~*~ หน้าโหด แต่ใจดี ~*~
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
26 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 

หนังสือในดวงใจ



เมื่อไม่นานมานี้

ผมได้ยินมาว่ามีการสร้างหนังเรื่อง

" The Diving Bell and The Butterfly "





และได้รับการกล่าวขานอย่างมากมายว่าเป็นหนังที่เป็นตัวเก็งออสการ์ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม

ทั้งยังไปกวาดรางวัลเล็ก รางวัลใหญ่มาอีกเพียบ


โดยหารู้ไม่ว่า มันคือ หนังที่สร้างจากหนังสือซึ่งเป็นที่รักของผมมากๆ - -"



นั่นคือ วรรณกรรมของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ที่ชื่อว่า

"ชุดประดาน้ำและผีเสื้อ"





ซึ่งแต่งโดย ฌ็อง-โดมินิก โบบี้ (Jean-Dominique Bauby)




ก่อนอื่นต้องอธิบายคำจำกัดความของคำว่า "แต่ง" ก่อนนะคับ

นักเขียนทั่วๆ ไป จะแต่งด้วยการเขียน ไม่ก็พิมพ์ หรือเล่าแล้วมีคนนำไปเรียบเรียงใหม่

แต่สำหรับ โบบี้ ไม่ใช่แบบนั้นครับ



ถ้าจะพูดให้เวอร์ๆ ก็คือ เขาทะลายกำแพงคำจำกัดความคำว่า แต่งหนังสือไปเรียบร้อยแล้ว


จะมีใครเคยคิดมั้ยครับว่า

จะมีใคร ซึ่ง "แต่ง" หนังสือสักเล่ม ด้วยการ เลิกเปลือกตาข้างซ้าย !!!



อ่านไม่ผิดหรอกครับ โบบี้แต่งเรื่องนี้ด้วยวิธีนั้นจริงๆ


เริ่มสงสัยใช่ไหมครับ ว่าแต่งได้ยังไง



เรามาดูประวัติของผู้ชายคนนี้กัน


(สำหรับท่านผู้อ่านที่เคยอ่านแล้ว ก็ขออภัยนะครับ ผมอธิบายไว้ เผื่อจะมีคนไม่เคยรู้มาก่อน ^^)

|
|
|
V


ฌ็อง-โดมินิก โบบี้ (Jean-Dominique Bauby)

เป็นนักหนังสือพิมพ์ นักเขียน และบรรณาธิการของนิตยสาร ELLE



ชีวิตที่กำลังก้าวหน้า รุ่งเรือง ในฐานะบรรณาธิการนิตยสารชั้นนำของโลก


แต่แล้ว เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1995

เขาได้ล้มลง จากอาการเส้นเลือดสมองแตก และก้านสมองเสียหาย

ขณะนั้นเขามีอายุ 43 ปี




โบบี้สลบไป 20 วัน

และเมื่อฟื้นขึ้นมาเขาพบว่าตัวเองไม่สามารถพูดได้ และเป็นอัมพาตทั้งตัว


เขาอยู่ที่สภาพที่ทางการแพทย์เรียกว่า Locked-in Syndrome



แต่ในระหว่างที่เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

เขาได้ค้นพบการสื่อสารด้วยสิ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่ นั่นคือ การขยับเปลือกตาข้างซ้าย



เมื่อสมองยังทำงานได้ปรกติ และมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน

แม้ว่าอาการอัมพาตทั้งตัวจะทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกกดทับและติดอยู่ในชุดประดาน้ำ

แต่ความนึกคิดของเขายังโบยบินเหมือนผีเสื้อ







เขาจึงเริ่ม "แต่ง" หนังสือ

โดยให้คนท่องชุดตัวอักษรที่เรียงตามความถี่ในการใช้ในภาษาฝรั่งเศส


และโบบี้จะกระพริบตาเมื่อถึงตัวอักษรที่เขาต้องการ


จากตัวอักษร ก็เป็นคำ

จากคำ เป็นประโยค ... เป็นย่อหน้า...

เป็นบท...


และเป็นเล่มในที่สุด

.

.

.



หนังสือเล่มนี้มีชื่อในภาษาฝรั่งเศสว่า

Le Scaphandre et Le Papillon

(ต้องขอบคุณผู้แปลเป็นภาษาไทย คือ คุณวัลยา วิวัฒน์ศร แห่งสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ที่ทำให้คนอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออกอยางผม ได้มีโอกาสซึมซับเรื่องราวดีๆ แบบนี้)




โบบี้จะแต่งและเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดในสมอง


และให้คนเขียนตามคำบอกทีละตัวอักษร ด้วยวิธีที่ผมบอกไป


เมื่อจบแต่ละบท ก็จะทำการตรวจทานอีกครั้งหนึ่ง


(ถึงตรงนี้ก็ต้องนับถือน้ำใจคนที่ขานตัวอักษรให้ฟังนะครับ นั่นก็คือ โกล๊ด มองดิบิล บรรณาธิการหนังสือเล่มนี้นั่นเอง อดทนพอๆ กันเลย ^^")



โบบี้เป็นอัมพาตทั้งสิ้น 15 เดือน

และใช้เวลาในการแต่งหนังสือเล่มนี้ทั้งสิ้น 2 เดือน



หนังสือของเขาวางขายในฝรั่งเศสในวันที่ 6 มีนาคม 1997

ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีเยี่ยม และขายได้ถึง 150,000 เล่มในสัปดาห์แรก



โบบี้เสียชีวิต 3 วันหลังจากหนังสือออกวางขาย


แทบไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่า สิ่งที่เขาทำไว้เพียงแค่ 2 เดือน ในช่วงบั้นปลายชีวิตนั้น

จะเป็นประโยชน์และสร้างกำลังใจให้กับคนทั่วโลกอีกมากมาย ในอีกสิบปีต่อมา



ตัวหนังสือของโบบี้ไม่ได้หดหู่ ไม่ได้ฟูมฟาย

หรือเศร้ากับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่

แต่มัน กลับทำให้คนอ่านได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการมีชีวิตอยู่


รวมทั้งได้เข้าใจข้อจำกัดสำคัญของการมีชีวิต นั่นก็คือ ความตาย






ลองนึกดูซิครับ

คนที่ขยับเนื้อขยับตัวไม่ได้แม้แต่นิด

ขยับได้แค่เปลือกตา ยังมีวิธีคิด วิธีสร้างกำลังใจให้กับตัวเองได้เป็นอย่างดี

มีทัศนคติในเชิงบวก อย่างที่เรานึกไม่ออกว่า คนที่ตกอยู่ในสภาพแบบนั้น จะทำได้อย่างไร

เข้มแข็ง อดทน ต่อสู้ แม้ไม่รู้ว่า จะมีวันพรุ่งนี้สำหรับเขาอีกหรือเปล่า





นับถือน้ำใจผู้ชายคนนี้ครับ


และนี่เอง คือ หนังสือในดวงใจของผมครับ



มีเวลาลองไปอ่านดูนะครับ







ปล. ขอบคุณ คุณแก้ว ผู้แต่งหนังสือ เอดส์ไดอารี (ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งผู้แต่งหนังสือในดวงใจ) ที่แนะนำให้ผมมีโอกาสได้รู้จักหนังสือเล่มนี้ผ่านงานเขียนของเธอนะครับ









 

Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2551
13 comments
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2551 23:57:16 น.
Counter : 1337 Pageviews.

 

คนที่ไม่ฟูมฟายหดหู่กับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตเค้าได้นี่เข้มแข็งน่านับถือจิงๆ เนอะ
เวลามีเรื่องหนักๆเข้ามาในชีวิตก็พยายามจะทำให้ได้แบบนั้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา มันก็เป็นเรื่องของเรา ฟูมฟายไปก็สร้างความรำคาญกับคนอื่นเปล่าๆ ยิ่งหดหู่ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ตัวเรารู้สึกแย่ลงเรื่อยๆ
โพสต์ยาว อิน 555

 

โดย: ปรางกี้ IP: 203.185.154.66 27 กุมภาพันธ์ 2551 9:31:11 น.  

 

อ่านแล้วอึ้ง
แล้วก็รู้สึกโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่
ขอบใจเช่นกันจ้ะที่จุดประกายเรื่องดีๆ
แต่อยากรู้เรื่องย่อมั่งอ่ะ
สรุปให้ฟังหน่อยจิ

 

โดย: MiuHung IP: 203.185.154.66 27 กุมภาพันธ์ 2551 9:31:48 น.  

 

เนื้อเรื่องดีครับ
มีความเนียนครับ

ชีวิตมันไม่ง่ายครับ
ไว้ว่างๆ ขอยืมหนังสือบ้างได้ไหมครับ
อยากอ่านบ้างหนะครับ

 

โดย: Hobbit-Ska IP: 203.185.154.66 27 กุมภาพันธ์ 2551 9:38:16 น.  

 

เรื่องนี้ผมชอบครับ ยิ่งตอนพระอภัยใส่ชุดประดาน้ำขี่นางเงือกหนีผีเสื้อสมุทร ไปถึงเกาะแก้วพิสดาร โอ้โห ตื่นเต้นครับ... อ้าว ไม่เกี่ยวกันนี่นา ล้อเล่นนะคับ

ไว้ว่างๆ จะหามาอ่านดูบ้างครับ ขอบคุณที่เอาข้อมูลดีๆ มาแชร์กันครับ... ว่าแต่เปียกันเมื่อไหร่บอกด้วย จะไปกินโต๊ะแชร์ฟรี... อ้าว ไม่เกี่ยวอีกแระ

 

โดย: นพแปด IP: 203.185.154.66 27 กุมภาพันธ์ 2551 9:54:42 น.  

 

เคยได้ยินเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้มานาน แต่ยังไม่ได้ซื้อมาอ่านซะที เป็นแรงบันดาลใจที่ดี จะได้อยากซื้อมาอ่านมากขึ้น บางทีอาจไปตอนงานสัปดาห์หนังสือฯ เพราะมีหนังสืออยากได้เยอะมากกกกกก แต่อ่านยังไม่ทันซะที

 

โดย: Kae IP: 203.185.154.66 27 กุมภาพันธ์ 2551 10:11:41 น.  

 

เคยได้ยินเรื่องของคนนี้มาเมื่อนานมาแล้ว รู้สึกอี้งและทึ่งกับความพยายามของคนคนนี้มั่กๆ
น่าเสียดายที่เค้าเสียชีวิตไปซะก่อน ทำให้เค้าไม่ได้รู้ว่าเรื่องของเค้าได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนอีกหลายล้านคนในเวลาต่อมา
ขอให้ไปสู่สุขคตินะคะ

 

โดย: pummie IP: 203.185.154.74 27 กุมภาพันธ์ 2551 10:41:47 น.  

 

อืม ดีครับ ชีวิตยังไงก็ต้องมีแสงสว่าง


แค่ผมร่วง ............ ไม่เห็นจะเสียหาย

จริงมั้ยครับ

555

 

โดย: Tup IP: 203.185.154.66 28 กุมภาพันธ์ 2551 9:59:47 น.  

 

ของเขาดีจริง ๆๆ


แบบว่า วันนั้น อ่านบทความเกี่ยวกับกงสุลของญี่ปุ่นที่ช่วยชาวยิว ทั้งที่ เขาห้ามออกวีซ๋าให้ แต่เขาก็ยังออกวีซ่า ตลอดเวลาที่เขาทำได้ แล้วกลับมาโดนลงโทษ ติดคุก เมียและลูกถูกข่มขืน กว่าเขาจะได้รับการยกย่อง ก็ตายไปแล้ว

แต่คนที่เขาช่วยได้ก็เดินทางไปตามหาเขานะ อ่านแล้วอินอ่า

บางที หน้าที่กะหัวใจมันก็แยกกันได้

 

โดย: nancy IP: 203.185.154.66 28 กุมภาพันธ์ 2551 10:54:02 น.  

 

เราก็ชอบเล่มนี้นะ ชอบมากด้วย อ่านเมื่อไหร่ก็รู้สึกฮึกเหิมกับพลังชีวิตของมนุษย์อะ

 

โดย: แพนด้ามหาภัย 28 กุมภาพันธ์ 2551 15:04:20 น.  

 

ได้ยินเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้มานานมาก
แต่ไม่ได้อ่านซะทีอ่ะ
สร้างเป็นหนังแล้วเหรอ - -"

 

โดย: พี่ส้ม IP: 203.170.234.20 29 กุมภาพันธ์ 2551 11:05:16 น.  

 

อ่านแล้วทึ่งมาก นับถือทั้งคนแต่งและบรรณาธิการคนนั้น

ต้องไปหามาอ่านมั่งแล้วสิ

 

โดย: อะ-โล-ฮ่า 2 มีนาคม 2551 1:04:01 น.  

 

โห กำลังจะทำรีวิวหนังสือเล่มนี้พอดีเลย ตกลงเค้าก็ได้รางวัลปีนี้ชิมิล่า

โดยส่วนตัวเราว่าหนังสือเล่มนี้ต้องแบ่งการมองเป็น 2 แบบนะ หนึ่งคือมองเฉพาะเนื้อหาวรรณกรรม เพื่อการวิจารณ์ที่ตรงไปตรงมา กับสอง คือมองทั้งเนื้อหาและความเป็นมาของผู้เขียน (สภาพที่ locked in นั่นแหละ)
ตอนนี้กำลังทวนใหม่อีกครั้ง เป็นหนังสือเล่มเล็กที่ใช้เวลาอ่านได้ยาวนานเหลือใจจริงๆ

 

โดย: เมี๊ยวว IP: 203.185.154.66 4 มีนาคม 2551 10:24:20 น.  

 

ดีใจเหลือเกินที่ได้ฟังเรื่องเล่าของคุณผู้เป็นกำลังใจที่ดีของฉัน

ของให้ผลบุญแห่งความพยายามของเค้าที่ถ่ายทอดความหนักหนาและความเจ็บปวด ที่ถ่ายทอดมาสู่ฉัน

ส่งเขาไปสู่สุขติ

 

โดย: cyberlearn IP: 10.6.145.53, 202.28.179.4 24 สิงหาคม 2553 16:23:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ตะวันยิ้ม :-)
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]










ห ลั ง ไ ม ค์
ถึ ง
ต ะ วั น ยิ้ ม :-)




จิ้มดูอมยิ้ม


Friends' blogs
[Add ตะวันยิ้ม :-)'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.