สิงหาคม 2555

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
 
 
All Blog
เฝ้ารอเวลาที่ลมแห่งรักนั้นจะพัดพามาอีกครั้ง (1)



ผมชอบประโยคประโยคหนึ่ง ในนิยายเรื่อง ยามเมื่อลมพัดหวน

ของนักเขียนนามอุโคตรท่านหนึ่ง คือ ลุงวาณิช จรุงกิจอนันต์

นักเขียนในดวงใจของผมที่ล่วงลับไปแล้ว

ใจความที่ว่าจะอยู่ในสองบรรทัดสุดท้ายของเล่ม ที่ตัวพระเอกรำพันกับ

ตัวเอง ก่อนจะจบเรื่อง ผมจำได้คร่าวๆว่า

"สายลมแห่งความรัก พัดพาให้เขาหลบหนีความเจ็ปปวดมาไกล

ถึงที่นี่ แล้วก็คงเป็นสายลมแห่งรักอีกนั่นแหละ

ที่กำลังจะพัดพาให้เขาได้กลับไปยังถิ่นที่เขาจากมาเพื่อพบรักใหม่อีกครั้ง"

ข้อความที่จริงมันไพเพราะและสวยงามกว่านี้

แต่ด้วยความว่าผมจำได้แค่ครึ่งๆกลางๆ มันก็เลยงอกออกมาได้นิดเดียว

เอาไว้จะไปคว้ามาอ่านอีกสักรอบ แล้วผมจะแอบมาเขียนใหม่ก็แล้วกัน

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบทความนี้นี่หรือ...

ผมก็โดนสายลมแห่งความรัก พัดพากลับไปยัง "ลำปาง" เช่นกันครับ


จริงๆก็แหม เที่ยวนี้ผมอยากจะเขียนอะไรๆที่มันโรแมนติกดูบ้าง

เขียนไป เขียนไป มันก็ออกแนวลูกทุ่งมาเสียเยอะแล้ว

ไอ้การเปลี่ยนแนวเขียนนี่มันก็ใช่ว่าจะได้ทำบ่อยๆเสี่ยเมื่อไหร่

เที่ยวนี้มีโอกาส เพราะสถานที่และเวลาอำนวย ก็ขอลองบ้างแล้วกัน

ผิดถูกดีชั่วอย่างไร ก็ขออนุญาตไว้ก่อนแล้วกันครับ


ในวันที่ผมต้องไปรอเฝ้าพ่อเข้าห้องผ่าตัด ราวๆสี่เดือนที่ผ่านมา

คืนนั้นเป็นคืนที่ค่อนข้างทรมาน เพราะหมอบอกว่า พ่อมีโอกาสรอด

และไม่รอดเท่ากัน มันทำให้มีลมตีขึ้นมาจุกคอหอย

และมีอาการนอนไม่หลับในคืนนั้น ผมก็รู้ว่า พ่อ ก็รู้สึกเหมือนกัน

แล้ววันนั้นตอนเช้า พ่อก็ไปเข้าห้องผ่าตัด

ผมก็ออกมาทำงานตามปกติ แต่ทั้งวันนั้น ผมทำงานไม่ค่อยรู้เรื่อง

ทำงานไปก็รอโทรศัพท์ไป จนเข้าช่วงบ่าย แม่ก็โทรศัพท์มาบอกว่า

พ่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่อยู่ดูอาการในไอซียูอีกหนึ่งคืน...


คืนนั้น ผมเข้าไปนอนเป็นเพื่อนแม่ที่โรงพยาบาล โดยมีเตียงเปล่าๆ

อยู่กลางห้อง คืนนั้นผมนอนไม่หลับ และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

ให้ตามันหลับลงได้ ผมจึงเปิดดูทีวี ดูไปเรื่อยๆก็คงจะง่วง และ

มันคงอยู่ในระยะกึ่งหลับกึ่งตื่น ผมไม่รู้ว่า ตอนนั้นเป็นเวลาเท่าไหร่

แต่ในทีวีมีรายการพาเที่ยวรายการหนึ่ง นำเสนอเรื่องการท่องเที่ยวจังหวัด

ลำปาง ผมว่า จริงๆผมก็ดูอยู่ด้วยตาเหมือนกันแหละ แต่การสื่อสารข้อมูล

แบบกึ่งหลับกึ่งตื่นมันคงไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่

แล้วเมื่อผมได้เห็นภาพพระธาตุลำปางหลวงปรากฏขึ้นมาในสายตา

หูได้ยินคำว่าศักดิ์สิทธิ์ คงเป็นอัตโนมัติ มือผมยกขึ้นประนม แล้วอฐิษฐาน

ในใจว่า หากพ่อรอดมาได้จากความเจ็บป่วยไข้ตายในครั้งนี้แล้ว

ตัวกระผม จะขอไปกราบนมัสการองค์พระธาตุลำปางหลวงเป็นการแก้บน

แล้วผมก็ผลอยหลับไป

เช้าวันนั้นผมก็ออกไปทำงานตามปกติ ตกบ่ายแม่ก็โทรศัพท์มาบอกว่า

พ่อปลอดภัยดี ดูแข็งแรง แถมมือไม้โบกชี้สั่งการได้ตามปกติ

ผมจึงรู้ในใจแล้วว่า ผมต้องไปลำปาง...



สองสามเดือนถัดมาจนกระทั่งล่วงข้ามมาปีใหม่ กำหนดการไปลำปาง

ของผม ถูกเลื่อนไปสองสามครั้งด้วยความไม่สะดวกหลายเรื่อง

จนกระทั่งได้ฤกษ์งามยามดี เมื่อตอนเดือนมกราคมราวๆวันที่สิบกว่าๆ

ผมจึงได้ไปลำปางจริงๆเสียที


คืนก่อนรถจะออกผมนอนไม่หลับ คิดถึงเรื่องหนึ่งว่าเอ๊ะ ทำไมต้องลำปาง

เป็นนครพนม สุไหงปาดี หรือ แปดริ้วไม่ได้หรือไง นึกไปนึกมาก็พาให้นึก

ย้อนกลับไปสักสิบสี่สิบห้าปีถอยหลัง ผมเคยไปลำปางแล้ว มีอดีตผูกไว้

ที่ลำปางนี่หนึ่งหน กับคนหนึ่งคน และคงเป็นเพราะเรื่องนี้กระมัง

ผมจึงต้องกลับมาแก้กรรมที่ลำปาง

อ้อ เรื่องราวโรแมนติกมันเริ่มตรงนี้ไงเล่ามิน่า


เมื่อวันเดินทางมาถึง สมาชิกเดินทางก็เหมือนเดิมสามคน

น้องชายหมายเลขห้าและภรรยาหมายเลขหนึ่ง อืม

ไม่ใช่สิ ภรรยาคนเดียวและไม่มีหมายเลข (ฮา)

พวกเราออกจากบ้านตามกำหนดการคือ หกโมงเช้า แต่ก็มีเหตุให้

เสียเวลาเดินทางไปหนึ่งชั่วโมง ด้วยเจ้าวัวใหญ่บีเอ็มดับบิว

รถน้องชายที่อาสาจะเป็นผู้ขับไปในทริปนี้ มีอาการแอร์ไม่เย็นขึ้นมาเสียเฉยๆ

งานขับรถจึงถูกโอนกลับมาที่ผม และก็จำเป็นที่จะต้องให้ผมเอาไอ้จะอุ๋ง

รถคันน้อยของผมไปแทน ใจลึกๆผมก็รู้อยู่ด้วยเหตุผลจากเสียงในหูที่ว่า

"มึงเป็นคนบนบานศาลกล่าว มันจะสะดวกไปถ้าให้คนอื่นขับ มึงต้องขับไปเอง

ไม่ให้คนอื่นมาลำบาก" ดังนั้นก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ที่ผมจะยินดีเป็นที่สุด

ที่ได้ทำธุระกิจนี้ด้วยตัวเอง


เจ็ดโมงเช้าเปลี่ยนรถเรียบร้อย ไอ้จะอุ๋ง (มาจาก คำว่า เล็กมาก ผมชอบชื่อมัน

เพราะมันเล็กที่สุดในถนนเวลาไปไหนมาไหน) ก็คลานออกจากกรุงเทพอย่าง

เชื่องช้า ไล่เลียบไปตามถนนมุ่งสู่ลำปาง


บทสนทนาในรถก็ดำเนินไปตามเรื่องราวต่างๆ ทางนู้ทีทางนี้ที

แต่ในหัวใจลึกๆ ผมกลับนึกไปถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน สมัยที่ผมเป็นหนุ่มน้อย

หน้าตาขี้เหร่ ตัวดำๆ ซึ่งย้ายมาจากโรงเรียนประจำชายล้วน

มาเข้าโรงเรียนเกือบหญิงล้วน


ภาพของเช้าวันรายงานตัวนั้นผมยังจำได้ดี

ราวกับว่าผมดูหนังในมุมของบุคคลที่สาม

เด็กชายวัยรุ้นสักราวๆสิบห้าสิบหก เดินกะเร่อกะร่าเข้ามาที่โรงเรียนแห่งนี้

ที่เป็นโรงเรียนใหม่สำหรับเขา แวบแรกที่เห็นภาพโรงเรียน ในใจผมก็นึกว่า

แม่งเก่าและกันดารเป็นที่สุด นี่กูต้องเรียนที่นี่จริงๆหรือ โอยไม่ไหวๆ

ในระหว่างที่ผมเดินเข้าไปในโรงเรียนได้ไม่กี่ก้าว ผมก็เดินสวนกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

สิ่งที่ชวนให้ผมสะดุดก็คือ เธอมีผิวขาว หน้าตาสะสวย ตัดกับคิ้วดำขลับ ที่วางอยู่บน

นัยน์ตากลมโตอย่างแปลกประหลาด จมูกเป็นสันคม เรียวปากอันน้อยนิดเข้ารูปสีชมพูจางๆ

สะกดนิ่งให้ผมยืนมองราวกับว่าไม่เคยเห็นคนมาก่อน

แล้วก็เป็นจริง เธอก็หยุดยืนจ้องผมเหมือนกัน

แต่เธอไม่ได้จ้องเปล่า เธอเท้าเอวแล้วถามผมว่า


"เฮ้ยไอ้ดำ ไม่เคยเห็นคนหรือไง

เด็กใหม่ละสิถ้าแก"...นั่น เลิฟแอทเฟิสต์ฮิตตรงนี้นี่เอง









รถวิ่งยาวๆมาสักชั่วโมงกว่าๆ พวกเราก็แวะกินอาหารเช้าที่สิงห์บุรี

มื้อเช้าประจำทางที่ไม่ว่าทริปไหนๆ ถ้าจะไปทางเหนือ ต้องมาแวะกินผัดไทย

เจ้านี้ ที่ปากบาง ผัดไทยปากบาง แล้วอากาศตอนออกจากกรุงเทพนี่ผมว่ามัน

ก็เย็นๆเฉยๆไม่หนาวไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่พอมาตอนถึงสิงห์บุรีนี่

เราทั้งหมดต้องเดินไปเอาเสื้อกันหนาวมาใส่ เนื่องด้วยอากาศที่ต่างกับ

ที่กรุงเทพอย่างมาก มันหนาวน่ะครับ แต่กินผัดไทยปากบางเคล้ากับลมหนาวนี่

ผมก็ว่ามันอร่อยดี



"...ไอ้ดำ นี่แกชื่ออะไรเนี่ย แกเสร่อมากนะที่มาอยู่ห้องเดียวกันกับฉัน..."

นี่เป็นคำทักทายคำแรกที่ "บัว" เอ่ยปากกับผมอีกครั้ง ด้วยท่าทาง

ก๋ากันออกทอมบอยหน่อยๆ และดูแล้วเหมือนกับว่า เธอเป็นหัวหน้า

ของผู้หญิงทั้งหลายทั้งปวงในห้องนี้ อ้อลืมบอกไป ห้องที่ผมเรียนนี่คือ

ชั้นมัธยมสี่ ทั้งห้องมีสามสิบห้าคน แบ่งเป็นผู้ชายเสียสามคน

ผู้หญิงสามสิบสองคน อืม...สวรรค์ของไอ้ดำจริงๆครับ


ตลอดช่วงหนึ่งเดือน ที่ผมเรียนเริ่มหนังสือในห้องนี้ ผมก็มีเหล่ๆสาวไว้หลายคน

แหม วัยรุ่นน่ะครับ จะให้ไปเหล่นักการภารโรง เหล่แม่ค้าน้ำแข็งใสก็คงจะแปลก

แถมมีเพื่อนสาวๆร่วมห้องร่วมชั้นอีกตั้งกระบุงโกย ที่หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มพริ้มเพรา

กิจกรรมยามนี้ของผมก็ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ เหล่สาวเป็นกีฬาเลยแหละ

ในช่วงเทอมแรกๆของการเรียนชั้นม.4 ผมดอดไปจีบสาวไว้หนึ่งคน

เป็นสาวเอกศิลป์ฝรั่งเศสอยู่ห้องติดกัน ได้มาเจอกันก็อีตอนที่ผมเดินผ่าน

หน้าห้องเรียนและเห็น น้องอัม เธอมองมา "อุบ๊ะ มีคาแร็คเต้อร์ ชอบๆ"

แล้วผมก็เลยหน้าด้านติดตามไปจีบเธอตอนเลือกเข้าชมรมหลังเลิกเรียนอีก

ผมเลือกเรียนชมรมศิลปะ ในขณะที่ไอ้พวกผู้ชายร่วมชั้นม.4

อีกสิบหกคน คือห้องผมเนี่ยผู้ชายสามคน

ทั้งชั้นรวมผู้ชายได้สิบหก ไอ้พวกใจหนามือหนาทั้งหลายมันเลือกเรียนวิชา

ช่างอุตสาหกรรม มีผมคนเดียวทะลึ่งไปอยู่ชมรมศิลปะ แหะๆ ผมตามหญิงมาครับ

แต่ไอ้ที่บังเอิญกว่า "บัว" อยู่แถวเดียวกับผม เธอเลือกเรียนชมรมศิลปะเหมือนกัน...


ผ่านนครสวรรค์เราแยกไปทางซ้าย ก่อนข้ามสะพานเดชาติวงศ์

เพื่อออกไปตามทางเลี่ยงเมือง ผมขับรถแบบไม่รีบไปเรื่อยๆ ผ่านกำแพงเพชร

จนกระทั่งไปเข้าบ่ายโมงที่จังหวัดตาก เราจอดแวะพักรถ

แล้วก็เดินหาของกินกันตามตลาด จนไปจบลงที่ข้าวมันไก่กับโอเลี้ยง

แก้ง่วง จากนั้นก็เดินทางต่อไป


"ซวยจริงๆแม่งต้องมาเรียนกับมันอีก...ไอ้ดำ"  นี่เป็นคำกล่าวที่บัว

พูดกับผมตรงๆต่อหน้า เมื่อเข้ามาเรียนร่วมกันในชั่วโมงชมรมศิลปะ

แต่ผมก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร กับเธอ เพราะน้อง"อัม" แฟนผมบอกกับผมว่า

"ช่างเหอะ บัวมันเกลียดผู้ชาย มันเป็นอย่างนี้ของมันแหละ..." ในขณะที่ผมฟังน้องอัม

เล่าเรื่อง ผมก็คอยแอบชำเลืองมองหน้าเธอบ่อยๆ ผมว่าเธอสวยกว่าผู้หญิงทุกคน

ในโรงเรียนนี้ ผิวขาวๆ ตัดกับแสงแดงตอนเย็นๆที่ลอดเข้ามา

ในห้องวาดเขียน เงาสีส้มของตอนบ่ายทำให้ผมหยุดวาดรูปแล้ว

ไปจ้องหน้าเธอได้บ่อยๆ แต่แหมเมื่อนึกได้ ผมเกลียดปากเธอเหลือใจ

"มองไร...ไอ้ดำ เดี๋ยวด่าแม่งเลย"  ได้ยินดังนั้นผมก็ก้มหน้าก้มตาวาดรูปๆต่อไป


ราวๆบ่ายสามโมง เราก็เข้าเขตอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ที่หมายแรก

และเป็นที่หมายหลักที่ผมตั้งใจจะมาแก้บนให้พ่อ ผมเดินไปยืนอยู่ที่หน้าทางขึ้นบันไดนาค

เพื่อเก็บภาพสวยๆของวัดพระธาตุลำปางหลวง วัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปี และยังเป็นวัด

คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปางอีกด้วย เรียกว่าถ้ามาลำปาง ต้องมาวัดแห่งนี้

สิ่งหนึ่งที่เห็นเป็นอัศจรรย์ของวัดนี้ก็คือ ภาพกลับหัวขององค์พระธาตุ

ที่ลอดเข้ามาในผนังของ โบสถ์ที่อยู่ติดกัน ก่อให้เกิดภาพเงาพระธาตุเสมือนจริง

ตกทอดเป็รูปสีชัดเจนบนผ้าขาว จริงๆแล้วก็เป็นหลักการเดียวกันกับกล้องถ่ายภาพ

คือภาพสะท้อนเข้ามาทางเลนส์แล้วมาตกบนฟีล์ม แต่ในทางพุทธศาสนา ก็นับว่า

เป็นเรื่องอัศจรรย์ทีเดียว







เทอมแรกผ่านไป ผมกับบัวเป็นเหมือนคู่อริ คู่กัด แต่ดูแล้วเหมือนกับว่า ผมจะเป็นคู่ซ้อม

ปากซ้อมกำลังให้เธอเสียมากกว่า อันที่จริงถึงแม้ว่าผมจะมีใจอยู่กับน้องอัมที่ผม

อุตส่าห์ลงทุนตามจีบมาได้ แต่ผมรู้ว่าในใจลึกๆ....ผมชอบบัว แต่ไม่กล้าจีบ

แล้วก็เหมือนกับโดนแกล้ง เพื่อนๆจะพยายามให้ผมถูกแกล้งจากเธอเสมอๆ ไม่ว่าชั่วโมง

พละ เรียนยูโด เพื่อนก็จะเชียร์ให้เธอมาซ้อมกับผมเสมอ แต่ก็นั่นละครับ

ปากผมก็บ่นอุบอิบๆไป แต่จริงๆแล้วก็อยากให้เธอทุ่มผมลงพื้นทุกวันแหละ มันปลื้ม...

กระทั่งชักธงชาติ ไม่วายที่ผมจะโดนเพื่อนที่รู้ว่าผมชอบเธอ ทั้งถีบทั้งผลัก

ให้ไปชักธงชาติร่วมกัน เวลามีกิจกรรมกิจเวรอะไร ก็ต้องผมที่จะต้องคอยตามทำ ตามอยู่

ร่วมกลุ่มกับเธอเสมอ ทั้งแบบบังเอิญ โดนบังคับ หรือผมตั้งใจก็ตาม


มีวันหนึ่ง ผมปรารภกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งคือไอ้สจ๊วต มันเป็นเพื่อนสนิทของผมที่สุดเพราะ

มันถือวิสาสะมานอนมากินอยู่ที่บ้านผมตลอดปีการศึกษาชั้นม.4 ด้วยว่าทางบ้านมีแต่ป้า

กับอาม่า ที่ไม่ค่อยเข้าใจวัยรุ่น มันก็เลยมาอาศัยกินนอนอยู่ที่บ้านผมด้วยอีกคน

เราจึงสนิทกัน กรรมเวรของผมก็เกิดจากไอ้สจ๊วตนี่แหละ

มันดันไปมีแฟน เป็นเพื่อนสนิทกับบัว แฟนมันชื่อชมพู่

แล้วผมก็ไปบอกกับไอ้สจ๊วตในวันหนึ่งที่เรากำลังเดินไปโรงเรียน

"จ๊วต...มึงอย่าบอกใครนะ กูชอบบัวว่ะ ชอบมากด้วย แต่กูไม่กล้าจีบ"

"เหรอ อืม" มันรับปากผมลอยๆ

บ่ายวันนั้นเอง นางนกยักษ์บัวตูม ปราดเข้ามาจับคอเสื้อผม แล้วถามว่า

"ไอ้ดำ แกจะจีบชั้นหรอ ได้ข่าว วอนซะแล้วไอ่นี่"

โดนมุกนี้เข้าไป ผมมีความรู้สึกขึ้นมาสามอย่าง

อย่างแรก ไอ้ห่านจิกจ๊วต เล่นงานกุแล้วไง

อย่างที่สอง ดีละ รู้ไว้ก็ดีแล้ว กูจะได้ไม่ต้องบอกเอง

และอย่างที่สาม.....ผมยืนจ้องตาเธอทั้งๆโดนรวบคอเสื้ออยู่

ในดวงตาสีน้ำตาลสดใสคู่นั้นคู่นั้น...ผมมองเห็นตัวเองอยู่จางๆ...



รถออกจากเกาะคา พระธาตุลำปางหลวงราวๆบ่ายสี่โมงพวกเราขับวน

เวียนหาทางไป อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนอยู่นาน ด้วยว่าแผนที่ของ

หนังสือที่ได้มา ไม่ค่อยละเอียดดี ขับไป ขับมา คณะของเราจึงผ่าเข้าไป

กลางเมืองลำปาง ในเวลาที่คนลำปางกำลังวุ่นวายอยู่กลับกิจกรรม

ตอนเย็นอยู่พอดี เราจึงได้ไปจอดดูไฟแดง ไฟเขียว ของลำปาง

อยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะผ่านออกมาได้ก็ว่ากันไปเกือบเย็นย่ำ

และหนทางที่ต้องไป ก็ยังอีกตั้ง 80 กิโลเมตร

พอหลุดออกถนนมาได้ผมจึงอัญเชิญวิญญาณนักขับรถแข่ง

มาเข้าสิง ด้วยกลัวว่าจะมืด อีกทั้งไม่คุ้นทาง

ซึ่งเกรงว่าจะหลงและเกิดอันตราย


...วันที่ผมเลิกกับน้องอัม ผมจำได้ดีว่าเป็นวันงานกีฬาสี มีไอ้หนุ่มคนหนึ่ง

มาจากต่างโรงเรียน แอบเอาดอกไม้มาให้อัม

ในขณะที่ผมผมกำลังแบกโต๊ะตัวหนึ่งข้ามสนามกีฬาไปหาน้องอัมพอดี

โชคร้ายของโต๊ะตัวนั้น มันปลิวไปตกใกล้ๆ กับไอ้หนุ่มคนนั้น

เย็นนั้นแปลงเกษตรหลังโรงเรียน เต็มไปด้วยเพื่อนๆผู้ชายที่มาปลอบใจผม

ผมนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่เป็นนานสองนาน แล้วมันก็หยุดร้องไปเอง

เมื่อผมเงยหน้าไปเห็นบัวยืนมองอยู่บนตึก...


ที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อากาศค่อนข้างหนาว แต่ไม่ค่อยมาก

เรียกว่ากำลังดี แต่ที่แน่ๆคือคนไม่เยอะนัก และเตนท์ที่กางไว้นอน

ก็มีเตนท์เดียวเสียด้วย คือเตนท์เรานี่แหละ เมื่อมันโล่งเกินไป

เราจึงเลือกที่จะกางเตนท์ติดกับต้นไม่ที่มีไฟฟ้าส่องสว่างตลอดคืน

เพราะอย่างน้อยก็จะไม่มืดจนเกินไป ค่ำนั้นเรากุลีกุจอช่วยกันกางเตนท์

จากนั้นก็จัดแจงก่อไฟหุงหาอาหาร แล้วก็นะ ไอ้เรื่องที่ยากเย็นที่สุด

ของการทำกับข้ากับปลา ไม่ได้อยู่ที่อีตอนทำ มันดันมาอยู่ที่ตอนก่อไฟ

ปกติสมัยเด็กๆเรื่องก่อไฟก่อเตานี่เป็นเรื่องที่ง่ายๆที่สุด

ของประชาชนคนบ้านนอกอย่างผม เรียกว่าท้าจุดไฟให้ใม้ขีดก้านเดียวนี่

กินหมูมาเยอะแล้ว แต่พอหลังจากหมดยุคอารยธรรมไม้ขีด มุ่งหน้าเข้าหา

อารยะธรรมเตาแก็สและไฟแช็ค การติดเตาในวันนี้จึงเปลืองไม้ขีดเอามากๆ

ร้อนถึงเจ้าหน้าที่อุทยานต้องมาก่อไฟให้ แหม อายเป็นที่สุด เสียชื่อคน

อยุธยาม๊ด...




..................................................................................................................

ติดตามต่อได้ที่

เฝ้ารอเวลาที่ลมแห่งรักนั้นจะพัดพามาอีกครั้ง (2)




Create Date : 30 สิงหาคม 2555
Last Update : 30 สิงหาคม 2555 17:23:49 น.
Counter : 762 Pageviews.

2 comments
  
ทักทายตอนบ่ายคร๊าาาาา


ขอบคุณนะคะที่มาแชร์ ถ้าเราอยากไปเที่ยวที่คุณเคยไปมาแล้วบ้าง จะขอความรู้เรื่องการเดินทางนร๊าาาา
โดย: พัชากะหมากระป๋อง วันที่: 9 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:18:01 น.
  
ยินดีครับ คุณพัชา ขอให้มีความสุขกับการท่องเที่ยวครับ
โดย: Eakiji Onisuka IP: 115.87.221.142 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:32:06 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

จะเรียกอะไรบ่อยๆ
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



คุณไปเที่ยวเมืองไทยมาครบหรือยัง ภาคเหนือ ผมไปมาเกือบครบหมดแล้ว... ภาคใต้ เพิ่งไปได้ไม่มากเท่าไหร่ ภาคกลางนี่ทุกจังหวัดครบถ้วน ภาคอีสานนี่ก็คงต้องหาเวลาไปให้ได้ ระหว่างทาง ผมได้พบ ได้เห็นอะไรที่ผมคิดว่าเป็นมุมมอง เป็นความสนุก เป็นความสุข แม้กระทั่งเป็นความทุกข์ ผมก็ใช้กล้องตัวหนึ่ง เก็บภาพเหล่านั้นไว้ เอามาถ่ายทอดลงบนBlog เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ เหล่านั้นไป.. . ครูผมเคยบอกว่า "ถ้าคุณวาดรูปด้วยมือไม่ได้...ก็ใช้กล้องกับปากกาวาดแทนก็แล้วกัน" ผมกำลังเร่งมือทำอยู่ครับ