Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
12 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
จุดแข็งของละครไทย เมื่อ เปรียบเทียบกับซีรีส์เกาหลี เรียงตามลำดับดังนี้

หลังจากที่ ละครไทยไปโด่งดังที่ ประเทศจีน และไต้หวัน และมีหลายเรื่องได้มีโอกาศไปฉาย ที่ช่องกลางของรัฐบาลกลางคือช่อง CCTV8 คือเรื่อง "รอยอดีตแห่งรัก" จนเป็นที่ถูกอกถูกใจชาวจีน เป็นจำนวนมาก อีกทั้ง เรื่อง "ดอกรักริมทาง" ก็มีคิวในการฉายทางช่อง CCTV8 ภายในปีนี้อีกด้วย

ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีละครไทยหลายๆเรื่องไปโด่งดังมาแล้ว เช่น เลือดขัตติยา หัวใจช๊อกโกแลต ใจร้าว จำเลยรัก ฯลฯ เยอะมาก

แม้ว่า ละครไทย จะไม่ได้รุกตลาดประเทศจีน อย่างเต็มที่ และรัฐบาลไทยก็ไม่ได้สนใจผลักดัน แบบซีรีส์เกาหลี ที่รัฐบาลเกาหลีอุดหนุนเต็มที่ แต่ละครไทยยังมาได้ถึงขนาดนี้ ถือว่า "ไม่ธรรมดา"

มีคำถามว่า ทำไม รูปแบบของละครไทย หรือที่เรียกว่า content ดันไปถูกอกถูกใจชาวจีนเขาได้ ก็จึงลองมาหาจุดแข็งของละครไทยว่า มีอะไรบ้าง ซึ่งเรียงตามลำดับตามทัศนของผู้เขียนดังนี้


1. หน้าตาของนักแสดง ที่สวยหล่อตามธรรมชาติ
2.วัฒนธรรมไทย
3. โลเคชั่น หรือสถานที่ถ่ายทำละคร
4. เอกชนในวงการบันเทิงของไทยเก่งมาก
5.ทีมงานเบื้องหลังและงานการตัดต่อของละครไทย
6. ความสามารถของนักแสดง
7. โปรดักชั่น และมุมกล้อง เทคนิคการถ่ายทำ



และคำถามนี้ได้ตั้งคำถามไว้ในเว๊ปไซต์พันทิพ ห้องเฉลิมไทย ก็ได้ผลโวตดังนี้





.............................





1. หน้าตาของนักแสดง ที่สวยหล่อตามธรรมชาติ



กระแสตอบรับเรื่องหน้าตาของดาราไทย จากเมืองจีน ค่อนข้างดีมาก แต่ทว่าขออนุญาตบรรยายรูปนี้ก่อน เป็นรูปของรายการญี่ปุ่น จากเว๊ปยูทูป ตามลิงค์ข้างล่างนี้

https://www.youtube.com/watch?v=IMePgBa9HNs

มีรายการเกมส์โชว์ ของญี่ปุ่นรายการหนึ่ง ตั้งคำถามกับผู้ร่วมรายการว่า สาวๆที่เห็นในรูป คือคนจากประเทศไหน คนในรายการก็ทายกันไป แต่สรุปคือคำตอบว่า ในรูปนั้น คือ คนไทย จากนั้น คนในรายการก็ร้องกันโอ้โห กันใหญ่ และเริ่มสงสัยว่าทำไมคนประเทศนี้หน้าตาดีกันจัง รายการนี้จึงบุกเมืองไทย เพื่อหาคำตอบ จากนั้น พิธีกรก็เลย มาเดินถ่ายรูปสาวๆในประเทศไทย และพบว่า สาวไทย หน้าตาสวยๆ เดินกันเยอะมาก ส่วนรูปสุดท้ายจะค่อนข้าง ฮา เพราะพิธิกร เข้าไปถามสาว (ประเภท 2) ว่าพวกเธอกำลังกินอะไร แต่ด้วยน้ำเสียงของสาวที่ พิธีกรเข้าไปถาม มีน้ำเสียงใหญ่ผิดปรกติ พิธิกรเขาจึงถามตรงๆว่า ผู้ชายหรือผู้หญิง สรุปว่าเป็นผู้ชาย (ปลอมตัวมา) จึงได้ฮากันทั้งรายการ (ความจริงกระเทยสวยของเมืองไทยโด่งดังมาก) ส่วนฉากสุดท้ายจะมีพอลล่า มาตอบพิธีกรว่า "คนไทยหน้าตาดีเพราะกินน้ำพริก" ซะงั้น




หรือแม้แต่รายการจากลิงค์นี้

https://www.youtube.com/watch?v=e7Kkr8mfIbc

ลิงค์นี้ คือรายการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ก็มีการตั้งคำถามเหมือนกัน และ เขาค่อนข้างจะทึ้งกับหน้าตาดาราบ้านเรามาก

............................


อนึ่ง จาก feckback หลังจากที่ละครไทยหลายๆเรื่องได้มีโอกาศไปฉายที่ ประเทศจีน และไต้หวัน ซึ่งผลตอบรับที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ "หน้าตา" ของดารานักแสดงบ้านเราที่เขามองว่า Hot มาก (จากที่ท่องเว๊ปไซต์บอร์ดต่างประเทศ ชาวจีนเขาว่างั้น)
ปรากฎการณ์เรื่องหน้าตานี้เช่น ปรากฎการณ์ มาริโอ ในไต้หวัน บี้ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ในจีน รวมถึงดารานักร้องอีกหลายคน

สิ่งนี้ในวงการบันเทิงเราจะเรียกรวมๆว่า "วัฒนธรรม Idol" หรือการคลั่งไคล้รูปร่าง หน้าตา หรือความสามารถของตัวศิลปิน ซึ่งหากว่า ละครไทยสามารถสร้าง Idol ให้กับชาวจีน หรือชาวเอเชียได้ แฟนละคร ก็จะติดตาม ผลงานของศิลปินคนนั้น โดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย

สิ่งที่ซีรีย์เกาหลี ในหลายๆเรื่องพลาดไป นั่นก็คือ หน้าตาของนักแสดง ในที่นี้รวมถึงนักแสดงตัวประกอบด้วย ที่ควรจะต้องคัดกันซักหน่อย (ส่วนใหญ่แฟนซีรีย์ต่างชาติเอเชีย จะผิดหวังกับหน้าตาของพระเอกเกาหลี ในซีรีย์เกาหลีชุดแรกๆ) เมื่อเป็นแบบนี้ ก็มีแฟนซีรีย์บางส่วนไปคอมเมนส์ ในเว๊ปไซต์ของประเทศเกาหลี ผลก็คือ ซีรีย์เรื่องหลังๆมา หน้าตาของพระเอก นางเอก หรือแม้แต่ตัวประกอบ ก็สวยหล่อขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แม้จะมีการศัยกรรมบ้างก็ตาม

และเราอาจจะได้ยินเสียงบ่นของคนไทยที่ไปเที่ยวเกาหลีว่า "คนสวยๆหล่อๆ แบบในซีรีย์ มันอยู่ไปอยู่ไหนหมดฟ๊ะเนี๊ยะ" (คนอื่นเขาว่ามาอีกที)


หันกลับมาดูละครไทยโดยเฉพาะละครสมัยใหม่ ที่มีการคัดหน้าตานักแสดง ที่หน้าตาดีตั้งแต่พระเอกยันคนขับรถ




จุดแข็งของละครไทยจุดนี้ เมื่อก่อนไม่มีใครคิดว่ามันสำคัญ เพิ่งมารู้เอาตอน feckback จากประเทศจีนนี้แหละ อาจจะเป็นเพราะ "คนไทยชินหน้าชินตากันเอง" จึงทำให้รู้สึกว่า นักแสดงไทยหน้าตาธรรมดามาก แต่ทว่าคนประเทศอื่น เมื่อเห็นดาราของเรา เขาอาจจะรู้สึกแปลกตา (อาจจะออกแนวที่ว่า ลางเนื้อชอบลางยาก็ได้) และตรงจุดนี้เองเราสามารถสร้างทัศนคติให้แฟนละครไทยในประเทศจีนได้ว่า "ละครไทย ดาราสวย หล่อ ตามธรรมชาติ" (ถ้าเอาคอนเซ็บนี้มาขาย อาจจะมีบางประเทศจุกได้)


เนื่องจากผู้เขียน มาจากห้องหว้ากอ ซึ่งมีการถกเถียงกันเรื่องความสวยความหล่อในทางวิทยาศาสตร์ ก็ได้ใจความของคำว่า "หน้าตาดี" ดังนี้

1.ความสมมาตรของใบหน้า และรูปร่าง หมายถึง ตา ใบหู แก้ม รูจมูก แขน ขา ฯลฯ ทั้ง 2 ข้างซ้าย ขวา จะต้องเท่ากันอย่างมาก (ยิ่งเท่ากันมาก ยิ่งดูดีว่างั้น)
2.ความอ่อนเยาว์ และสุขภาพ (คงไม่มีใครเถียงนะ)
3.สัดสวนตามธรรมชาติ เรียกว่า the golden ratio(phi) มีค่าประมาณ1.61803398874989 (กรุณาหาความรู้เพิ่มเติมจากคำว่า นิยามความงาม เชิงวิทยาศาสตร์)
4.ผู้หญิงในช่วงไข่สุก (ผู้หญิง ในช่วงไข่สุก จะมีผิวที่เปร่งปรั่ง และหน้าตาจะผ่องใสมากกว่าปรกติ)
5.ทัศนคติของผู้คนในยุคนั้นๆ เช่นบางยุคมองว่าผู้หญิงอ้วน คือผู้หญิงสวย บางยุคเช่นในจีนมองว่าผู้หญิงเท้าเล็กคือผู้หญิงสวย ฯลฯ
6.ความประสบความสำเร็จของชนชาตินั้นๆ เช่นสมัยก่อน ฝรั่งเป็นเจ้าอาณานิคม และรวยมาก จึงเกิดกระแส "นิยมฝรั่ง" หรือจีนในสมัยก่อนจะถูกเรียกว่า เจ๊ก พอจีนเริ่มรวย ก็เกิด กระแสนิยม "หมวย" ไปทั่วโลกเช่นกัน

อนึ่ง "เรื่องหน้าตา" เคยมีงานวิจัยชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง ที่กล่าวว่า หน้าตา มีผลต่อ การประสบความสำเร็จในชีวิต และหน้าที่การงาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นั้นหมายถึง คนที่หน้าตาดีนั้นจะมีโอกาสได้ทำงาน และมีโอกาสที่ดีในชีวิต ที่มากกว่าคนหน้าตาไม่ดี

อนึ่ง คนส่วนใหญ่ รู้จักวิทยาศาสตร์การกีฬากันดีแล้ว คือ จะมีการคัดนักกีฬา การดูมวลกระดูก ดูมวลกล้ามเนื้อ อาหารการกินของนักกีฬา ฯลฯ แต่เรายังไม่เข้าใจเรื่อง "วิทยาศาสตร์การบันเทิง" ที่จะกล่าวถึง จิตวิทยามนุษย์และมวลชน และเรื่องหน้าตาของดารานักแสดง ก็จะเป็นอีก 1 สิ่ง ที่จะสะกด คนดูให้นั่งติดเบาะ จนลุกไปไหนไม่ได้เลยที่เดียว (ออกแนวสะกดจิต)

ดังนั้น ละครไทยยุคหลังๆ จึงมีการคัดหน้าตาตัวละครเรียกได้ว่าเกือบจะทุกตัวเลยที่เดียว คือคัดตั้งแต่นางเอก จนกระทั้ง ถึง คนใช้ เลยทีเดียว

ที่จริง เรื่องหน้าตาของคนไทย ได้รับการคอนเฟิมร์ มาจากบอร์ดต่างประเทศทั้ง คนฝรั่ง คนอินเดีย คนจีน คนญี่ปุ่น ฯลฯ มาแล้ว รวมถึงงานสำรวจความคิดเห็นด้วย แต่เราไม่ค่อยรู้ตัวกัน

ถ้าคุณเป็นผู้หญิง หน้าตาธรรมดาในเมืองไทย ก็ลองไปเดินบนถนนในอินเดียดู และจะพบว่า คนอินเดียจะมองคุณ หยั่งกับดูทีวีเลยทีเดียว (ห้องไกลบ้านเขาบอกมา ฮ่าๆๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าที่คนอินเดียเขามอง เขาจะมองว่าสวย หรือมองว่าแปลก ฮ่าๆๆ แต่น่าจะอย่างหลังมากกว่า ฮ่าๆๆ)

เอาละ ข้อสรุปอีกข้อ จากห้องหว้ากอ เรื่องหน้าตาของคนไทย ที่ทำไมคนประเทศอื่นบอกว่า คนไทยหน้าตาดี ซึ่งบทสรุปจากหว้ากอคือ

คนไทยเป็นพวกลูกผสมเยอะ เรามีทุกเชื้อชาติ โดยเฉพาะลูกผสมจีนจะมีเยอะที่สุด เพราะชาวจีนอพยพในอดีต ถูกนโยบายกลื่นชาติ ในสมัย จอมพล.ป.พิบูรณ์สงคราม จนหมด อาจจะพูดได้ว่า เดียวนี้ แทบจะไม่มีคนจีนในประเทศไทยแล้ว แต่เป็นคนไทยทั้งหมด ซึ่งจะต่างกับ ประเทศมาเลเซีย และอินโดนี้เซีย ที่คนจีน กับคนเจ้าถิ่น ไม่ค่อยถูกกัน จึงไม่มีการผสมข้ามสายพันธุ์กันเกิดขึ้น ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ "การผสมข้ามสายพันธุ์" จะเป็นการดึงลักษณะเด่นของแต่ละเชื้อชาติออกมา


สรุปว่า "พวกแกจงภูมิใจเถอะ เพราะคนประเทศอื่นเขาบอกว่า พวกแกมันหน้าตาดีกันทั้งนั้น ฮ่าๆๆ หลงตัวเองแบบนี้คนประเทศอื่นจะหมั่นไส้ไหมฟ๊ะเนี๊ยะ ฮ่าๆๆ"


.......................

2.วัฒนธรรมไทย




เอกลักษณ์ และวัฒนธรรมไทยเป็นจุดแข็งอีกข้อ ที่ไม่มีประเทศไหนเลียนแบบได้ เพราะด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของเรานั่นเอง เราสามารถทำละครย้อนยุคได้แบบไม้ซ้ำใคร
ยกตัวอย่างเช่น ซีรีย์เกาหลีแนวโบราณเรื่อง "ซอนต๊อก" ที่การเดินเรื่อง ตามบท และการตัดต่อค่อนข้างทำได้ดี ชวนให้น่าติดตาม แต่ทว่า เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย สถานที่ถ่ายทำ ชีวิตผู้คนในเนื้อเรื่อง หากไม่บอกว่าเป็นซีรีย์เกาหลี คนทั่วๆไปก็อาจจะก็คิดว่าเป็นหนังจีนย้อนยุค แม้ว่าเกาหลีจะพยายามสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ก็เป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก

อนึ่ง หากว่า เอาบทซีรีย์เรื่อง "ซอนต๊อก" ทั้งหมด มาทำในเวอร์ชั่นไทย เช่น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นชุดไทย สถานที่ถ่ายทำก็ใช้พระบรมมหาราชวัง (ไม่ต้องสร้างวังจำลองแบบเรื่องซอนต๊อก ซึ่งวังจำลอง ความยิ่งใหญ่สู้วังของจริงไม่ได้เลย) ความยิ่งใหญ่ และเอกลักษณ์ของหนังแนวนี้ของไทยจะขนาดไหน ถ้ามีการสร้างจริง แฟนละครมองแว๊บแรกก็รู้ทันทีเลยว่า ละครไทยแน่นอน

ข้อมูลเพิ่มเติมที่

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=googoo&month=05-2010&date=08&group=4&gblog=1


ข้อควรระวัง ในการใส่เอกลักษณ์วัฒนธรรม

หากว่า เป็นหนังที่อ้างอิงเหตุการณ์ในปัจจุบัน เวลาใส่เอกลักษณ์วัฒนธรรมเข้าไป ต้องใส่อย่างแนบเนียน และกลมกลื่น เพราะหากว่าใส่เยอะเกินไป ก็จะเกิดสิ่งที่คนดูหนังเรียกว่า "การยัดเหยียดทางวัฒนธรรม" ซึ่งเกิดขึ้นกับซีรีย์เกาหลี ที่ฉายในหลายๆประเทศ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา (ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ลองเปรียบเทียบกับ การโฆษณาสินค้าแฝงในละคร หรือในภาพยนต์ ซึ่งทำให้คนดู รู้สึกขัดใจมาก ถ้ามีน้อยๆไม่เป็นไร แต่มีมากไป มันไม่ดี)


แต่ถ้าหากว่า ตัวเนื้อเรื่อง เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ หรือตัวละครเป็นแนววัฒนธรรม ก็ควรใส่ให้เต็มๆไปเลย เอาให้สุดๆ เพราะคนดูเขาจะยอมรับได้ เพราะเขาตั้งใจมาดูหนังแนวนี้อยู่แล้ว

อนึ่ง เรื่องวัฒนธรรมที่มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก ของประเทศเกาหลี และประเทศจีน จึงทำให้ ชาวเกาหลีบางส่วน ดูแคลนชาวจีน และคอมเมนในเชิงที่ว่า วัฒนธรรมหลายอย่างที่ชาวจีนเอาไปใช้ เช่นอักษรจีน ความจริงแล้วคนเกาหลีบางส่วน บอกว่า อักษรที่จีนใช้ ชาวเกาหลีเป็นผู้คิดค้นขึ้น จึงเกิดการตอบโต้กันไปมาตามเว๊ปไซต์ต่างๆ เกิดปรากฎการณ์ที่ไม่ดีคือ ชาวจีน และ ชาวเกาหลี บางส่วนทะเลาะกันตามเว๊ปบอร์ดต่างๆมากมาย

อนึ่ง เรารับรู้มาว่า ชาวเกาหลี เป็นประเทศที่มีชาตินิยมสูง เนื่องด้วยเพราะอาจจะต้องการแข่งขันกับประเทศญี่ปุ่น แต่ก็นั้นแหละ "ชาตินิยมสูง" แม้จะมีข้อดีในเรื่องการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสียก็มีเช่นกัน เช่น อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกดูแคลนชนชาติอื่นได้



3. โลเคชั่น หรือสถานที่ถ่ายทำละคร



ประเทศไทยมีโลเคชั่นสวยๆจำนวนมาก ทั้งป่า เขา ลำเนาไพร แม่น้ำ ทะเล สถานที่ประวัติศาสตร์ พระบรมมหาราชวัง ฯลฯ เยอะมากจริงๆ แม้แต่สถานที่ธรรมดา เช่นสวนยางพารา ละครบางเรื่องก็สามารถถ่ายทำ โลเคชั่นสวนยางพารา ออกมาได้อย่างแปลกตา แม้ประเทศไทย จะไม่มีโลเคชั่นที่เป็น ทะเลทรายของจริง กับโลเคชั่นที่เป็นหิมะ แต่โดยรวม โลเคชั่นของประเทศไทย ทิ้งห่างประเทศเกาหลีหลายขุมเลยทีเดียว


..................................

4. เอกชนในวงการบันเทิงของไทยเก่งมาก แม้จะขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ



ในส่วนของ เอกชนไทย ต้องขอชมว่า "เก่งมาก" เพราะ ประเทศไทย มีความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง และรัฐบาลเอง ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญของวงการบันเทิงเลย ซึ่งในอดีตนั้น นอกจากรัฐจะไม่ส่งเสริมแล้ว ยังสกัดดาวรุ่งอีก ด้วยการเก็บภาษีในอัตราที่สูงมากอีกด้วย เพราะรัฐมองว่า วงการบันเทิงเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย

จนกระทั้ง "เกิดกระแสเกาหลีฟีเวอร์" ซึ่งส่งผลต่อการท่องเที่ยว ภาพลักษณ์ และสินค้าเกาหลีอย่างมหาศาล รัฐบาลไทยจึงเริ่มเข้ามาส่งเสริม แต่ก็ดูเหมือนว่า จะผลักดันได้ช้า ผิดกับรัฐบาลเกาหลี ที่เขาทำเรื่องนี้อย่างจริงจังมาก

แม้ว่าจะขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่เอกชนไทย ก็สามารถไปเปิดตลาดต่างประเทศได้บ้าง ซึ่งหัวหอกคนสำคัญ ของเรื่องนี้อีกคนคือ แกรมมี่ และอาร์เอส ที่กล้าไปบุกตลาดเอเชีย ด้วยตัวเอง

แต่ทว่าบทเรียนราคาแพงก็คือ "การไปทำตลาดแข่งกับเจ้าของตลาดเดิมของประเทศนั้นๆ" เพราะเราไม่รู้ระบบกลไกตลาดของประเทศเขา พูดง่ายๆคือเราไม่ใช้เจ้าของพื้นที่ อุปมาอุปไมย เหมือนการไปเที่ยวบ้านคนอื่น แล้วหาสวิตซ์เปิดไฟไม่เจอ

หลังๆมามีการปรับแผนธุรกิจใหม่ โดยเน้นการหาพันธมิตร โดยจะไม่ไปแข่งกับเจ้าบ้าน แต่จะอาศัยร่วมมือกัน เสนอคอนเทนส์ของเรา ว่าเขาสนใจหรือไม่ หากเจ้าบ้านสนใจ และคิดว่าขายได้ในบ้านเขา เขาก็จะเอาไปทำตลาดในบ้านเขาให้เอง เรียกว่า ได้ประโยชน์กันทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งศัพท์ทางธุรกิจเขาจะเรียกว่า วิน-วิน (win-win)


อนึ่ง ปัจจุบัน ละครไทย ในประเทศจีน คอนเทนส์ และละครของไทยกลับเป็นที่ถูกอก ถูกใจกับแฟนละครชาวจีน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลก เพราะถ้าเทียบกับ ซีรีย์เกาหลี ที่รัฐบาลเกาหลีมีการผลักดันอย่างหนัก แต่ทำไปทำมา ละครไทยยังสามารถแทรกอยู่ในกระแสได้ คิดเล่นๆว่า ถ้าละครไทยมีการผลักดันจากรัฐ ให้ได้สักครึงหนึ่งของรัฐบาลเกาหลี กระแสมันจะขนาดไหน นักท่องเที่ยวชาวจีน จะมาเที่ยวประเทศไทยสักกี่ล้าน


.....................................

5.ทีมงานเบื้องหลัง และงานการตัดต่อของละครไทย




ว่ากันว่า ละคร หรือ ภาพยนต์ จะดูสนุก และดูรู้เรื่องหรือไม่นั้น การตัดต่อ และการใส่เสียงดนตรีประกอบ มีส่วนสำคัญอย่างมาก

โจทย์ใหญ่ที่ผู้ทำละคร ต้องตีให้แตกก็คือ "ทำอย่างไร ให้คนที่บังเอิญ เปลี่ยนช่องมาเจอละครของเรา แล้วเขาสามารถหยุดค้างดู ให้ได้อย่างน้อยสัก 5 นาที" โจทย์นี้ มี คีย์เวอร์ด ที่สำคัญคือ หน้าตา และความสามารถของนักแสดง ฉาก ดนตรี และที่สำคัญ การตัดต่อ ที่ฉากแต่ละฉากจะต้อง ทำใหคนดูละคร "ได้ลุ้น" จะต้องมีการ "กระฉากอารมณ์คนดู" หรืออิงไปกับละครของเรา เรียกว่าใช้เทคนิค "บีบแล้วปล่อย"

ขอยกตัวอย่างฉากหนึ่ง ในละครเรื่อง "ดอกรักริมทาง" ความจริงฉากนี้ ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ คุณวี สงสัยว่าทำไม อู๊ด จึงเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เสร็จ แต่สุดท้าย อู๊ดก็เปลี่ยนเสื้อเสร็จ แต่การตัดต่อ ทำให้การดูละครรู้สึกว่า "ได้ลุ้น" โดยเฉพาะรูปที่ 5 ที่เป็นฉากเสียบกุญแจ ซึ่งความจริงถ้าคนตัดต่อ และคนออกแบบฉากไม่เก่งพอ เขาก็จะข้ามรายละเอียดตรงนี้ไป ซึ่งความจริง ฉากแบบนี้ ใช้เวลาเพียวไม่กี่วินาทีเท่านั้น

แม้แต่ละครของช่อง 3 ช่อง 7 ฉากกระชากอารมณ์คนดู แบบนี้ ก็มีเยอะมาก แต่ฉากกระชากอารมณ์คนดู ก็มีจุดอ่อนเรื่องความรุ่นแรงเช่นกัน

ฉากกระชากอารมณ์ ถ้ามีเยอะไปก็ไม่ดี ควรจะต้องสนับกับ ฉากผ่อนคลาย สบายๆเปิดเพลงให้ฟัง หากมีฉากกระชากอารมณ์เยอะเกินไป คนดูจะตายก่อนแน่



.....................................

6. ความสามารถของนักแสดง

นักแสดงไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก บทแรงก็เล่นได้ บทร้องไห้ บท บ้าบอคอแตก บทปัญญาอ่อน ฯลฯ บางที่ก็ออกแนว โอเวอร์เอ๊กติ้งด้วยซ้ำ และแน่อน ทั้งค่ายเพลง และคนทำละคร สิ่งที่ต้องคำนึงถืงก็คือ "คุณภาพของดารา และศิลปิน" เพราะสิ่งนี้ถือเป็นสินค้า กว่าจะพัฒนา ศิลปิน หรือดาราขึ้นมาได้ ไม่ง่ายเลย




......................................

7. โปรดักชั่น และมุมกล้อง เทคนิคการถ่ายทำ

หลังๆมาเนี๊ยะ ละครไทยหลายๆเรื่อง โปรดักชั่นอลังการ อีกทั้งมุมกล้อง การจัดแสง ถือว่า ดีขึ้นมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ต้นไทร ในเรื่องไทรโศก กับเรื่อง แผลเก่า ต้นไทรเหมือน กัน แต่มุมการถ่ายต่างกัน ภาพที่ออกมาคนละแบบเลยที่เดียว


คีย์เวริ์ค
T-pop J-pop C-pop K-pop ละครไทย หนังไทย ซีรีย์เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน บันเทิงไทย โกอินเตอร์ ดารา
........................................

พอก่อนดีกว่า เขียนเหนื่อยแล้ว จะเขียนทำไมเนี๊ยะ





Create Date : 12 กรกฎาคม 2553
Last Update : 31 กรกฎาคม 2553 21:39:22 น. 2 comments
Counter : 13655 Pageviews.

 
แวะมาทักทาย+หาจุดแข็งค่ะ


โดย: wiwan (wiwan K ) วันที่: 12 กรกฎาคม 2553 เวลา:19:52:54 น.  

 
ขอยืมลิงค์ไปแปะให้เพื่อนที่ facebookหน่อยนะค๊า


โดย: amides (amides ) วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:12:09:46 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ruddy01
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ruddy01's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.