิตจากพระเจ้าผู้ทรงบอกให้ไปช่วยกู้บ้านเมืองคืนจากการครอบครองของฝ่ายอังกฤษในปลายสงครามร้อยปี มงกุฏราชกุมารชาลล์ในสมัยนั้น ได้ส่งเธอไปช่วยผู้คนที่ถูกปิดล้อมด้วยข้าศึกที่เมืองออร์เลอองส์ และสามารถยุติการล้อมเมืองได้ภายใน 9 วัน เก่งไหมละครับ รายละเอียดของ โยน ออฟอาร์คนั้นน่าสนใจมาก เพราะสุดท้าย โยน ออฟอาร์คได้ถูกฝ่ายตรงข้ามจับเป็นเชลย ถูกประนามว่าเป็นพวกนอกรีต และถูกลงโทษด้วยการเผาทั้งเป็น

เมื่อสภาพร่างกายพร้อมแล้ว ผมจึงชวนแม่และน้องเดินชมรอบโบสถ์ด้านใน ด้วยความหวังว่าจะพบกับ โยน ออฟอาร์ค ได้ไม่ยาก ภายในโบสถ์ประกอบด้วยเสาย่อมุม ทอดขึ้นไปประจบกันเป็นซุ้มโค้งมน กำแพงด้านบนมีช่องกระจก ทำให้แสงที่ลอดผ่านเข้ามา พอให้มองเห็นเส้นสายของสถาปัตยกรรมภายในที่งดงาม เบื้องบนเป็นภาพวาดเกี่ยวกับคริสต์ศาสนา ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก เอาเป็นว่า สวยงามสมกับที่อยากมาเจอก็แล้วกัน

ผมเดินผ่านรูปปั้นหลายรูป แต่ไม่ยักเป็นรูปสำริดของ โยน ออฟอาร์ค อย่างที่ตั้งใจจะไปชม ผมพยายามถามเจ้าหน้าที่ ว่าผมอยากดู "โยน หรือ โจน ออฟอาร์ค" ก็เจ้าหน้าที่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจที่ผมพูด ผมคงจะอ่านชื่อหรือ accent ผิดอะไรสักอย่าง

ตามที่หาข้อมูล เหมือนกับว่าเราต้องเดินขึ้นไปอีก เพื่อไปชมรูปสำริดของโยน ผมมองหน้าแม่แล้วคิดว่า ถ้าต้องเดินขึ้นบันไดชัน ๆ อีก แม่คงไม่ไหวแน่ เพราะวันนี้ก็แทบแย่เลย เดินขึ้นเขาลมหนาวฝนตก กลัวว่าจะไม่สบายเอาวันนี้ แล้ววันต่อไปจะเที่ยวไม่ได้ ผมเดินออกไปเช็คดูว่าฝนหยุดตกหรือยัง เจอชายชาวเอเชียในชุดสีส้มยิ้มให้ผมนิดนึง ผมยิ้มตอบ แต่เราก็ไม่ได้คุยกัน ผมคิดว่าเขาคงมาดูสถานการณ์ข้องนอกว่าฝนหายตกหรือยัง ซึ่งตอนนี้มันยังตกหนักอยู่ และอากาศก็หนาวมาก พวกเราจึงตัดสินใจนั่งพักด้านในต่ออีกสักหน่อย รอฝนซาลงกว่านี้จึงจะออกไป

นักท่องเที่ยวทะยอยเข้าชมโบสถ์เพิ่มมากขึ้น และมีคนแอบถ่ายรูปเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่เจ้าหน้าที่ขยันมาก ดุนักท่องเที่ยวทุกคนที่ยกกล้องขึ้นมาอย่างเอาจริงเอาจัง ผมคงมีแรงซึมซับกับความงามของซาเครเกอร์ได้เท่านี้แหละครับ พอฝนเริ่มซา เราก็ชวนกันเดินออกไปดูร้านขายของที่ระลึก ซึ่งอยู่ติดกับทางขึ้นรถราง ที่จะลงสู่ตีนเขา

ภายในร้านอุ่นเหมือนสวรรค์ (ฮ่า ๆ) ของที่ระลึกก็มีมากมาย เขาทำขายกันเอาจริงเอาจังมากกว่าบ้านเรา มีทั้งเสื้อ หมวก แม่เหล็ก เข็มกลัด เยอะแยะครับ ยุโรปเค้าสร้างสรรค์เรื่องของที่ระลึกดีจริง ๆ พวกเราตั้งสินใจไม่ถูกว่าจะซื้ออะไร เพราะมันเป็นร้านขายของที่ระลึกร้านแรกด้วยมั๊ง บริเวณทางเข้าออกมีตู้ขนม มองเห็นแซนวิชและขนมฝรั่งที่น่ากินหลายอย่าง พวกเราตัดสินใจว่า จะกินพวกนี้แหละเป็นอาหารเช้า

พนักงานในร้านแนะนำแซนวิชที่ขายดีที่สุดให้เราชิ้นนึง ผมเลือกมัฟฟินเพิ่มขึ้นอีกชิ้น เพราะดูชิ้นใหญ่และไส้ในเป็นแครนเบอร์รี่ดูน่าอร่อย จ่ายเงินเสร็จก็กินมันหน้าร้านนั่นแหละ อร่อยจริงสมกับที่ขายดีครับ ทั้งแซนวิชและมัฟฟิน ขนมปังไม่แข็งจนเกินไป ไส้ในเป็นแฮมกับมอสเซอเรล่าซีสหอมอร่อย มัฟฟินก็นุ่มและไส้ผลไม้เยอะ ถ้าเทียบกับเมืองไทย เบเกอรี่ที่นี่จัดว่าไม่แพงนะครับ เพราะชิ้นใหญ่และให้ส่วนผสมพวกเบอร์รี่ต่าง ๆ เยอะกว่า

เราตัดสินใจไม่ขึ้นรถรางครับ ไหน ๆ ก็ปีนขึ้นมาได้แล้ว ขาลงคงไม่เท่าไหร่ ... ก็คงไม่เท่าไหร่ถ้าฝนจะไม่ตกลงมาอีก เห้อ เราก็พยายามหาหลืบ หรือมุมที่ไม่มีลมกัน ด้านล่างพวกคนผิวดำที่พยายามจะขายเชือกสี ๆ ยังอยู่ พวกเขาพยายามจะขายเราอีกรอบแต่ไม่เป็นผลครับ จากที่เดินเอื่อย ๆ กัน เวลาเดินหนีฝรั่งก็ไวใช้ได้ มีนิกโกรคนนึงหัวเราะเยาะไล่หลังเรามาอย่างไร้เหตุผล และในวินาทีนั้นเราควรจะรีบเดินออกจากพวกเขาให้เร็วที่สุด

พวกเราเดินกลับลงมาทางตรอกเดิม ร้านค้าเริ่มจะเปิดกันบ้าง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นร้านของที่ระลึก อันที่จริงเราควรจะซื้อเสื้อกันฝนกันคนละตัว เพราะกางร่มในขณะที่ลมแรงจัดอย่างนี้ไม่เวิร์คเลยครับ ร่มพาลจะงอเป็นถ้วยกาแฟ แต่ด้วยความเรื่องมากของผมกับน้อง เราก็ไม่ได้ซื้อเสื้อกันฝนและของที่ระลึกอะไรสักอย่างจากมองมาเตรอ

ถึงสถานีอองเวียร์แล้ว สถานที่ถัดไปที่เราจะกลับไปเยี่ยมคือ "ประตูชัย"












Create Date : 02 พฤษภาคม 2556
Last Update : 3 พฤษภาคม 2556 3:32:30 น.
Counter : 1376 Pageviews.

1 comments
  
อดเห็นโยน ออฟอาร์คเลย
โดย: yourself วันที่: 31 สิงหาคม 2556 เวลา:15:12:43 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Guynes
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



ผู้ชายเซอร์ ๆ ที่รักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ชอบดื่มกาแฟและเบียร์ เคยฝันว่าอยากมีห้องสมุดเป็นของตัวเอง เพราะรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านหนังสือ และจะอ่านแบบไม่กินไม่นอนจนกว่าจะอ่านจบ
พฤษภาคม 2556

 
 
 
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31