ดังที่กล่าวแล้วว่าการสร้างบารมีต้องมีใจรักขึ้นมาก่อนจนเป็นอัธยาศัย ดังที่มีมาในปรมัตถทีปนีอรรถกถาขุททกนิกาย จริยาปิฎกดังนี้..
"เพราะมีอัธยาศัยในทาน พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจึงเป็นผู้เห็นโทษในความตระหนี่ ย่อมบำเพ็ญทานบารมีให้บริบูรณ์ เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยในศีล จึงเป็นผู้เห็นโทษในความทุศีล บำเพ็ญศีลบารมีให้บริบูรณ์
เพราะมีอัธยาศัยในเนกขัมมะ จึงเห็นโทษในกามและการครองเรือน
เพราะมีอัธยาศัยในการรู้ตามความเป็นจริง จึงเห็นโทษในความไม่รู้ และความสงสัย
เพราะมีอัธยาศัยในความเพียร ..จึงเห็นโทษในความเกียจคร้าน
เพราะมีอัธยาศัยในความอดทน จึงเห็นโทษในความไม่อดทน
เพราะมีอัธยาศัยในสัจจะ จึงเห็นโทษในการพูดผิด
เพราะมีอัธยาศัยในความตั้งใจมั่น จึงเห็นโทษในความไม่ตั้งใจมั่น
เพราะมีอัธยาศัยเมตตา จึงเห็นโทษในพยาบาท
เพราะมีอัธยาศัยในความวางเฉยจึงเห็นโทษในโลกธรรม จึงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายให้บริบูรณ์
โดยชอบความเป็นผู้มีอัธยาศัยเหล่านี้เป็นปัจจัยแห่งบารมีเพราะเป็นเหตุให้สำเร็จ"
***การสร้างบารมี 10 เป็นการสร้างนิสัยดีที่สอดคล้องกันไปจนใจสูงขึ้นเรื่อย ๆ ***เมื่อเริ่มให้ทานใจก็เริ่มเปิดกว้าง ปิดความเห็นแก่ตัว เริ่มคิดแบ่งปัน เมื่อให้ทานเรื่อย ๆ จะคุ้นกับการช่วยเหลือผู้อื่นเรื่อย ๆ จนไม่ประสงค์จะเบียดเบียนใคร ***เมื่อควบคุมกายและวาจาได้เรื่อย ๆ จะขยับขึ้นสู่การควบคุมใจคือประพฤติพรหมจรรย์ได้ดี เมื่อสะสมเนกขัมมะเรื่อย ๆ จะเกิดความสงบพบปัญญาดี เมื่อมีปัญญาดีเรื่อย ๆ จะคิดได้ในสิ่งประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ จนรักการฝึกตัว เมื่อฝึกตัวพัฒนาตนอยู่เรื่อย ๆ จะยินยอมอดทนสิ่งต่าง ๆ แต่โดยดี เมื่ออดกลั้นอยู่เรื่อย ๆ จะเป็นผู้มีกำลังทำดีได้ต่อเนื่องคงที่ ซื่อตรงจริงจัง ไม่โลเลเลิกล้ม เมื่อมีสัจจะเรื่อย ๆ จิตใจจะตั้งมั่นได้ดีความดีที่สร้างไว้ก็มากพอที่จะนำมาตั้งเป็นผังสำเร็จได้ดี เมื่อตั้งมั่นในอธิษฐานเรื่อย ๆ จะได้ที่พึ่งสำหรับตนและคนอื่น ความเมตตาบังเกิดได้ดี เมื่อมีเมตตาเรื่อย ๆ จะมองภาพยิ่งใหญ่ไม่ไปติดในจุดเล็ก ๆ ระหว่างทาง โดยวางใจเป็นกลางได้ดี เมื่อมีใจเป็นกลางเรื่อย ๆ ใจก็จะสงบหยุดนิ่งได้ดี เมื่อใจไม่ติดในคนสัตว์สิ่งของ และอารมณ์ต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆการให้ทานก็ยิ่งให้ได้ดียิ่งขึ้น ปราณีต อุกฤษฏ์ ยกระดับขึ้นเป็นอุปบารมี เมื่อแก่รอบขึ้นเรื่อย ๆ ก็สละได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงระดับปรมัตถบารมี ถึงศีลก็เช่นกัน ถึงเนกขัมมะก็เช่นกัน.. วาสนานิสัยในบารมี ต่าง ๆ ก็แก่รอบขึ้นเรื่อย ๆ จนใจไม่ติดพันโดยสิ้นเชิง เข้าสู่ศูนย์กลางกายเรื่อย ๆ อย่างเป็นปกติ
นั่งสมาธิ แผ่เมตตา อุเบกขา สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ต้องทนทุกข์ก็เพราะบารมีทั้ง 10 เหล่านี้ยังไม่เต็มเปียมในขันธสันดานจึงต้องเวียนวนอยู่ในวัฏสงสาร พากันได้รับความทุกข์ทรมานก็เพราะบารมียังอ่อน ถ้าผู้ใดบารมีแก่กล้าผู้นั้นก็อยู่เย็นเป็นสุข หายทุกข์ หายโศก หายภัย ไม่มีอันตรายใด ๆ มารบกวน ย่ำยีบีฑาได้ เพราะถูกบารมีของผู้นั้นตัดทอนไป โลกมนุษย์จึงเป็นภูมิแห่งการมาสั่งสมบารมีเท่านั้น ผู้ที่ลงมาจากสวรรค์แต่เดิม อยู่สวรรค์ก็สุขสบายอยู่แล้ว ไม่ต้องแสวงหาอาหาร ไม่ต้องขับถ่าย ไม่ต้องเจ็บปวด อยากได้อะไรก็นึกเอาสมดังปรารถนา แต่ยอมลงมาลำบากอย่างสุดแสนก็เพื่อ "สร้างบารมี" มาบ่มนิสัยดี ๆให้ทบรอบ หนาแน่น มั่นในสันดาน แต่ก็มีชาวสวรรค์เป็นอันมาก พอลงมากลับใฝ่หาความสุขสบายทางวัตถุ ทรัพย์สิน ลาภสักการะ ซึ่งเป็นของที่ทรามกว่าทิพย์สมบัติของตน ที่สละมาอย่างเทียบเทียมกันมิได้ เช่นนี้ก็เสียทีที่ลงมาเกิด แล้วจะสละความสบายมาเพื่ออะไร
ส่วนผู้ที่ขึ้นมาจากอบาย ใช่ว่าได้โอกาสมาสุขสบาย แต่ได้โอกาสมาแก้ตัว หากมัวหลงเพลิดเพลินความสนุกสบายจนบารมีไม่มีมากพอจะไปล้มล้างนิสัยฝ่ายดำที่สั่งสมมา ก็ต้องย้อนกลับไปดื่มด่ำกับความทุกข์ต่ออีกนับกัปไม่ถ้วน
ดังนั้น ผู้ใดไม่ว่ามาจากสวรรค์หรือนรก แต่บัดนี้ได้ยืนอยู่บนโลกมนุษย์แล้ว เมื่อความลำบากมาอยู่ตรงหน้าแต่เพื่อแลกมาซึ่ง "พระบารมี" ก็จงเร็วรี่รีบคว้าไว้เถิด เพราะความตายได้กลืนกินชีวิตเข้าไปทุกทีแล้ว!
ทำทาง สำหรับการฝึกนิสัยทั้ง 10 นี้ ถ้าหากเอาเลือดเนื้อและชีวิตเข้าแลกก็จะเป็นอุปบารมีและปรมัตถบารมีตามลำดับ จะได้นิสัยที่แนบแน่นฝังในใจอย่างยอดเยี่ยม เมื่อนิสัยทั้ง 10 อยู่ตัวสุกงอมเต็มที่ หากปรารถนาก็จะได้บรรลุพระสัพพัญุตญาณ เป็นกายมหาบุรุษผู้นาถะของโลกตลอดไป
ดังความดำริของท่านสุเมธดาบ ผู้ถมหนทางที่เสด็จมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรว่า..
"ก็ถ้าเราจะถมที่นี้ด้วยฤทธิ์ไซร้ ใจเราจะไม่ยินดีนัก เราควรรับใช้พระพุทธเจ้าด้วยกายของเรานี้แหละ ขณะเรานอนอยู่บนแผ่นดินก็คิดว่า วันนี้ถ้าเราปรารถนาพ้นจากทุกข์ก็จะเผากิเลสได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าด้วยลูกผู้ชายที่มีรูปร่างแข็งแรงนี้ข้ามไปคนเดียว เราจะบรรลุพระสัพพัญุตญาณเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ เราจะพามนุษย์และเทวดาให้ข้ามฝังด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่ของเราเราเลือกเฟ้นจนได้เห็นทานบารมีเป็นทางใหญ่ข้อแรกที่ผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ประพฤติสืบมาแล้ว ท่านจงยึดทานบารมีเป็นข้อแรก จงให้ทานอย่าให้เหลือ ...
จงอย่าเหลียวแลแม้ชีวิต รักษาศีลอย่างเดียว ..จงเห็นกามเป็นขื่อโซ่ตรวนดุจเรือนจำ ตั้งหน้ามุ่งออกบวชอย่างเดียว ..จงเข้าหาบัณฑิตแล้วถามปัญหาอย่าเว้นใครๆ ..จงยึดความเพียรให้มั่นในที่ทั้งปวง ..จงอดทนต่อความดูหมิ่นและนับถือของคนทั้งปวง ..จงอย่าพูดเท็จทั้งรู้ตัวแม้อั นีบาตจะฟาดบนกระหม่อม ..จงอย่าหวั่นไหวในความตั้งใจมั่นของตน ..จงเมตตาในคนที่เกื้อกูลและไม่เกื้อกูล ..จงมั่นคงในธรรมดุจตราชู เว้นความโกรธความยินดีในสุขทุกข์ทุกเมื่อ ..แล้วจะบรรลุพระสัมโพธิญาณ จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ เครื่องบ่มโพธิญาณมีเพียงเท่านี้ เว้นบารมี 10 ธรรมเหล่าอื่นไม่มี"
จากเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นมา พอจะเห็นได้แล้วว่า การสร้างบารมีมิอาจรอให้บุญหล่นทับ หรือรอให้ผู้มีฤทธิ์มอบบุญเต็มเปียมให้ แต่ต้องทำตนให้สมบูรณ์พร้อมด้วยคุณธรรมถ้ารอการมอบบุญให้กันได้ การสร้างบารมีมิใช่เป็นเรื่องสบายอย่างยิ่งหรอกหรือ เช่นนี้นับว่าไม่มีนักสร้างบารมีท่านใดหลุดออกนอกเส้นทางแน่แท้ แต่แท้ที่จริง เราเห็นประจักษ์แล้วว่า เส้นทางสายนี้ มีนักสร้างบารมีหลุดออกไปอยู่เรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย กระทั่งนักสร้างบารมีที่ดูเหมือนมิน่าจะหลุดออก.. หากคุณธรรมไม่พรักพร้อมสักวันใดวันหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง อาจต้องถึงคราว!
มุทิตา ยินดีกับผู้ทำความดี
"บทฝึกนิสัย" เป็นสมบัติล้ำค่า หารู้ได้ยากในโลก ผู้ใดได้รับมาไว้ในใจเท่ากับได้สมบัติประจำตัวดั่งได้แก้วสารพัดนึก หากนำมาฝึกฝนจนเชี่ยวชำชาญก็จะเป็นอริยทรัพย์ติดตัวไปทุกภพทุกชาติ นับว่าเป็นสมบัติอันประเสริฐเลิศสุดโดยแท้ นักสร้างบารมีจึงไม่ควรประมาท ปล่อยให้สมบัติเหล่านี้หลุดลอยไป หรือให้ฝุ่นจับอับหมองควรหมั่นนึกถึงความตายไว้ให้มั่น แล้วพินิจดูว่า เราเอาอริยสมบัติเหล่านี้ไปได้เพียงใดหลังจากตายแล้วที่พึ่งของนักสร้างบารมีก็คือ "บารมี" โดยเฉพาะนักสร้างบารมีระดับพิเศษที่ประสงค์จะให้ตนมีบารมีแก่กล้าขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้ง โดยยังไม่คิดยุติการสร้างบารมีเช่นพระอริยเจ้าทั้งหลาย แต่เลือกวิถีหยั่งเท้าสู่แดนอริยะแล้วสะสมบารมีในภูมิปุถุชนเป็นโคตรภูบุคคลเพื่อผจญมาร แม้จะเข้าถึงธรรมในกาลใด หากยังมีนิสัยไม่ดีอยู่ ธรรมะที่รู้เห็นก็รอคอยการเลือนหายได้ทุกขณะจิต
แต่หากนิสัยดีมีพร้อม แม้ธรรมะที่เลือนหายก็พร้อมกลับมาได้อย่างมั่นคงในทุกสถาน ดังนั้นพึงสร้างนิสัยดี ๆไว้เป็นบารมีที่พึ่งแห่งตนเถิด ที่จะหาความมั่นคงอื่นใดนอกจาประการนี้หามีไม่เลยวิสัยนักสร้างบารมีทั้งหลายย่อมสำคัญเพียงว่า จักพอกพูนบารมีสั่งสมเรื่อยไปจนกว่าจะสำเร็จให้ได้ แม้จะผิดพลาดไปในระหว่างก็ตาม แต่จะไม่ละเลิกสร้างบารมีอย่างเด็ดขาดบารมีทั้ง 10 ปรากฏขึ้นแล้ว ท่านทั้งหลายจงมาในที่นี้โดยเร็วพลัน แล้วพากันถือเอาอาวุธ เพื่อต่อยุทธ์กับพญามารเถิด
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
เรียบเรียงโดย พระนพดล สิริวํโส
ที่มา: https://www.facebook.com/nop072/posts/688000258076256
ขอบคุณภาพและบทความ //www.winnews.tv/news/6030