|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
รู้ไว้ก่อนไปทะเล
ทุกคนคงเคยไปทะเล ไม่ว่าจะเป็นเดินเล่นที่ชายหาด ลงไปว่ายน้ำ หรือกระทั่งลงไปท่องใต้ทะเล ในทุกๆที่ต่างก็มีอันตรายของมัน รวมทั้งที่ทะเลด้วย วันนี้ผมจะขอกล่าวถึงอันตรายที่พบได้ที่ทะเล ในรูปแบบที่นอกเหนือไปจากการจมน้ำนะครับ
1. เดินเล่นริมหาด
แดดเผา เป็นเรื่องที่ทุกคนมักคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนเมื่อไปเที่ยวทะเล เว้นแต่ว่าคนๆนั้นมีรสนิยมชอบเที่ยวทะเลหน้ามรสุม แต่นั่นแหละครับ คาดไว้ล่วงหน้าแล้วได้ป้องกันหรือยัง หรือว่าป้องกันได้ถูกวิธีหรือไม่
เครื่องป้องกัน
ได้แก่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่คลุมมิดชิดทั้งตัว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการไปเดินเล่นริมชายหาดโดยไม่ได้ลงเล่นน้ำ โดยอาจจะเน้นการป้องกันที่ยริเวณผิวหนังที่บอบบางและสังเกตได้ชัดเช่นใบหน้าและลำคอ เพราะเป็นส่วนที่เวลาโดนแดดเผาแล้วน่าเกลียดและลอกง่ายกว่าส่วนอื่นๆ ข้อดีก็คือ เพียงแค่เสื้อหรือผ้าบางๆ ก็สามารถกันรังสีได้ดีกว่าครีมยี่ห้อใดๆ แต่ข้อด้อยก็อยู่ที่ว่าไปทะเลทั้งทีแต่แต่งตัวมิดชิดทั้งหมดมันก็กระไรอยู่
โลชั่น ครีมกันแดด
แบบที่ราคาถูกที่สุดในท้องตลาด เห็นจะเป็นดินสอพอง ซึ่งป้องกันได้ดีกว่าครีมกันแดดราคาแพง แต่ข้อด้อยก็คือ ต้องทาให้กลายเป็นสีขาวหนาๆปิดผิวเสียก่อน ซึ่งคงจะดูพิลึกหากทาตัวเป็นมนุษย์ดินสอพองสีขาววิ่งเล่นริมชาดหาด แถมพอลงเล่นน้ำก็หลุดออกหมด.... ดังนั้นโลชั่นกันแดดที่ราคาแพง จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ต้องการป้องกันผิวจากแดดพร้อมกับอวดโชว์ผิว หรือลงว่ายน้ำกลางแจ้ง แต่ทั้งนี้ การใช้โลชั่นกันแดดก็ควรใช้ให้ถูกต้องมิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการเอาเงินไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
ที่พบเห็นกันบ่อยๆคือ หยิบเอาโลชั่นมาทาตามที่ต่างๆ จากนั้นก็วิ่งลงเล่นน้ำ จากนั้นอีกสองสามวันก็มาบ่นกันว่าโลชั่นกันแดดใช้ไม่ได้ผล.... ลองมาดูสาเหตุและปัญหากัน
SPF ตามที่ทุกคนคงเข้าใจ SPF ยิ่งมาก การป้องกันก็ยิ่งมากขึ้น แต่ว่าบางครั้งกลับไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการเพราะ
- เลือก SPFไม่เหมาะสม เช่นใช้SPF15แต่ออกไปวิ่งเริงร่าท้าแดดจ้าตอนเที่ยงวัน อันนี้ก็คงไม่ไหว
- ที่มาของการกำหนดค่าSPF เขาวัดกันเมื่อทาเนื้อยาได้หนาในระดับหนึ่ง หมายความว่าถ้าทาบางเกินไปก็จะได้ระดับการป้องกันต่ำกว่าค่าที่คาดเอาไว้ ดังนั้นคนไหนที่ทาทั่วตัวด้วยโลชั่นอันเท่าเม็ดถั่วเขียว ก็เตรียมตัวผิวลอกได้เลย
- ยากันแดดแต่ละชนิดมีวิธีใช้แตกต่างกันไป บางชนิดต้องทาล่วงหน้าก่อนการโดนแดด15-30นาที บางชนิดกันน้ำได้บ้างแต่ถ้าลงน้ำนานเกิน1ชั่วโมงต้องทาใหม่ ฯลฯ ทางที่ดีก่อนที่จะใช้ควรอ่านคู่มือการใช้ที่แนบมากับกล่องด้วย
หลังจากนั้น ไม่ว่าจะป้องกันหรือไม่ก็ตาม หากเกิดอาการของแดดเผา ก็มีแนวทางการรักษาเหมือนกับบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกกล่าวคือ
- ช่วงต้นๆให้ทำให้ผิวชุ่มชื้น อาจจะใช้ผ้าชุบน้ำธรรมดา , ทาวาสลีน , เลี่ยงการใช้ยาสีฟันหรือโลชั่นบำรุงผิวมาทาผิวที่ลอกออก หากอยากใช้สมุนไพรก็ต้องมั่นใจในความสะอาดหรือใช้ให้ถูกวิธี (บางคนมารักษาเรื่องผิวลอกดำจากการใช้สมุนไพรผิดวิธี ที่พบบ่อยก็คือเอาใบว่านหางจรเข้ แกะวุ้นออกและเอาใบอันเต็มไปด้วยยางโปะแผลมา)
- ใส่ชุดที่ไม่ระคายหรือเสียดสีกับผิวหนังมากนัก
- ไม่มีความจำเป็นต้องกินยาฆ่าเชื้อ(หรือยาแก้อักเสบในภาษาชาวบ้าน) จนกว่าจะมีการติดเชื้อหรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ทางที่ดีที่สุดหากไม่มั่นใจว่าจะรักษาอย่างไร ก็ปล่อยให้หายเองก็ได้ครับ
2 ลุยน้ำว่ายน้ำ
- ถูกของบาดเท้า
ไม่ว่าจะเป็นขยะพวกแก้วหรือกระป๋อง ไปจนถึงหินหรือเศษเปลือกหอย ความเชื่อที่ผิดๆก็คือ น้ำทะเลมีเกลือและฆ่าเชื้อโรคได้ ดังนั้นน้ำทะเลถือว่าสะอาด บางคนเชื่ออย่างนี้ ขนาดโดนแห้งๆยังวิ่งลงไปแช่น้ำทะเลเลย ความจริงน้ำทะเลก็มีเชื้อโรคและไม่ได้สะอาดมากมายนัก โดยเฉพาะน้ำทะลในแถบหาดที่มีคนมากๆหรือแถบที่คลื่นแรงๆซัดโคลนเลนใต้ทะเลขึ้นมา ยิ่งสกปรกเข้าไปใหญ่
ตัวอย่างแรก กรณีดังๆอย่างกรณีทสึนามิที่ผ่านมา การใช้DNAจากรากฟันเพื่อค้นหาบุคคล กลับพบว่าใช้ประโยชน์ได้น้อยกว่าเทคนิกมาตรฐานสากลอย่างเช่นข้อมูลพื้นฐานทั่วไป (รูปพรรณ สิ่งของ ตำหนิตามตัว) หรือข้อมูลทันตกรรมเสียอีก เพราะว่าปรากฎว่าเนื้อฟันที่ถูกห่อหุ้มจากฟันอย่างดี กลับถูกย่อยสลายจนเอามาใช้ไม่ได้ ซึ่งคาดว่าเกิดจากเชื้อโรคในน้ำทะเลที่มีความสามารถในการย่อยสลายสูง
ตัวอย่างที่สอง ... ทำไมคนกินของทะเลที่ไม่ค่อยสุก ถึงเป็นอหิวาห์ตกโรค....... อ้อ ไม่ใช่ ทำไมถึงเป็นโรคท้องร่วงเฉียบพลันรุนแรงได้ ดังนั้น แผลที่เกิดขึ้นแล้วถูกน้ำทะเล การรักษาก็ขอให้เหมือนเวลาเกิดแผลแล้วถูกน้ำคลองเปื้อน ไปล้างแผลด้วยน้ำประปาจะเข้าท่ากว่าครับ
- หอยเม่น
การบาดเจ็บอีกอย่างที่พบบ่อยก็คือเดินไปเหยียบหอยเม่นแล้วหักคาเท้า เท่าที่ผมร่ำเรียนมา เคยแต่เรียนว่าต้องผ่าเอาออก(หรือถอนออกมาเลย)เนื่องจากเป็นสิ่งแปลกปลอม และที่สำคัญคือไม่ควรทุบ แต่เท่าที่เห็นส่วนใหญ่แล้วเวลามีการหักคาปุ๊บ มักมีผู้หวังดีเข้ามาบอกว่า ห้ามดึง และให้เอา หินทุบให้แหลก โดยเชื่อว่าร่างกายจะค่อยๆดูดซึมเข้าไปเอง
ผมคงไม่ฟันธงว่าเป็นความเชื่อที่ผิด แต่ในต่างประเทศเขาก็ถอนออกกัน อีกทั้งเงี่ยงหอยเม่นก็เป็นกลุ่มพวกหินปูน ถึงจะทุบจนแหลก มันก็ไม่ค่อยถูกดูดซึม ที่ผ่านมาก็เคยเจอเองไม่กี่รายที่ทุบ และอักเสบมาเป็นสัปดาห์แล้วมีสะเก็ดเล็กๆฝังเป็นสีดำน่าเกลียด สรุปว่าไม่ฟันธงครับ แต่เป็นผม ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทุบเด็ดขาด
- แมงกะพรุน
พระเอกแห่งการบาดเจ็บในทะเล ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แต่มักเป็นที่จดจำกันไปนาน เพราะพิษของมันมีทั้งระยะสั้นๆ เจ็บแสบปวดร้อนเป็นผื่นแดง ไปจนถึงพิษในระยะยาวที่ทำให้เกิดอาการของผิวหนังอักเสบเรื้อรังเจ็บๆคันๆเป็นตุ่มสะเก็ดแผลได้นานนับเดือน
ก่อนอื่นต้องรู้กลไกของเข็มพิษของแมงกะพรุนก่อน .. เริ่มจากเมื่อเราไปโดนแมงกะพรุนเข้า เข็มพิษจำนวนมากตามตัวและหนวดของมันจะฝังติดผิวหนังแบบตื้นๆ โดยหัวเข็มที่มีลักษณะคมและเป็นเงี่ยง การฝังในขั้นแรกเราจะไม่รู้สึกเจ็บอะไรนัก... จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงของทางกายภาพ (ความดัน อุณหภูมิ หรือการสัมผัส) กระเปาะเข็มพิษจะดีดตัวออก และส่งหัวเข็มที่อยู่เพียงชั้นตื้นๆของผิวหนัง ให้พุ่งทะลวงลงไปลึกขึ้นพร้อมกับปล่อยน้ำพิษเข้าไป
การโดนแมงกะพรุนในตอนแรก ก็มีแรงสัมผัสเพียงพอที่จะทำให้เข็มพิษบางส่วนจะทำงานและสร้างความเจ็บปวดแสบร้อนขึ้น แต่ว่าเข็มพิษอีกจำนวนหนึ่งจะยังไม่ทำงาน และรอการกระตุ้นภายหลัง ซึ่งหากไปถู นวด หรือรักษาผิดๆ ก็จะยิ่งไปกระตุ้นให้มันทำงานสร้างความเจ็บปวดได้อีก ดังนั้นการรักษาเบื้องต้นจึงมีความสำคัญเพราะเป็นสิ่งกำหนดว่าจะมีแผลเป็นไหม หายช้าเร็วเพียงใด หรือมีภาวะแทรกซ้อนตามมาหรือไม่
ตัวอย่างการรักษาที่ใช้กันได้ผล
1. ผักบุ้งทะเล คงรู้จักกันอยู่แล้ว ปัจจุบันมีการทำเป็นครีมด้วย....
2. น้ำส้มสายชูและน้ำทะเลอุ่นๆ เนื่องจากพิษของแมงกะพรุนบางชนิดเป็นโปรตีนที่จัดอยู่ในกลุ่ม Heat Labile Protein ซึ่งสามารถถูกทำให้เสียคุณสมบัติที่เป็นพิษได้ด้วยความร้อน ดังนั้น การใช้น้ำเกลือที่อุ่นๆประมาณ40-45องศาเซลเซียส แช่ส่วนที่บาดเจ็บ10-15นาที ก็จะช่วยให้พิษในกระเปาะที่ยังไม่ทำงานถูกทำลายสภาพไปได้ (หลังจากนั้นอาจจะใช้แหนบจับดึงออกมาทีหลังถ้าตาดีพอ)
เมื่อมีการรักษาที่ได้ผล ก็ย่อมมีการรักษาที่ไม่ได้ผล
1. น้ำมันมวย ครีมแก้ปวดเมื่อย ยาสีฟัน ไม่ได้ผลและทำให้เป็นมากขึ้น แต่ก็มีคนใช้กันมากมาย
2. น้ำเย็น,น้ำจืด เนื่องจากอาการเมื่อถูกเข็มพิษคือแสบร้อน หลายคนจึงใช้น้ำเย็นราด โดยไม่รู้ว่าอาการที่สบาย เกิดจากการชา(เย็นจนไม่รู้สึกแค่ชั่วขณะ)เฉยๆ แต่อุณหภูมิที่เปลี่ยนไป รวมทั้งความเข้มข้นของน้ำจืดที่ต่างจากน้ำทะเล เป็นตัวกระตุ้นให้กระเปาะพิษปล่อยเข็มพิษมากกว่าเดิม
3. ทรายถู มีคนเชื่อว่าการใช้ทรายขัดจะช่วยขัดเอาเข็มพิษออกจากผิวหนังได้ แต่หากโดนปุ๊บแล้วขัดด้วยทรายปั๊บ ดูแล้วน่าจะกระตุ้นให้กระเปาะพิษปล่อยพิษมากกว่า
อ่านแล้วผมก็หวังว่าคงจะเที่ยวทะเลกันอย่างมีความสุขนะครับ
ขอขอบพระคุณหมอแมวมากค่ะ โดย : หมอแมว อีเมล์ : mor_kaew@hotmail.com
Create Date : 28 มีนาคม 2551 |
Last Update : 10 พฤษภาคม 2551 22:17:29 น. |
|
2 comments
|
Counter : 440 Pageviews. |
|
|
|
โดย: yosita_yoyo วันที่: 6 เมษายน 2551 เวลา:11:24:53 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
ทับเที่ยง ตรัง Aberdeen United Kingdom
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เติบโตมาในตระกูลคนจีนแต้จิ๋ว ที่บุพการีทั้ง 2 หอบเสื่อผืน หมอนใบ อาศัยกิน-นอนใต้ท้องเรือ รอนแรมจากจังหวัดทางภาคใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ ในตำบลเก็กเอี๊ยะ มณฑลกวางตุ้ง จังหวัดซัวเถา ทางฝ่ายอาปา ส่วนอาหมะมาจากตำบลโผว่เล้ง จังหวัดซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง เช่นเดียวกัน ท่านทั้ง 2 มากันคนละรอบมาเจอกันที่เมืองไทย มาขึ้นฝั่งทางภาคตะวันออกของประเทศไทย คิดว่าคงเป็นจังหวัดชลบุรี่ หรือไม่ก็คงเป็นจังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง อันนี้ท่านเองก็เรียกชื่อจังหวัดไม่ถูกค่ะ
ญาติพี่น้องของบุพการี่ที่มาด้วยกัน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปอยู่คนละจังหวัด ส่วนอาปาและอาหมะของเรา ลงมาปักหลักอยู่ที่ตำบลทับเที่ยง จังหวัดตรัง ไม่เคยย้ายไปไหนอีกเลย ตราบจนท่านทั้ง 2 สิ้นชีวิต เราภูมิใจที่สุดที่เกิดมาเป็นลูกของอาปาและอามะ เพราะท่านมีชีวิตอยู่แบบพอเพียง ไม่เคยเป็นหนี้ใคร หากเป็นหนี้ในการซื้อของมาขายก็จะรีบเอาไปใช้คืนในวันถัดมา รักท่านที่สุดเลย บ้านเปิดเป็นร้านโชวห่วยเล็กๆ ที่ท่านทั้ง 2 สามารถเลี้ยงดูเราทั้ง 10 คนจนเติบใหญ่มาจนทุกวันนี้
|
|
|
|
|
|
|