จากกาลามสูตร นำไปสู่ที่

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกถึงความเชื่อของคนบางคนกับ ภารทวาชะ ว่า ดูก่อน ภารทวาชะ ครั้งแรกท่านได้อ้างถึงความเชื่อ แต่เดี๋ยวนี้ ท่านได้อ้างถึงการฟังตามๆ กันมา มีธรรม ๕ ประการ คือ

๑.สัทธา ความเชื่อ ๒.รุจิ ความชอบใจ ๓.อนุสวะ การฟังตามกันมา ๔.อาการปริวิตักกะ ความตรึกเอาตามอาการ
๕.ทิฏฐินิชฌานขันติ ความทนได้ซึ่งความเพ่งด้วยทิฏฐิ
( อ้างอิงจาก ม.ม. ๑๓/๔๒๘-๔๒๙/๔๑๗-๔๑๘. ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ ๒๕๐๐. )

จากธรรมทั้ง ๕ ประการนี้ มีวิบาก เป็น ๒ ลักษณะในปัจจุบัน คือ
๑.ถึงแม้สิ่งที่เชื่อกันด้วยดี เป็นของไม่จริง เป็นเท็จไปก็มี
๒.ถึงแม้สิ่งที่ไม่เชื่อกันด้วยดี แต่สิ่งนั้นเป็นของจริง เป็นของแท้ไม่เป็นอื่นไปก็มี

ขอบคุณที่นำธรรมมาฝากจ๊ะ

แล้วจะให้เชื่อเพราะอะไร

ช่วยกันบอกต่อด้วย

สวัสดีตอนสายๆ คะ
อืมมม ธรรมะคือคุณากร.........

อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา
ตัวเขาตัวเราก็เหมือนกัน

เกิด แก่ เจ็บ ตาย สังขารไม่เที่ยง ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว..ชีวิตก้อแค่นี้หนอ..

บล็อกธรรมชาติมากค่ะ สวยอีกแบบแต่น่าจะมีสีสันนิดนึงค่ะ ..ขอบคุณค่ะที่ให้ .comment.

ให้เชื่อด้วยตนเองโดยการพิจารณาโดยแยบคาย ตรวจสอบด้วยตัวเอง ต้องปราศจากทิฐิ ทบทวน ด้านซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า ด้านหลัง ด้านบน ด้านล่าง กลับไป กลับมา หลายๆ ครั้ง จนแน่ใจ แล้วค่อยเชื่อ แต่ต้องเป็นไปในความเจริญของ มรรค ๘ โดยให้ สัมมาทิฐิ เป็นตัวตั้ง จ้า
ตัวหนังสือนี้ก็อย่างเพิ่งเชื่อ อย่างเพิ่งไม่เชื่อ เดี๋ยวจะพลาดไป จงมีสติ ปํญญา เพื่อลดทุกข์ นะ นะ นะ

ไม่ให้เชื่อเพราะเหตุผลแล้วจะให้เชื่อด้วยอะไรครับ?

จริงๆ คือข้อ 7 นั้น แปลมาแบบผิดๆ (ถ้าคุณไปเช็คต้นฉบับ) คนก็ยังอุตส่าห์เชื่อและจำกันไปแบผิดๆ แล้วก็มาอ้างว่าเป็นคนตามหลักธรรมะ อ้างว่าเป็นคนรู้จริง ทั้งๆ ที่ความจริงคือ รู้มาแบบผิดๆ แล้วก็สักแต่จำ แต่ไม่ได้คิดตาม