[คุ้ยแคะ แกะหนังชนโรง] John Carter :หรือเป็นเพียงฝัน ในวันที่ไร้เป้าหมาย


(คำเตือน : บทความนี้มีการพูดถึงจุดสำคัญของหนังบางส่วน หากกลัวเสียอรรถรสก่อนการเข้าชมหนังก็สามารถข้ามเนื้อหาบางจุดที่ขึ้นเตือนเอาไว้ได้ครับ)

ร้อยเอก จอห์น คาร์เตอร์ ทหารม้าผู้ผ่านมาหลากสมรภูมิและการเชิดชูเกียรติมากมาย แต่ได้เสียชีวิต และยกสมบัติและบันทึกนี้ให้แก่หลานชาย
ตามบันทึกย้อนกลับไปเมื่อ 13 ปีก่อน ในช่วงที่เขากำลังออกตามหาขุมทองในตำนาน รวมไปถึงต้องหนีเหล่าทหารจากกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งมาขอความช่วยเหลือจากเขา(แกมบังคับ) แต่แหกคุกออกมาได้
คาร์เตอร์ก็ได้พบกับถ้ำขุมทองที่ว่าเข้าจริงๆ โดยบังเอิญ แต่ที่น่าตกใจกว่ากลับกลายเป็นว่า มีคนอยู่ในถ้ำแห่งนั้นและพยายามจะปลิดชีวิตเขา!
แต่จากการที่คาร์เตอร์ ตอบโต้ใส่ด้วยกระสุนเพียงหนึ่งนัด ก็นำพาเขาไปสู่สถานที่ ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างที่คาดไม่ถึง

ครั้งแรกที่คาร์เตอร์ตื่นขึ้นมา เขายังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน นอกเสียจากเป็นสถานที่ๆ เคลื่อนไหวได้ไม่เหมือนเก่า และมีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอยู่ด้วย!
สิ่งมีชีวิตที่จับตัวเขาไป เรียกตัวเองว่าชาวทาร์ก ซึ่งราชาของเผ่า (ทาร์ส ทาร์คัส) เห็นเขาเป็นดั่งของเล่นชิ้นหนึ่งจึงไว้ชีวิตเขาไว้
นำเขาไปสู่ท่ามกลางสงครามของสองเผ่าดาวอังคารโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากที่เขาเข้าไปช่วยองค์หญิงเดจาห์ ธอริส แห่งเผ่าฮีเลียม
จากการตามล่าของราชาเผ่าโซแดงก้า ซึ่งถูกเลือก(ชักใย)จากเผ่าเธิร์นในการควบคุมอาวุธทรงพลัง เพื่อที่จะได้บีบบังคับให้องค์หญิงแห่งฮีเลียมมาแต่งงาน และยึดอำนาจไว้เบ็ดเสร็จเสีย
คาร์เตอร์จึงได้ล่วงรู้ว่าตัวเองอยู่บนดาวอังคาร(ซึ่งบนนั้นเรียกดาวตัวเองว่า ”บาร์ซูม”) และพยายามหาทางกลับ โดยขอความช่วยเหลือ(แกมบังคับ)จากองค์หญิง
ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันจนเกิดเป็นความรัก และนำไปสู่ปริศนามากมายเกี่ยวกับอาวุธลับของชาวเธิร์น และนำคาร์เตอร์ กลับไปยังโลกอีกครั้ง!



ทั้งๆ ที่หน้าหนังออกจะฟอร์มยักษ์ทุนหนา อลังการงานสร้าง งานออกแบบแหวกแนว
แต่หนังเรื่องนี้กลับดึงดูดความสนใจจากผมได้น้อยกว่าที่คิด (ทั้งตั้งแต่แรกเริ่มโปรโมต จนถึงเกือบๆ จะเข้าโรงโน่น!!)
ส่วนหนึ่งมาจากการโปรโมตที่ไม่สามารถชูจุดน่าสนใจของหนัง ให้ดูเด่นชัดไปกว่าเรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกัน (เห็นครั้งแรกแล้ว ทำให้นึกถึง คนเถื่อน Conan ตะลุยต่างดาวแบบ Avatar ในบรรยากาศ Prince of Persia!!)
รวมไปถึงการออกแบบมนุษย์ต่างดาว(ที่หน้าตาไม่เหมือนมนุษย์ทั้งหลาย) ดูจะใส่ความเป็น “การ์ตูนสำหรับครอบครัว” (ตามสไตล์ดิสนี่ย) ไปซักหน่อย
จนทำให้กลายเป็นหนังที่พยายามขายทุกเพศทุกวัย แต่มาด้วยเนื้อหาที่ดูจริงจัง เลยดูไปไม่สุดซักทางหนึ่ง และพลอยลดความ “สมจริง” ที่เกิดจากความคุ้นเคยของคนดูลงไปพอสมควร
(ตัวอย่างการออกแบบที่อาศัยรูปแบบที่แปลก แต่คุ้นเคยสำหรับคนดู ดูได้จากบรรดาสัตว์บนดาวนาวี แห่ง Avatar ได้)
ทำเอาผมรู้สึกเฉยเมย หรือไม่กระตือรือล้นเกี่ยวกับข่าวอัพเดทต่างๆ ของหนังซักเท่าไหร่ (แต่เรื่องที่จะไปดูรึเปล่านั้น?? สำหรับหนังบล็อกบัสเตอร์ พลเมืองบ้าหนังที่ดี ย่อมต้องเห็นมันเป็น “หน้าที่บังคับ” ไปแล้วล่ะครับ แหะๆๆ!!)
เพียงอย่างเดียวที่พอจะสร้างความมั่นใจให้กับผมขึ้นมานิดหน่อยก็คงเป็นชื่อของผู้กำกับ และเขียนบทร่วม อย่าง แอนดรูว์ สแตนตัน (Finding Nemo, WALL-E) ลูกหม้อจากค่ายพิกซ่าร์
ที่แม้จะเพิ่งจับหนังคนแสดงเป็นครั้งแรก แต่เครดิตหนเก่าก็ต้องยอมรับว่า “หรู” พอตัวทีเดียว
(ซึ่งความดีความชอบส่วนหนึ่งคงต้องยกให้กับ แบรด เบิร์ด ที่กำกับ MI4 ได้โดนใจผมซะจนเครดิตผู้กำกับพิกซ่าร์ กับ “หนังคนแสดง” สูงขึ้นมาทันตา!!)

แต่เมื่อได้ดูตัวหนังจริงๆแล้วก็ต้องยอมรับว่าผิดคาดไปไม่น้อยทีเดียว



(**ต่อไปนี้เป็นเนื้อหาสปอยล์จุดสำคัญของหนัง หากไม่ต้องการเสียอรรถรสในการชมภาพยนตร์ สามารถข้ามไปได้เลย**)



ต้องยอมรับว่าหน้าหนังที่เน้นขายแอ็กชั่นอลังการ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หนังจะออกมาเบาโหวง กับพล็อตเรื่องง่ายๆ เต็มไปด้วยตัวละครแบ่งข้างดี-ชั่วอย่างชัดเจน
ซึ่งถึงแม้จะเป็นอย่างที่คิดอยู่บ้างบางส่วน
แต่อย่างที่รู้กันว่าหนังดัดแปลงจากนิยายดัีงเมื่อเกือบร้อยปีก่อน เนื้อหาภายในย่อมต้องมีอะไรมากกว่านั้นอยู่แล้ว
(เพียงแต่ผู้ดัดแปลงบทจะสื่อถึงหลักตรงนั้น ให้คนดูคิดตามได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง!)
จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะได้เห็นหนังเต็มไปด้วยแนวคิดทางด้านศาสนา, สงคราม, การเมือง และหลักวิทยาศาสตร์แฝงอยู่ในหนังเต็มไปหมด
หากลองโยงสิ่งต่างๆ ที่แฝงเอาไว้ดีๆ ก็ทำให้คิดได้ว่า บรรดาตัวละครบนดาวอังคาร ก็ไม่ต่างอะไรกับตัวแทนกลุ่มต่างๆ ของ "ชาวโลก" ในยุคที่จอห์นคาร์เตอร์อาศัยอยู่
(ซึ่งช่วงเวลาเกิดเหตุในเรื่อง เป็นช่วงที่ "สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ" ยังไม่สงบดี)
คิดในอีกแง่หนึ่ง การถอด "จิต" ไปยังดาวอังคาร อาจจะเป็นภาพภายใต้ "จิตใต้สำนึก" ของเขา หรือ ฝันนั่นเอง

สองเผ่าดาวอังคาร ที่หน้าตาเหมือนมนุษย์เหมือนกัน แต่กลับต้องมาห้ำหั่นกันเพียงเพราะอุดมการณ์ต่างกัน เหมือนเป็นภาพสะท้อนของสงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ระหว่างคนชาติเดียวกัน
โดยแบ่งภาคสองฝั่งออกเป็นขาวกับดำแทบจะชัดเจน ให้ชาวฮีเลี่ยมใช้แนวคิดความเท่าเทียม และชาวโซแดงก้าเป็นแนวคิดแบบเผด็จการ
(ภาพของอาณาจักรโซแดงก้าเปรียบเสมือนความรุ่งเรืองในเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม แต่กำลังเข้าคืบคลานแผ่ขยายอำนาจไปยังที่อื่นๆ ทีละน้อย และทำลายอารยธรรมดั้งเดิม)
ชาวทาร์ก เปรียบได้กับชาวอินเดียนแดง (เห็นได้จากคาร์เตอร์ ซึ่งพูด-ฟังภาษาอาปาเช่ได้ สามารถเข้าใจภาษาทาร์ก ในเวลาอันสั้น)
ซึ่งมักจะถูกมองเป็นตัวประหลาดแปลกแยก(แตกต่างจากอีกสองเผ่า) พยายามทำตัวซ่อนเร้น และไม่ยุ่งเกี่ยวกับศึกของทั้งสองเผ่า
และมีแนวคิดยึดติดกับความเชื่อดั้งเดิม(การไม่บิน, ความเชื่อทางศาสนา), การชี้ขาดด้วยการประลองตัวต่อตัว
ส่วนชาวเทิร์น ซึ่งบอกเอาไว้ว่า ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน(และสามารถแทรกซึมไปกับทุกคนรอบๆ ตัวได้) เปรียบดั่งอำนาจซึ่งมาจากแนวคิดอย่างหนึ่ง
ซึ่งตัวหนังเองพยายามสื่อชาวเทิร์นเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ทางศาสนา (การแต่งกายคล้ายนักบวช และอ้างความเป็นตัวแทนขององค์เทพี)
แน่นอนว่าอำนาจเหล่านี้ มีพลังในการชักใย, ชักจูงอยู่เบื้องหลังผู้ถูกครอบงำได้อย่างมหาศาล และเป็น “อาวุธ” ทรงพลังที่จะใช้กวาดล้าง หรือชักนำผู้อื่นให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจได้
(ดูแนวคิดนี้ได้จากเรื่อง The Book of Eli)
แม้จะทรงพลัง, ควบคุมทุกสิ่ง และไร้รูปแบบ แต่ชาวเทิร์น(หรือศาสนา) ก็ไม่ได้เป็นอมตะ! สามารถตายได้ ถูกฆ่าได้ หากอีกฝั่งไม่ “หลงกล”(เชื่อ) ในสิ่งที่ชาวเทิร์นแฝงตัวแปลงกายมาด้วยแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดจึงไม่ต่างกับฝันของคาร์เตอร์ ที่พยายามหลีกหนีช่วงเวลาอันเลวร้ายในความเป็นจริงไป (โดย

เมื่อคาร์เตอร์มาสู่ดารอังคาร เขาก็กลายเป็คน "พิเศษ" ในสายตาคนอื่นทันที จากการที่มีพละกำลัง(จากแรงดึงดูดน้อย) มากกว่าผู้อื่นบนดาว
สิ่งเหล่านี้จึงไม่ต่างจาก “เกียรติยศ” มากมายที่เขาได้รับตอนอยู่บนโลกมนุษย์(อย่างเหรียญกล้าหาญมากมาย) ซึ่งทำให้เขาถูกมองว่าเป็นคน "พิเศษ"(จนอยากให้เข้ามาร่วมรบ)เช่นเดียวกัน
แต่หลังจากการตายของภรรยา และลูกสาวของเขาในสงคราม กลับทำให้เขาพยายามหลีกหนีทุกสิ่งที่ทำให้เขาต้องสูญเสีย และไร้ซึ่งเป้าหมายในชีวิต
คิดเพียงแต่ว่าขุมทองในตำนาน(ซึ่งเป็น "ทรัพย์สินนอกกาย") อาจจะมาทดแทน "ความสุข" ที่ขาดหายไปของเขาได้

จากการที่เขาช่วยเหลือองค์หญิง สู้เคียงบ่าเคียงไหล่ชาวฮีเลี่ยม ผสานชาวทาร์กให้มาร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ และลงเอยด้วยการมีครอบครัว ดูเหมือนจะทำให้เขาได้ค้นพบ “ความสุขในอุดมคติ” ของเขาในโลกที่ไม่อาจจะเป็นความจริงไปได้
ดังนั้น เมื่อเขากลับต้องตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริง แม้จะมีทรัพย์สินมหาศาลที่เพียรตามหามาอย่างยาวนานอยู่ตรงหน้าแล้ว
แต่ดูเหมือนว่า เขาก็ไม่ได้มีความสุขกับมัน และเพียรพยายามกลับไปหา “ความสุขในอุดมคติ” ของเขาอีกครั้ง ซึ่งนำไปสู่การปล่อยวางทุกอย่าง และจบลงด้วยความตาย(จากโลกแห่งความเป็นจริง) ไปอย่างเต็มใจรับ
ไม่ต่างไปจากการยอมปลดปล่อย "กิเลส" นอกกายทั้งมวล ไปสู่ความสุขที่แท้จริงอย่างสงบ!

(จบเนื้อหาส่วนที่สปอยล์หนัง)




เนื่องจากหนังสร้างมาจากนิยายชื่อดัง อายุร่วมศตวรรษ จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะได้เห็นพล็อตทำนองนี้ถูกนำไปสร้างเป็นหนังมาแล้วนักต่อนัก (หนึ่งในนั้นก็คงมี Star Wars และ Avatar รวมอยู่ด้วย)
แม้จะเป็นอะไรที่ดูซ้ำซากสำหรับคอหนัง แต่สิ่งที่ช่วยให้หนังดูไม่จำเจ และคาดเดาง่ายเกินไป ก็คือการใส่ลูกเล่น และผูกปมต่างๆ ให้แก่หนัง ซึ่งถือว่า ทำได้ค่อนข้างน่าติดตามทีเดียว
ถึงอย่างไร การบทหนังที่ได้มาจากหนังสือนิยาย ย่อมตามมาด้วย “เรื่องราว” ที่มากมาย ซึ่งจุดนี้กลายมาเป็นปัญหาสำหรับหนัง ที่พยายามรวบเนื้อหาจำนวนมาก มาอัดอยู่ในเวลาที่จำกัด
ทำให้การเล่าเรื่องบางช่วงบางตอน คนดูเกิดอาการ “ตามไม่ทัน” รวมไปถึงบทสนทนาบางช่วงที่ออกจะยาวจนทำให้หนังเอื่อยไปเลยทีเดียว
จุดที่ทำให้คนดูรู้สึกไม่อินไปกับหนังมากเท่าไหร่ก็คือ ความไม่สมเหตุสมผล และ ช่องโหว่ของหนังหลายๆ จุด ซึ่งไม่ได้รับการอธิบายให้กระจ่าง(หรือถูกลืมไปเลย)
แม้ว่าหนังพยายามจะอาศัยความสนุก ลื่นไหลของหนังเข้าช่วยกลบเกลื่อน (ซึ่งก็ทำได้พอสมควร)
แต่ก็ไม่วาย ทำให้คนดูต้องกลับไปขบคิดกันจนหัวแตกนอกโรงอยู่ดี!! (รวมไปถึงที่มาของชาวเธิร์น ที่อาจจะพูดน้อยไปซักนิด)

ในส่วนของการแสดงอาจจะไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ พระเอกของเรื่องอย่าง เทย์เลอร์ คิตซ์ช ดูมีเสน่ห์ แต่ยังเล่นแข็งๆ อยู่บ้าง ส่วนนางเอกของเรื่อง (ลินน์ คอลลินส์) ก็ดูห้าวหาญสมกับบทเจ้าหญิงนักสู้พอสมควร
(แต่เคมีกับพระเอก อาจจะไม่ลงตัวซักเท่าไหร่นัก)

ส่วนที่ดูดีที่สุดของหนังก็คงหนีไม่พ้นเทคนิคพิเศษ และการออกแบบทั้งหลาย ที่สวยงาม ปราณีต และแปลกตาอยู่ไม่น้อย
ซึ่งก็สร้างความโดดเด่นให้แก่ตัวหนังเป็นอย่างดี (แม้ว่าจะเคยรู้สึกแปลกกับการออกแบบตัวละครที่ดู “การ์ตูน” อยู่มาก แต่เมื่อเข้าไปดูหนังจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับเรื่องนี้มากนัก)
แต่อาจจะไม่จุใจสำหรับคนดูที่ต้องการชมฉากแอ็กชั่นอลังการตระการตา ซึ่งหนังอาจจะมีตอบสนองให้ไม่มากเท่าที่คิด เนื่องจากการที่หนังต้องเสียเวลาใส่บทสนทนาจำนวนมากเข้าไปนี่เอง
จากการที่เข้าไปชมหนังในรูปแบบสามมิติ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าหนังมีมิติที่ “ลึก” กว่าหนังเรื่องอื่นๆ ซักเท่าไหร่
โดยเฉพาะบรรดาฉาก “โชว์ของ” ทั้งหลายที่อาจจะทำให้รู้สึกตัวถึงความเป็นสามมิติขึ้นมาบ้าง แต่ฉากเหล่านั้นก็ไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่(เนื่องจากเหตูผลที่เพิ่งกล่าวไปเกี่ยวกับฉากแอ็กชั่นด้วยล่ะ!)

สรุปแล้ว John Carter อาจจะเป็นหนังฟอร์มดีที่มีเรื่องราวมากมายแฝงอะไรหลายๆ อย่างให้ชวนคิด เข้ามาในหนังเต็มไปหมด
แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถสรุปให้คนดูเข้าใจโดยง่าย จนกลายเป็นความเยิ่นเย้อ อืดอาด
ถึงอย่างไรเทคนิคพิเศษ และการออกแบบที่ยิ่งใหญ่, สวยงาม และการเล่าเรื่องที่ลื่นไหล ดูสนุกจนจบ ก็คงจะพอทำให้คนดูลืมความสมเหตุสมผลในโรงไปได้บ้าง
ใครที่คาดหวังหนังฟอร์มยักษ์บทดีๆ ก็อาจจะผิดหวัง หรือหนังแอ็กชั่นมันส์ๆ ก็อาจจะไม่โดน
เพราะหนังไปได้ไม่สุดซักทาง ดูสนุกพอเพลิน แต่ไม่มีอะไรให้จดจำมากนัก




Create Date : 19 มีนาคม 2555
Last Update : 19 มีนาคม 2555 4:26:03 น.
Counter : 4299 Pageviews.

2 comments
  
สามารถเข้าไปในชุมชนที่พูดคุย และ Share Tip ความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังที่คุณไปดูได้ที่

www.hotskoop.com/en/search/bangkok/movies?

เลยจ้าา
โดย: looklipair วันที่: 19 มีนาคม 2555 เวลา:13:27:54 น.
  
พอดูได้ แต่ก็ไม่น่าจดจำเท่าไร
โดย: loveiad2519 วันที่: 23 มีนาคม 2555 เวลา:20:35:39 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gunki_kun
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



มีนาคม 2555

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
25
26
27
29