ตะลุยเที่ยวพม่า 3 เมือง ย่างกุ้ง







 

ย่างกุ้ง

12 มกราคม 2560

เราวางแผนไปไหว้พระที่พม่ามาหลายปี แต่ก็ยังไม่สบโอกาสสักที พอดีมีน้องๆมาชวนไปเที่ยวแบบกระทันหัน จึงตัดสินใจไปเที่ยวแบบไม่ทันตั้งตัว ใช้เวลาเตรียมตัวไม่ถึง 1 อาทิตย์ ก็ไปเที่ยวพม่าได้แล้ว

เราติดต่อกับบริษัททัวร์ในประเทศพม่า โดยกำหนดเป้าหมายว่าจะไปย่างกุ้ง พุกามและ มัณฑะเลย์ ใช้เวลา 4 วัน 3 คืน เดินทางทั้งหมด 6 คน และเขาก็จัดเตรียมโปรแกรมให้เป็นอย่างดี สิ่งที่พวกเราต้องเตรียมไปคือ

1. เรื่องวีซ่า ประเทศพม่าไม่ต้องทำวีซ่า ในกรณีมาเที่ยวไม่เกิน 15 วัน
2.เช็คอุณหภูมิ ช่วงนี้เป็นหน้าหนาวค่อนข้างเย็นเราจึงเตรียมแจ็คเก็ตไปด้วย
3.ผ้าถุง หรือกระโปรงยาวคลุมตาตุ่ม สำหรับเข้าวิหารหรือวัด(บางสถานที่ต้อง)
4.ธูปหอมและเทียนสีขาว และแผ่นทองเปลว
5. รองเท้าลำลองหรือรองเท้าแตะเพราะเวลาเข้าวัดจะต้องถอดรองเท้าทุกวัด
6. กระดาษเปียกสำหรับเช็ดเท้า เพราะต้องถอดรองเท้าเข้าวัด
7. การแลกเงิน ที่พม่าใช้เงินจ๊าดเป็นส่วนใหญ่ เงินดอลลาร์ตามร้านใหญ่ๆ ส่วนเงินไทยใช้ได้บางที่ เราสามารถแลกเงินจ๊าดกับไกด์ได้ อัตราแลกเปลี่ยน 32 จ๊าดเท่ากับ 1 บาท
8. wifi โรงแรม มี wifi ให้ใช้ฟรี
แต่มีpackage ของ operator บ้านเราให้ใช้ด้วยสะดวกดี เราใช้ของ DTAC ราคา 290 บาท/วัน สามารถโทรเข้า ออก รับสาย SMS ฟรี และ wifi ฟรี ด้วย ส่วนเพื่อนของ ais ราคา 450บาท/วัน โทรออกฟรี รับสายเสีย 5 บาท/นาที และwifi ฟรี
9. อาหารแห้งหรือขนมไว้ใส่บาตรพระ
10. ขนมสำหรับแจกเด็กๆที่มาขอเงิน



พวกเรามาขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ไฟล์ DD 4230 ออกเดินทาง 6.30 น. ถึงสนามบินมิงกาลาดง ย่างกุ้งเวลา 7.15 น. ใข้เวลาเดินทาง 1.15 ชั่วโมง (เวลาที่พม่าช้ากว่าไทย 30 นาที)

พวกเราเดินผ่านตม.พม่าออกมาก็เจอกับไกด์ที่มารอรับพวกเรา และไกด์ก็พาพวกเราไปทานน้ำชาที่ร้านอาหารก่อนจะไปเที่ยวกัน

ร้านน้ำชาที่พวกเราไปทานชื่อร้าน feel เป็นร้านดังของเมืองย่างกุ้ง ร้านบรรยากาศดีมาก มีอาหารหลากหลาย ทั้งข้าวแกง ขนมจีน ติ๋มซำ ขนมต่างๆ รวมทั้งชา ด้วย



พวกเราทานอาหารเช้าที่สนามบินดอนเมืองกันมาแล้ว ดังนั้นจึงนั่งทานชากัน และเมนูที่ไกด์แนะนำคือโรตีและปาท่องโก๋ เช็คบิลมา 5,200 จ้าด หรือ 168 บาท ราคาไม่แพงเท่าไหร่ ที่ร้านนี้ถ้าเหลือปาท่องโก๋เต็มๆอัน เราสามารถคืนได้อีกด้วย



พวกเรานั่งทานไปและก็แลกเงินกับไกด์ไป เราเอาเงินไทยไปแลกกับไกด์ อัตราแลกเปลี่ยน 1 บาทแลกได้ 32 จ้าด จากนั้นไกด์ก็สอนภาษาพม่า พวกเรา 2 คำ
มิงกะลาบา = สวัสดี
ขอบคุณ = เจซูบา

พวกเรานั่งไปคุยไปได้เวลาสมควรพวกเราก็ไปเที่ยวต่อ

วัดพระหินขาวหรือที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเรียกกันว่าพระหินอ่อน"Lawka Chantha Abaya Labamuni Buddha Image"



ก่อนที่จะเข้าวัดทุกวัดในพม่าพวกเราจะต้องถอดรองเท้าและถุงเท้าเพื่อที่จะเดินเข้าไปในวัดกัน

พอเดินเข้ามาภายในวัดก็เจอกับน้องๆขายดอกไม้ ดอกไม้นี้ชื่อดอกสเลเตหรือทางภาคกลางบ้านเราเรียก มหาหงษ์ มีกลื่นหอมอ่อนๆ พวงละ 500 จ๊าดหรือ 16 บาทนอกจากนั้ยังมีดอกมะลิด้วยราคาเท่ากัน ส่วนธูปเทียน เราเตรียมมาไหว้เอง



พระหินอ่อนสร้างในสมัยนายพลตานฉ่วย
มีการขุดพบหินอ่อนก้อนใหญ่ที่สุดที่ยะไข่ ได้มีการแกะสลักส่วนหัวโดยช่างชาวเมืองมัณฑะเลย์ และขนส่งทางเรือมาที่ไว้ที่ย่างกุ้ง นำมาแกะสลักต่อจนแล้วเสร็จจากนั้นถูกนำเก็บไว้ในห้องกระจกติดแอร์เพราะหินอ่อนถ้าโดนอากาศร้อนอาจจะแตกได้



พระหินอ่อนนี้สร้างจากหินขาวที่มีลักษณะมันวาว สีขาวสะอาดและไม่มีตำหนิ สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนัก 600 ตัน เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ และศรีลังกายกขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรูและประทานความเจริญรุ่งเรือง
ส่วนหินอ่อนที่เหลือนำมาสลักเป็นพระพุทธบาท ประดิษฐานอยู่บริเวณด้านหลังพระพุทธรูป



รูปปั้นพระโมคคัลลาและพระสารีบุตร อยู่ทางด้านซ้าย ขวาและหันหน้าเข้าหาพระหินอ่อน



หลังจากไหว้พระขอพรจากพระหินอ่อนแล้ว พวกเราก็เดินเล่นถ่ายรูปและชมความงามของวัด



ได้เวลาพอสมควร พวกเราก็เดินทางไปชมช้างเผือกของเมืองย่างกุ้ง
พอขึ้นรถมาไกด์ก็แจกกระดาษเปียกไว้สำหรับเช็ดเท้า ไกด์บอกว่าส่วนใหญ่คนไทยจะใช้กระดาษเปียกเช็ด แต่ชาติอื่นๆไม่ค่อยนิยมใช้หรอก



ช้างเผือกเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศพม่า และ เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศด้วย ที่พม่ามีทั้งหมด 9 เชือก อยู่ที่ย่างกุ้ง 3 เชือกและอีก 6 เชือกอยู่ที่กรุงเนย์ปิดอว์

ที่ย่างกุ้งมี ช้างพัง2เชือก ช้างพลาย 1 เชือก

ไกด์บรรยายให้ฟังว่าช้างเผือกพม่าที่ดีจะต้องมีคชลักษณะ 7 ประการ คือ
1. พื้นหนังขาวหรือสีอมชมพู
2. ตาเป็นเม็ดสีขาว มองไม่เห็นลูกตา
3. หูสั้น
4.งวงยาวจรดพื้น
5.ขนหางยาว
ุ6.หลังตรง
ึ7.มองไม่เห็นอวัยวะสืบพันธ์



ที่บริเวณนี้มีของขายผลิตภัณฑ์จากช้าง เช่นแหวนหางช้าง ซึ่งเขาเล่าว่าทำจากหางช้างเผือกที่ร่วง ราคาวงละ 100 บาท เชื่อกันว่าขนหางช้างใช้เป็นเครื่องรางและป้องกันคุณไสยได้
และผลิตภัณฑ์จากงาช้างเผือก เช่นพระสิวลีงาแกะสลักองค์เล็กๆประมาณ1 นิ้ว แต่ราคาไม่เล็กเลยตกองค์ละ 5,000 บาทราคาอาจจะต่อรองได้บ้าง

หลังจากสาละวนกับการดูผลิตภัณฑ์จากงาช้างพักใหญ่ พวกเราก็ไปเที่ยวกันต่อที่วัดพระนอนตาหวาน

พวกเรานั่งรถเพื่อจะไปเที่ยวต่อ จะบอกว่าการจราจรที่เมืองย่างกุ้งรถติดมาก ติดตลอดวันเลย

วัดพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี



วัดพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี (Kyauk Htat Gyi Reclining Buddha) หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า พระนอนตาหวาน องค์นี้ได้รับการบูรณะใหม่แทนองค์เดิมที่เสียหายไป ใช้งบประมาณในการก่อสร้างราว 70,000 ดอลลาร์ ใช้เวลาในการบูรณะ 27 ปี

พระนอนองค์นี้ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของพม่า องค์ใหญ่สุดยาว 171เมตรอยู่ที่วัดป่าวินเส่งตอว์ยะ (Win Sein Taw Ya) ห่างจากเมืองเมาะละแหม่งไปทางทิศใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร

เป็นพระนอน มีความยาว 71 เมตรหันพระเศียรไปทางทิศตะวันออก มีขนตาที่งอนงาม และมีดวงตาเป็นแก้วที่งดงามโดยสั่งกระจกมาจากประเทศอิตาลี่ ใช้ช่าง 3 คนทำดวงตาให้งดงาม แต่ 2 คนแรกทำไม่สำเร็จมาทำสำเร็จในคนที่ 3 ใช้เวลาในการทำดวงตาที่สวยงามอย่างที่เห็นนี้ 3 ปี



รูปเดิมของท่านก่อนจะบูรณะ



บริเวณพระบาทมีภาพวาด ลายลักษณ์ธรรมจักร ในบริเวณใจกลางฝ่าพระบาท และล้อมด้วย รูปมงคล 108 ประการ



รูปภาพพระพุทธบาท 108 มงคล แสดงถึงโลกทั้ง 3 ที่อยู่ใต้รอยพระบาทคือ 1.สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก 2.สิ่งที่เป็นภูเขา มหาสมุทร 3. สิ่งที่ไม่แน่นอนทั้งหลาย



ด้านหลังมีบันไดสำหรับเป็นจุดถ่ายรูปที่สามารถถ่ายรูปกับท่านแล้วเห็นทั้งองค์ ใกล้ๆกันเป็นภาพวาดแสดงถึงพระประวัติของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ประสูติจนปรินิพพาน



จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปยัง วัดงาทัตจี ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน

วัดงาทัตจี Nga Htat Gyi Pagoda เป็นวัดที่น้องชายของคนที่สร้างวัดพระตาหวานสร้างขึ้นมา เพราะเห็นพี่ชายสร้างวัดแล้วน้องชายจึงอยากสร้างบ้าง โดยสร้างแต่องค์พระพุทธรูปที่ยังไม่ทรงเครื่องประดับ



หลังจากนั้นก็มีผู้ใจบุญนำทองมาบริจาคจำนวน 200 ชั่ง จึงเป็นพระทรงเครื่องที่สวยงดงามอย่างที่เห็น พระองค์จริงสวยงามกว่าที่เห็นในรูปนัก



หลังจากไหว้พระเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ไปทานอาหารกลางวันกัน

มื้อนี้เป็นอาหารไทยที่ร้าน Bangkok kitchen อาหารอร่อยมาก



เมื่อทานอาหารอิ่ม ไกด์ก็พาพวกเราไปเดิน shoping ที่ตลาดสก็อต ( Scott Market )เพื่อย่อยอาหารกัน

ตลาดสก๊อต (Scott Market) หรือเรียกอีกอย่างว่า ตลาดโบยกอองซาน (Bogyoke Aung San Market)สร้างโดยนายสก๊อต ชาวอังกฤษ เป็นสถานที่ช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศพม่า แหล่งศูนย์รวมของฝากทุกชนิด มีสินค้าหลากหลายมาก ตั้งแต่อาหารนานาชนิด เสื้อผ้า ของที่ระลึกต่างๆ เครื่องเงิน, อัญมณี , ไม้แกะสลักพระพุทธรูปเทวรูปที่ทำด้วยไม้จันทน์, เครื่องแกะสลัก, เครื่องลงรักปิดทองต่างๆ, ถ้วยชามกังไสจีนโบราณ, โคมไฟแก้ว และแจกันเจียระไนโบราณ, นาฬิกาข้อมือเก่า, ผ้าไหมลายต่างๆ ไปจนถึงบรรดาว่านต่างๆเช่น ว่านหงสาวดี ภาพวาดสีน้ำมันรูปทิวทัศน์ของพม่า, สินค้าจากชนกลุ่มน้อย ฯลฯ ตลาดนี้คล้ายจตุจักรและสยามบ้านเรา

ตลาดเปิดทำการทุกวัน เวลา 10.00 – 17.00 น



ไกด์บอกว่านักท่องเที่ยวอันดับที่ 1 ของพม่าเป็นคนไทย จะเห็นว่ามีตัวหนังสือไทยที่ตลาดนี้ด้วย และคนขายบางคนก็พูดไทยได้ ต่อรองสบาย

อัญมณีที่นี่มีหลากหลายทั้งพลอย หยก อัมพัน ซัฟไฟล์



ร้านขายทองที่พม่า ไม่ได้เป็นร้านใหญ่โตหรือมีกรงเหล็กป้องกันเลย ไกด์บอกว่าทองที่นี่ เป็นทอง 99% และแพงกว่าเมืองไทย แต่เรามองว่าสีไม่สวยเท่าของไทยเพราะทองมีสีออกแดงๆด้วย



พวกเราเดินดูของแต่ไม่ได้อะไรสักอย่าง อาจเป็นเพราะไม่ใช่รสนิยมของเรา จึงไปที่เจดีย์โบตาทาวน์

เจดีย์โบตาทาวน์ แปลว่า เจดีย์นายทหาร 1000นาย ตามตำนานเล่าขานว่า เมื่อราว 2000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญทรงบัญชาให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศาธาตุ ที่นายวาณิชสองพี่น้องอัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้ จึงสร้างเจดีย์โบตะทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมทั้งแบ่งพระพุทธเกศา 1 เส้น มาบรรจุไว้ ก่อนนำไปบรรจุในมหาเจดีย์เวดากองและเจดีย์สำคัญอื่นๆ
เจดีย์โบดาทาวน์จึงเป็นหนึ่งในมหาบูชาสถานของชาวมอญและพม่าเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่2 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดถล่มย่างกุ้ง ทำให้เจดีย์โบตาทาวน์องค์เดิมถูกทำลายพินาศ แต่ในระหว่างการบูรณะได้ค้นพบผอบทรงสถูปบรรจุพระเกศธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ



ที่เจดีย์แห่งนี้มีสิ่งศักด์สิทธิ๋ให้สักการะ 4 อย่างคือ
1.พระเกศาของพระพุทธเเจ้า
2.พระพุทธรูปทองคำ
3. เทพทันใจ
4. เทพกระซิบ

ครั้นเมื่อเจดีย์โบตาทาวน์องค์ใหม่ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2496 จึงนำพระเกศธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์ และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดูและสักการบูชาได้อย่างใกล้ชิด

ทางเข้าเพื่อสักการะพระเกศาของพระพุทธเจ้า



ที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า



ช่องทางเดินประดับประดาด้วยทองคำ สวยงาม มีทั้งหมด 9 ช่องทาง ล้วนสวยงามมาก



บริเวณช่องทางเดินเป็นจุดที่สามารถนั่งกราบพระเกศาใกล้ที่สุด จะมีคนนั่งกราบและสวดมนต์ตามช่องทางนี้



ใกล้ๆกันเราเดินไปสักการะพระพุทธรูปทองคำ

ประดิษฐานในวิหารด้านขวา ตามประวัติว่าเคยประดิษฐานอยู่ในพระราชวังมัณฑะเลย์ เมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมอังกฤษในปี พ.ศ. 2428 ถูกเคลื่อนย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์กัลกัตตาในอินเดีย ทำให้รอดพ้นจากระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถล่มวังมัณฑะเลย์ ต่อมาในปี 2488 พระพุทธรูปองค์นี้ถูกจัดไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียและแอลเบิร์ต



เป็นพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก



ใกล้ๆกันและเดินไปสักการะเทพทันใจ(Bo Bo Gyi)ต่อ

เทพทันใจ (นัตโบโบยี)เป็น 1 ในนัตหลวง 37 ตน ที่ชาวพม่าให้ความเคารพนับถือมาก"นัต" (Nat) เป็นความเชื่อของ ชาวพม่า นัตเป็นจิตวิญญาณของคนตายที่อยู่ระดับสูงกว่าผีและต่ำกว่าเทพ จึงไม่ใช่ทั้ง ผีและเทพ

ส่วนใหญ่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้สร้างคุณงามความดี หรือวีรกรรมที่น่าประทับใจเอาไว้ โดยมาก นัตมีหน้าที่ปกปักรักษาเมืองหรือสถานที่สำคัญ เช่น เจดีย์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละสถานที่จะมีนัตแตกต่างกัน



ครั้งนึงมีนักท่องเที่ยวไทยกลุ่มหนึ่งไปทัวร์ไหว้พระ 9 วัดที่ประเทศพม่า และมีโอกาสไปสักการะขอพรนัตโบโบยี ที่วัด โบตาทาวน์ เมื่อกลับมาที่ประเทศไทยไม่นาน ปรากฏว่าพรนั้นสัมฤทธิผล จึงมีการบอกต่อถึงความศักดิ์สิทธิ์ของนัตโบโบยี และยังมี นักท่องเที่ยวอีกหลายกลุ่มที่ไปขอพรแล้ว สมดั่งปรารถนา

เทพทันใจของที่เจดีย์โบตาทาวนี้มีชื่อเสียงที่สุด เพราะเป็นที่เลื่องลือว่าใครมาขอพรมักสมปรารถนาเสมอ

วิธีขอพรเทพทันใจ

1.สักการะด้วยดอกไม้และผลไม้ต่างๆ นิยมใช้มะพร้าว กล้วยนากสีแดง เป็นเครื่องบูชาเพราะเชื่อว่าเป็นผลไม้มงคล
2.นำธนบัตรบาทหรือจ้าด ม้วนเป็นรูปกรวยซ้อนกันใส่ในมือเทพทันใจ 2 ใบ
3.แตะหน้าผากกับนิ้วชี้ของเทพทันใจ แล้วไหว้ขอพร
4.จากนั้นดึงธนบัตรใบหนึ่งเก็บไว้เป็นสิริมงคล นำธนบัตรอีกใบใส่ตู้บริจาค



้เราเดินมาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อสักการะเทพกระซิบ

อาคารนี้เป็นที่ประดิษฐานของเทพกระซิบ



เทพกระซิบหรือที่ชาวพม่าเรียกว่า เมี๊ยะนานหน่วย ท่านเป็นเทพประทานพระและความโชคดี มีเรื่องราวที่เขาเล่าขานกันมาอย่างยาวนานว่า นางเป็นธิดาของพญานาค ซึ่งมีความศรัทธราในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก และมีการถือศีลอย่างเครงในการปฏิบัติธรรม สมัยก่อนจะมีคนเห็นนางมาทำบุญและนั่งสมาธิ ณ สถานที่แห่งนี้ทุกๆวัน



การเคารพและบูชาเทพกระซิบ จะบูชาด้วยน้ำนม ข้าวตอก และผลไม้ และกระซิบเพื่อขอพรท่าน แต่ปัจจุบันไม่สามารถกระซิบได้แล้ว ได้แต่ถวาย นมข้าวตอกและผลไม้ ชุดละ 2,000 จ๊าด

พวกเราไปเที่ยวไฮไลท์ของที่ย่างกุ้ง เจดีย์ชเวดากอง (Shwedagon Pagoda)เป็น 1ใน5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า

ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า กินเนสส์บุค ได้จัดให้พระเจดีย์ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลก



โดยคำว่า "ชเว" หมายถึง ทอง, "ดากอง" แผลงเป็น คือชื่อดั้งเดิมของเมืองย่างกุ้ง เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น บนยอดสุดของพระเจดีย์ มีเพชรอยู่ 5,448 เม็ด ชั้นข้างบนสุดมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ 76 กะรัต และทับทิม 2,317 เม็ด มีมรกตเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลาง เพื่อรับลำแสงแรกและลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์



ตามตำนาน เจดีย์ชเวดากองนั้นสร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าสร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10 โดยตามตำนานนั้นเริ่มจากว่า มีพี่น้องพ่อค้าชาวมอญ 2 คน นามกว่า ตปุสสะ (Tapussa) และ ภัลลิกะ (Bhallika) ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าภายหลังตรัสรู้ได้ 45 วัน พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น สำหรับให้พ่อค้าทั้งสองรับไว้บูชา ระหว่างเดินทางกลับนั้นได้ถูกชิงพระเกศาไปโดย กษัตริย์แห่งนครอเจตตะ (Ajetta) และพญานาค คนละ 2 เส้น

หากพอกลับถึงบ้านเกิด พระเจ้าโอกะลัปทรงจัดพิธิต้อนรับพระเกศาธาตุอย่างยิ่งใหญ่ และเปิดผอบออกดูกลับเกิดปาฏิหาริย์มีพระเกศาครบ 8 เส้นดังเดิม รวมถึงพระเกศายังเปล่งรัศมีสว่างไสว กล่าวกันว่าเกิดอิทธิฤทธ์บันดาลให้คนพิการหายเป็นปกติ ต้นหมารากไม้ผลิดอกออกผล ฝนโปรยลงมาเป็นเพชรนิลจินดา พระเจ้าโอกะลัปจึงดำรัสให้สร้างเจดีย์อิฐสูง 9 เมตร เพื่อใช้บรรจุพระเกศาทั้งหมด



พระเจดีย์ถูกสร้างและบูรณะหลายครั้งในหลายสมัย โดยถูกทิ้งร้างจนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร และพระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในสมัยพระนางฉิ่นซอปู้ (Shin Sawbu) ได้สร้างลานกำแพงล้อมรอบและพระราชทานทองคำหนักเท่าตัวพระองค์ คือ 40 กิโลกรัม เพื่อนำไปตีเป็นแผ่นหุ้มเจดีย์ เกิดเป็นธรรมเนียมบริจาคทองคำสืบต่อกันมา





เราจะมาสักการะเจดีย์ชเวดากองด้วยดอกไม้ธูปเทียนแล้ว จะต้องสรงน้ำพระประจำวันเกิดด้วยจะสร้างความบริสุทธิ์และความสุขความเจริญแก่ผู้สรงน้ำ

การสรงน้ำพระประจำวันเกิดเรียงตามลำดับดังนี้
1.พระประจำวันเกิด
2.เทพที่อยู่หลังท่าน
3.เสาสีแดง
4.สัตว์ที่อยู่ด้านล่าง

โดยสรงน้ำ 9 ขันในแต่ละองค์



นอกจากไหว้พระ สรงน้ำพระประจำวันเกิดและหยอดตู้แล้ว เราสามารถทำบุญโดยบริจาคเงินให้กับเจดีย์ได้เพื่อที่เขาจะนำชื่อเราไปให้พระสวดมนต์ให้พรตามหลัง
โดยเรานำเงินให้กับเจ้าหน้าที่ที่กองอำนวยการและระบุความประสงค์ว่าต้องการบริจาคเท่าไหร่ การจะได้ประกาศต้องทำบุญอย่างต่ำ 5,000 จ๊าดหรือ 300 บาท และระบุว่าต้องการให้พระสวดมนต์อวยพรให้กับเราวันใด อาจจะระบุเป็นวันเกิดของเราก็ได้ และเมื่อถึงวันเกิดพระก็จะสวดมนต์ให้

เจ้าหน้าที่จะให้ใบอนุโมทนาใบใหญ่ขนาดเท่า A3 และเคลือบให้ด้วย



อิ่มอกอิ่มใจกับการทำบุญแล้ว พวกเราเดินถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ ช่างเป็นสถานที่งดงามจริง

เสาไม้แกะสลักอย่างอ่อนช้อยและงดงาม





ไกด์ให้เวลาเราเดินเล่นกันพอสมควร ดังนั้นจึงมีเวลานั่งสมาธิเล็กน้อย ลมเย็นๆพัดมากับจิตใจที่เบิกบานช่างดีจริง



เดินเล่นไหว้พระ ทำบุญ นั่งสมาธิจนค่ำก็ได้ถ่ายรูปเจดีย์ในยามค่ำคืน สวยไปอีกแบบ



เจดีย์ในยามค่ำคืน



เดินไปเดินมาก็เริ่มหิวแล้ว ไกด์พาพวกเราไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารจีนชื่อ White Rice

เจดีย์ห่างจากร้านอาหารแค่ 2 กิโลเมตรแต่รถก็ยังติดอยู่ในตอนเย็น กว่าจะถึงร้านใช้เวลาในการเดินทางครี่งชั่วโมง

ภัตตาคาร White Rice



ตกแต่งอย่างหรู บรรยากาศดูดีมาก พอเห็นร้านแล้วหายเหนื่อยเลย



อาหารอร่อยมาก กินจนอิ่มเลย จากรับประทานจนอิ่มแปร้แล้วพวกเราก็ไปพักที่โรงแรม Taw Win Hotel

เป็นโรงแรม 4 ดาว ห้องสะอาดสะอ้าน และภายในโรงแรมมีห้างสรรพสินค้าอยู่ในนี้ด้วย



พวกเราเหนื่อยมากเนื่องจากตื่นเช้ามาก จึงต้องรีบนอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นตี 4 เพื่อขึ้นเครื่องไปพุกามต่อ จริงๆแล้วเครื่องขึ้นไม่เช้ามาก แต่กลัวรถติดถ้าออกสาย จึงต้องไปสนามแต่เช้าเลย



ตอนต่อไป พุกาม

 



Create Date : 22 มกราคม 2560
Last Update : 6 กันยายน 2562 0:27:58 น. 4 comments
Counter : 3792 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณInsignia_Museum


 
พม่าในตอนนี้พัฒนาการท่องเที่ยวมากขึ้นจนแปลกตาไปจากที่เคยเห็น แม่บุญกับสามีไปพม่าเมื่อปี ๒๐๐๙ ๘ ปีผ่านมาแล้ว ตอนนั้นประเทศเขายังไม่เปิดมากขนาดนี้ เราสองคนตะลุยกัน ๑๖ วันจนอ่อม แถมได้ของแถม ท้องเสียกันแทบเอาตัวไม่รอดทั้งสองคน มาเห็นอาหารหน้าตาดีๆ แบบนี้ อดคิดถึงตอนที่ไปไม่ได้ค่ะ


โดย: Maeboon วันที่: 22 มกราคม 2560 เวลา:1:46:11 น.  

 
ได้ไปเที่ยวหลายแห่งดีนะครับ...

ตอนผมไปเมื่อ 2 ปีต้องทำวีซ่าเสียเงิน
ครับ ไม่ได้ไปทำเอง 555

ร้านอาหารใกล้กับตลาดนายพล หรือ
บ๊อกยอก... ข้างในอย่าได้หลงเเข้าไปกิน... ดูเมนู มีเส้น กุ้งตัวโตหลายตัว
ของจริง มีแต่วิญญาณกุ้ง.. ราคาคิด
ราคาแบบ "ฟัน"

ถ้าไปเที่ยวเมืองอื่นและอัพบล๊อกช่วยไป
เคาะประตูบ้านให้หน่อยนะครับจะได้
แวะมาอ่านมาดูอีก



โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 22 มกราคม 2560 เวลา:7:36:20 น.  

 
กำลังวางแผนไปย่างกุ้งกันอยู่ครับ
วัดวาอาราม ร้านอาหาร ตลาดดูดีมากๆ
ได้อ่านข้อมูลดีๆแบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าอยากไปวัน สองวันนี้เลยครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 22 มกราคม 2560 เวลา:9:07:46 น.  

 
ขอบคุณที่แบ่งปัน


โดย: Kavanich96 วันที่: 28 มกราคม 2560 เวลา:3:33:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

goffymew
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Flag Counter Welcome to Goffymew Blog
Group Blog
 
<<
มกราคม 2560
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
22 มกราคม 2560
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add goffymew's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.