ยาที่รักษาโรค A ใช้รักษาโรค B ใช้ได้กับคนกลุ่ม C แต่ใช้กับคนที่แพ้ยารักษา A ไม่ได้...... ซึ่งเป็นกลุ่ม D
ดังนั้นยา A ไม่ใช่ยารักษาโรค B อย่างเดียว แต่เป็นเชื้อโรคที่ทำร้ายคนกลุ่ม D ด้วย
ยารักษาคือยาที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม ดังนั้นคนกลุ่ม D คือสิ่งแปลกปลอมสำหรับยา A และยา A คือสิ่งแปลกปลอมสำหรับคนกลุ่ม D
ความตั้งใจ เจตนา ที่เราคิดไว้ บางที อาจจะไปทำร้ายใครคนอื่นก็ได้ ยา A โรค B คนกลุ่ม C คนกลุ่ม D ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ยา A ไม่ได้ตั้งใจไปทำลาย ต่อต้าน ทำตามธรรมชาติของตัวมันเองเท่านั้น โรค B ไวรัส ก้อนเนื้อ อะไรต่างๆนานา มันเพียงแค่เติบโตขึ้นเพราะมันได้เกิดมา คนกลุ่ม C ไม่ได้ปกติเพราะ เค้าเกิดมาเป็นคนส่วนใหญ่และไม่ได้หมายความว่า เค้ามีสิทธิ์กำหนดเรื่องใด คนกลุ่ม D ไม่ได้ผิดปกติเพราะต่างจากคนส่วนใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นการคิดบวก มองโลกในแง่ดี ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ พรสวรรค์ แต่เกิดเพราะการ ฝึกฝน ยารักษาโรค A ทั้งๆที่มันฆ่าคนกลุ่ม D ได้ แต่เราก็เรียกมันว่ายารักษาโรค แถมเราไม่รู้อีกต่างหากว่าเราเป็นคนกลุ่ม D จนกว่าจะเกิดอาการแพ้ยา A พูดง่ายๆ ก็คือ จุดอ่อน
ถ้าผลลัพธ์ดีเราเรียกว่า รัก ไม่ใช่ งมงาย เหมือนกับยา A ถ้ารักษาได้เราก็เรียกว่ายารักษาโรค แต่ยา A ตัวเดิมก็ทำร้ายคนกลุ่ม D รัก ก็จะกลายเป็น งมงาย
รัก หรือ งมงาย หรือ ยา A ไม่ได้ผิดเลย
สมมติผมเป็นโรค B ผมฝากความหวังทั้งหมดอยู่ที่ยา A พอมันไม่รักษากลับฆ่าผมเกือบตาย การโทษยา A ถูกรึเปล่า หรือว่า การรู้และจำว่าเราเคยแพ้ยา A มาก่อน สำคัญกว่า เพื่อที่จะไม่ผิดซ้ำสอง
ถ้าเรามัวแต่โทษยา A โทษร่างกายเราที่เกิดอาการต่อต้าน โทษฟ้า โทษฝน โทษโชคชะตา ไม่มีทางที่จะหายจากโรค A ได้เลย ก็แค่ เริ่มหาวิธีใหม่ เมื่อวิธีเก่ามันไม่ได้ผล จะฝืนกินยาที่ตัวเองแพ้ไปทำไม
รู้สึกโดนๆ ยังไงก็ไม่รู้อ่ะ