ปารีส : มหาวิหารนอร์ทเทอแดม
อันที่จริงเย็นวันนี้ผมกะจะไปหอไอเฟล เพราะคราวมายุโรปครั้่งที่แล้ว ผมได้เห็นมันตอนกลางวัน คราวนี้ผมจึงอยากดูตอนกลางคืนบ้าง แต่ด้วยความที่เครื่องบินดีเลย์ แล้วพวกเราก็ดีเลย์ด้วย โปรแกรมเที่ยววันนี้จึงเหลือเพียง มหาวิหารนอร์ทเทอแดม ซึ่งเรานั่งรถไฟสายเดิม นั่นคือ RER-B จากแกร์ดูนอร์หน้าโรงแรมของเรา ต่อไปเพียงแค่สองสถานี ลงที่สถานี St. Michel อ่านว่า "เซนต์ มิเชล"

หลังจากแต่งตัวพร้อมรับลมหนาว ก็รีบเดินออกจากโรงแรม ข้ามถนนไปแกร์ดูนอร์ อากาศข้างนอกมันหนาวเย็นกว่าที่คิดไว้ แถมฝนยังตกปรอย ๆ อีก(แม่เจ้า)ผมเลยขอกลับไปเอาผ้าพันคอที่ห้อง แล้วรีบกลับไปซื้อตั๋วรถไฟ ตู้ซื้อตัวยังทำให้เรา afraid ได้อีก คือมี options ให้เลือกซื้อตั๋วเยอะมาก ผมลองกด other options ไปเรื่อย ๆ มีทั้งหมด 3 หน้า แถมไอ้ตั๋ว Mobilis หรือตั๋ว 1 วันกี่เที่ยวก็ได้ ที่เราจะซื้อในทีแรก มีปุ่มเมนูอยู่หน้าหลังสุด ราวกับว่าจะกีดกันไม่ให้นักท่องเที่ยวซื้อเสียนี่

เพื่อความชัวร์ พวกผมจึงเดินไปถาม information และซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์เลยจะดีกว่า เค้าเตอร์จะมีสองตู้ ซึ่งตู้นึงป้ายบนจอด้านบนจะมีธงชาติอังกฤษ แปลว่า เขาพูดอังกฤษได้ โอเคเราจะคุยกับคนนี้แหละ

"พอดีเราจะไปวิหารนอร์ทเทอแดม ไปกลับสามคน ซื้อตัวแบบไหนดี" ผมถาม

ผู้ชายที่อยู่ในตู้บอกให้เราซื้อตั๋วแบบ single ก็พอ ซึ่งมันก็ตรงตามที่เราคิดไว้ เราก็ซื้อทั้งเที่ยวไปและกลับไว้เลย โดยที่ไม่กลัวว่าตั๋วจะหาย (ฮา)เจ้าหน้าที่แจกกระดาษพับ ๆ ที่ด้านหน้าเป็นรูปแว่นขยายมาให้เราสามชุด คลี่ออกมาเป็นแผนที่รถไฟนั่นเอง (เกือบทิ้งแล้วเชียว)

เมื่อได้ตั๋ว พวกเราก็สอดตั๋ว เข้าสู่ภายในชานชาลาของแกร์ดูนอร์อีกครั้ง แน่นอนว่าเราจำอะไรไม่ค่อยได้มากนักหรอก ชานชาลาที่อื่นอาจจะใหญ่กว่านี่ แต่เท่าที่ไปมา ที่นี่มันดูงงที่สุดแล้วนะผมว่า ง่าย ๆ คือเราต้องลงไปชั้นล่างสุดแล้วขึ้นรถไฟให้ถูกทาง

ทางลงสู่ชั้นล่างสุดมีหลายทาง เหมือนที่เราจำได้ตั้งแต่คราวแรก มีคนผิวดำและผิวขาวปะปนกันอย่างละครึ่ง นิยมใส่เสื้อตัวนอกสีดำ ต่างยืนใส่หูฟังที่ต่อจากมือถือ บนชานชาลาที่เป็นพื้นปูนสีเข้ม กำแพงปูด้วยกระเบืองสีครีมเปื้อน ๆ บรรยากาศโดยรวมทำให้เรากลายเป็นคนแปลกแยก ทั้งความเป็นคนเอเชีย และเสื้อหนาวขนเป็ดตลก ๆ ของเรา

จุดที่ยืนอยู่ ทางรถไฟมีสองฝั่ง มีจอโทรทัศน์บอกข้อมูลให้เราได้ทราบว่า รถไฟสายไหน จะไปสถานีปลายทางที่ไหน จะมาถึงสถานีเวลาเท่าไร ผมสังเกตว่าสองฝั่งเป็นรถไฟคนละสายที่จะจอด ฝั่งนึงเป็น RER-B ที่เราต้องขึ้น ผมกับน้องมองดูคนรอบตัวเรา เผื่อว่ามีใครสายตาเป็นมิตร เราจะได้ถามให้รู้แล้วรู้รอด เพราะนี่ก็เป็นเวลา 20.30 น. แล้ว ฟ้าที่ปารีสกำลังจะมืดลง

ชายผิวขาวรูปร่างสูง ผมสีน้ำตาล ใส่แจ็กเก็ตที่ทำด้วยผ้าสีดำ เป็นผู้ถูกเลือกสำหรับช่วยเรานำทางในครั้งนี้

"ผมจะไปวิหาร เอ่อ ... นอร์ธดาม ต้องขึั้น RER-B ตรงนี้ถูกหรือเปล่าครับ"

ฝรั่งทำหน้างง ผมก็เลยพูดชื่อสถานที่อีกที่ "นอร์ท เทอ แดม" อันนี้เป็นคำอ่านที่ผมคิดไว้แต่แรก แต่ก่อนหน้านี้ ผมได้หาข้อมูลจากวิกิไทย เขาเขียนจั่วว่า "วิหารนอร์ธดาม" เลยคิดว่าเขาน่าจะอ่านถูก แต่พอพูดว่า "นอร์ท เทอ แดม" ฝรั่งก็เข้าใจทันที (ผมอ่านถูกตั้งแต่แรกนี่หว่า)

กลัวไม่ชัวร์ ผมเอามือถือโนเกีย ลูเมีย 920 ที่เพิ่งซื้อต่อจากคนในเน็ต เพื่อมาใช้ GPS นำทางที่นี่ เปิดชื่อภาษาอังกฤษให้เขาดูอีก เป็นอันต้องเข้าใจตรงกันแล้วหล่ะ ฝรั่งก็ทำหน้ามั่นใส่เรา โล่งอกละคราวนี้

"go upstairs, turn left" แต่มือพี่แกชี้ไปทางขวา เอาละสี กรูถามถูกคนมั้ยเนี่ย ผมพยายามสื่อสารต่อ ตกลงซ้ายหรือขวากันแน่อ่ะพี่ แกก็ก็ "Sorry, right right!" ตกลงมือพี่ถูกใช่ไหม ฝรั่งยังบอกต่อไปอีกว่า ขึ้นไปเสร็จ ทางขวาจะมีทางลง ให้ลงตรงแล้วขึ้นรถไฟตรงนั้น

เราก็แท้งกิ้วเสร็จ รีบเดินขึ้นมา เห้ยไม่ยังกะมีทางลงทางขวาหว่ะ แต่มีทางลงอยู่ซ้ายมือเรา เซนส์เรื่องทางบอกผมแต่แรกว่าทางซ้าย แต่ในเมื่อกี้ฝรั่งแกก็ดูมั่น ๆ ว่า ขวานี่หว่า เราก็เลยเดินไปดูทางขวาสักหน่อย ก็ดูมืดมนหนทาง คือมันเห็นแต่ร้านค้า แล้วทางลงมันไปซ่อนอยู่ตรงไหนว่ะ นึกในใจว่า ไม่น่าไว้ใจตาฝรั่งนั่นตั้งแต่ที่เขาพูด left แต่ชี้มือไปทางขวาแล้ว

เราได้ยินเสียงผู้ชายคุ้น ๆ จากทางด้านหลัง อ้าว ฝรั่งคนเมื่อกี้นี่หว่า วิ่งขึ้นมาขอโทษขอโพยใหญ่ แล้วบอกว่า เขาจำผิด ... อ้าว ทางซ้ายที่ผมเห็นนั่นแหละเป็นทางลงที่จะไปขึ้นรถไฟ (มิหน้า) พวกเราหัวเราะกัน ต่างก็ชื่นชมในความน่ารักของเขา อุตส่าห์วิ่งตาลีตาเหลือกขึ้นบันได้ (ไม่เลื่อน) มาบอกทางเรา เราก็หัวเราะพร้อมกับขอบคุณเค้ายกใหญ่ คนปารีสก็ทำให้เราประทับใจในวันแรกแล้วนะ เราเดินไปยังจุดขึ้นรถไฟที่ถูกต้อง และสักพัก RER-B ก็มา

รถไฟก็เดิม ๆ เหมือนกับตอนที่เราขึ้นมาจากสนามบิน ก็รถไฟสายเดิมนี่หว่า พวกเราขึ้นไปนั่ง แล้วค่อยเพ่งป้าย "สถานีต่อไปเรายังไม่ลง เราลงสถานีถัดไป" ผมกับน้องพูดคอยเตือนกัน ส่วนแม่ก็นั่งมึน ๆ ผมไม่รู้ว่าแม่จะเบื่อไหม กับการที่เราต้องคอยถามนู่นถามนี่คนเขาอยู่เรื่อยไป การขึ้นรถไฟที่ปารีสไม่ง่ายเหมือนสิงคโปร ที่ผมกับแม่เพิ่งไปเที่ยวมาเมื่อปีที่แล้ว มันดูซับซ้อน และไม่ค่อยมี logic ก่อนหน้านี้เคยถามเค้าว่าอยากไปเองหรือไปกับทัวร์ ซึ่งแม่ก็บอกว่าไม่อยากไปกับทัวร์แล้วเบื่อคน เบื่อที่มันพาเราไปทิ้งไว้ตามร้าน แต่ความที่แม่แก่ลง แล้วต้องเดิน แล้วเราก็ต้องเสียเวลาถามทางอย่างนี้ กลับไปแม่อาจจะเปลี่ยนความคิด อยากไปกับทัวร์แล้วก็ได้

ใช้เวลาไม่นาน เรามาถึงสถานี "เซนต์ มิเชล" นาฬิกาบอกว่าเกือบสามทุ่ม ก็มืดแล้วละสิ เซนต์มิเชล ดูน่ากลัวว่าแกร์ดูนอร์ คือเก่ากว่า แคบกว่า เหมือนเป็นรู ๆ ที่จะโผล่ไปออกทางไหนก็ไม่รู้ เราลองขึ้นบันได แล้วเดินออกไปทางนึง กลายเป็นชานชาลาที่จะต่อรถไฟอีกสายนึงซะนี่

ไม่คิดอะไรละ ถามดีกว่า เวลามีน้อย ฝรั่งคนนี้เป็นผู้หญิงผิวขาวดูใจดี บอกให้เราเดินตามเขาไปเลย ทางขึ้นทั้งเก่า แคบ แถมยังชันอีก แต่เมื่อมีคนนำทางเราก็เดินขึ้นบันไดกันแบบมั่นใจ อุโมงค์แคบ ๆ นี้พาเราไปสู่สะพานขนาดกลาง ๆ ทอดข้ามแม่น้ำหรือคลองอะไรสักอย่าง และที่อยู่เบื้องหน้าคับคล้ายคับคลาว่า มันคือ "วิหารนอร์ทเทอแดม" ใช่แล้วแน่ ๆ

ที่ไม่แน่ใจในทีแรก เพราะผมดูแต่รูปที่เขาถ่ายตอนกลางวัน แสงไฟที่ตรงนั้นไม่ได้จ้าอะไรมากมาย บรรยากาศดูเงียบสงบ เรายังไม่เห็นนักท่องเที่ยวเลย ผมเปิด Nokia Map เพื่อเช็คว่าตอนนี้เราอยู่จุดไหนในปารีส เส้นทางเดินในแผนที่ค่อนข้างสอดคล้องกับที่เราเห็น และสิ่งก่อสร้างที่ว่าคือ วิหารนอร์ทเทอแอม จริง ๆ ด้วยครับ

ฝนตกปรอย ๆ และมีลม ทำให้อากาศค่อนข้าวหนาวสำหรับเรา โดยเฉพาะน้องผมซึ่งขี้หนาวอยู่แล้ว ฮา ๆ ผมรู้ว่าในใจมันอยากจะรีบถ่ายรูปแล้วรีบกลับห้องพักอุ่น ๆ เต็มแก่แล้ว ความหนาวเย็นทำให้เราต่างหัวเราะ มันก็ตลกดีเหมือนกัน หนาวยังกะในตู้เย็นแล้วฝนก็เสือกตกอีก จะทรมานพวกตูไปถึงหนาย เราเดินข้ามสะพานแล้วเลี้ยวไปทางซ้าย จุดเขียว ๆ บอกตำแหน่งใน Nokia Map มันเดินตามเราไปใกล้จุดหมายแล้ว ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินสวนทางมากับเรา คิดว่าชัวร์ป๊าบแล้วละ

ภาพโบสถ์นอร์ทเทอแดมที่ผมเห็นไม่ใช่ด้านที่ชาวบ้านเค้าถ่ายรูปมาโชว์กันบนเน็ตบ่อย ๆ คือส่วนที่สวยและจำง่ายจริง ๆ จะเป็นโดมของโบสถ์ที่มีคานครีบยื่นออกมาค้ำยันโดยรอบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของโบสถ์นี้ แต่ด้านที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ มีอัฒจันทร์ไม้ ให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไป ถ่ายรูปกับโบสถ์นอร์ทเทอแดมในมุมที่สูงขึ้น นั่นก็แสดงว่า โบสถ์ด้านที่เรายืนอยู่ คนก็นิยมถ่ายรูปกันอยู่เหมือนกัน

ฝนตกที่ปรอยลงมา ทำให้บันไดค่อนข้างลื่น ผมกับน้องช่วยกันดูแม่ที่กำลังเดินขึ้นอัฒจันทร์อย่างลำบากนิดหน่อย มีนักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งยืนถ่ายรูปให้กัน ใกล้ ๆ เราเป็นฝรั่งคู่รักที่กอดจูบกันอยู่หวานซึ้ง เราทำเป็นไม่เห็น หยิบโนเกียลูเมีย 920 ของเรามาทดสอบศักยภาพของกล้องซะหน่อย มันก็ถ่ายภาพได้ดีครับ เราตัดสินใจเอาแค่เจ้า 920 มาถ่ายรูปเพราะ ถ่ายภาพสวยดีชัตเตอร์ไว และถ่ายง่าย

พวกผมไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการถ่ายรูปสักเท่าไหร่ ถ่ายเป็นที่ระลึกก็พอ รูปสวย ๆ คนที่เขามีกล้องดีดี ถ่ายเก่ง ๆ ถ่ายไว้ให้ดูเยอะเรา การที่เรามายืนตัวเป็น ๆ กับสถานที่สวย ๆ แบบนี้ สูดลมหายใจลึก ๆ เปิดตาให้กว้างมองดูบ้านเมือง ต้นไม้ ผู้คน ฟังสิ่งที่เขาคุยกัน ซึมซับบรรยากาศ ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่นักท่องเที่ยวควรจะทำ มากกว่ามานั่งมองเมืองของเขาผ่านทางหน้าจอเล็ก ๆ บนกล้องถ่ายรูป

พวกเราใช้เวลาถ่ายรูปกันสักพักก็เดินลงมา แบตเตอรี่ของโทรศัพท์เริ่มจะหมด แต่ยังไงเราก็คงจะไม่หลงแล้วหล่ะ จำทางได้ ผมคิดว่าเราควรจะเห็นโบสถ์ในอีกมุมหนึ่ง มุมที่ผมเล่าไว้ข้างต้น ที่มีคานครีบยื่นออกมาค้ำยันโดมนั่นแหละ ผมพาพวกเราเดินเลาะขอบโบสถ์ไปตามแนวถนน ซึ่งมืดแล้ว ไฟก็ไม่ค่อยสว่าง แถมไม่มีนักท่องเที่ยวเดินเป็นเพื่อนเราเลย

"เห้ย มืดด้วยหนาวด้วย เดินกลับเหอะ ไว้พรุ่งนี้จัดเต็ม (เสื้อผ้า)" น้องผมเอ่ยขึ้น มันคงทนหนาวไม่ไหวแล้วแหละ พวกเราจึงตัดสินว่า จะเดินเตร็ดเตร่ชมบรรยากาศแถวนี้กันสักพัก เราเดินย้อนกลับมา ข้ามถนนไปยังแสงไฟของถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหาร ซึ่งพบว่าเริ่มจะปิดกันแล้ว นี่แหละร้านที่คิดว่าจะมากิน แต่ไม่ทันแล้วหล่ะ เรามาดึกเกิน ถนนเงียบและคิดว่าเราไม่ควรเดินต่อกันแล้ว ผมจึงนำทางพวกเรากลับไปยังจุดที่เราขึ้นมาจากสถานีเซนต์มิเชล

ด้วยความที่ไม่แน่ใจด้วยแหละ ว่ารถจะหมดกี่โมง สี่ทุ่มกว่าก็ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะกลับบ้าน ผมเดินลงสถานีอย่างชำนาญ (กว่าเดิม) ไปยังจุดขึ้นรถ RER-B รถไฟนำเราสู่แกร์ดูนอร์ ผมคิดว่าผมน่าจะคุ้นกับมันมากขึ้นแล้ว แต่ก็เปล่า แกร์ดูนอร์ยังทำให้เราสับสนได้อีก พวกเราขึ้นจากจุดลรถไฟมาหนึ่งชั้น ซึ่งเป็นชั้นของร้านขายของต่าง ๆ ซึ่งปิดกันไปหมดแล้ว และเรายังไม่เห็นร้าน Relay และ ร้าน PAUL ซึ่งจะต้องเดินผ่านก่อนถึงทางออกอาคาร

"นี่เราจะต้องหลงอีกแล้วสิ"

มีป้ายบันไดเลื่อนที่เขียนบอกทางขึ้นไปยัง Bus ก็เดาว่า น่าจะไปทางออกแหละว่ะ ผมนำพวกเราขึ้นไป บันได้เลื่อนแคบและยาว ปลายเป็นประตูกระจกที่มองออกไปเห็นถนนว่างเปล่า "มันไม่ใช่ทางออกเดินของเรานี่หว่า"

เราเดินลงบันไดปกติมาครึ่งชั้น แล้วเดินย้อนกลับ คราวนี้ทิศถูกต้องแล้วจ้า แต่ชั้นถูกต้องหรือเปล่าไม่รู้ เราเดินไปเรื่อย ๆ โดยจำไม่ได้ว่าขึ้น หรือลงบันไดเลื่อนอีกหรือเปล่า มันสับสนจริง ๆ ครับ แต่ละครั้งในการขึ้นลงรถไม่เหมือนกันสักครั้งเลย พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ก็เดินกับไร้เรี่ยวแรงมากจนมาเห็นไอ้ป้านไฟ ibis สีแดง ๆ จากข้างนอก ... ถูกทางแล้วเว้ย

ผมรีบข้ามถนนฝ่าลมหนาว เข้าลิฟท์แคบ ขึ้นไปยังวิมานของเราอย่างรวดเร็ว ห้องพักในเคียเรตที่แสนอุ่น พวกเราปลดเครื่องกันหนาว เตรียมชาร์จแบตมือถือ ตั้งเวลาปลุก และล้มตัวหลับไหลอย่างไม่ฝันจนถึงรุ่งเช้า


























Create Date : 01 พฤษภาคม 2556
Last Update : 2 พฤษภาคม 2556 1:33:15 น.
Counter : 1089 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Guynes
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



ผู้ชายเซอร์ ๆ ที่รักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ชอบดื่มกาแฟและเบียร์ เคยฝันว่าอยากมีห้องสมุดเป็นของตัวเอง เพราะรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านหนังสือ และจะอ่านแบบไม่กินไม่นอนจนกว่าจะอ่านจบ
พฤษภาคม 2556

 
 
 
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31