YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~

สิ่งที่ชอบทำ ตั้งแต่ก่อนทำ กำลังทำ และทำเสร็จแล้ว

ชีวิตนี้ทำหลายอย่างมากเลย  เพราะเป็นคนที่มีความสนใจเต็มไปหมด

เด็กๆ คิดว่างั้นนะ แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่า ไม่ใช่นี่หว่า

ที่ทำๆ ไป บางทีอาจเป็นเพราะแค่อยากเอาชนะ ขี้อิจฉา

แบบเห็นเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้บ้างสิวะ 

เลยแบบไอ้นั่นก็ทำ ไอ้นี่ก็ทำ กลายเป็นสุดท้ายทำไม่ไหว

แต่จะทิ้งก็ทิ้งไม่ได้ เพราะเริ่มมาแล้ว เสียดายกำลังทุนกำลังแรง

ก็เลยเดินต่อไปแบบแกนๆ เหนื่อยๆ เหมือนคนขี้เกียจ

แต่ความอยากเอาชนะชาวบ้านก็ไม่ได้หายไปไหนนะ 

มันกลายเป็นเวลาที่ความอิจฉาเกิดขึ้นมา เราหมดแรงจะ “ทำบ้าง” แล้ว

แต่เราหันหลังใส่เลย และดูถูกตัวเองอยู่ลึกๆ ซะงั้นว่าเราไม่ได้เรื่อง

เมื่อเช้าฝันเลยว่า แม่ถามว่าเดือนหนึ่งเราหาเงินได้เท่าไหร่

พอบอกตัวเลขไป แม่ส่ายหัวแล้วบอกว่า นี่เธอโตแล้วนะ

ตื่นขึ้นมาแบบ โคตรหดหู่เลย

 

เมื่อคืนนั่งดูตู้หนังสือในห้องนอน ที่เราเก็บหนังสือที่เรา “จะอ่าน” จริงๆ

สุดท้ายก็เดาได้เนอะ ไม่ได้อ่านแหละ ฝุ่นเขรอะเลย

ดูแล้วก็จิตตก แบบอะไรวะเนี่ย มีกี่เรื่องที่เริ่มแล้วค้างเติ่ง ทิ้งไว้กึ่งๆ

ไม่มีเล่มไหนเลยที่ดูแล้ว Spark joy (ที่เขาชอบเรียกกันน่ะนะ)

ตู้หนังสือเหมือนเป็นซากสวนสนุกที่ถูกทิ้งร้างน่ะ 

เอามาเปิดดูยังจำได้อยู่เลยว่าทำไมซื้อเล่มนี้มา

จำได้ถึงความหวัง ความฝัน ความแบบนี่แหละโว้ยที่กูตามหา

มันเป็นซากไปซะหมดเลยว่ะ

 

เอ๊ะ หรือนี่เราเป็นโรคซึมเศร้า 

โรคติดต่อทางสังคมที่กำลังฮิต

 

เมื่อเช้านั่งถอนหญ้าอยู่ เมามันมากกับการพยายามดึงหญ้าออกมาทั้งราก

ใจมันถามตัวเองขึ้นมาว่า อะไรที่ทำให้เรามีความสุข และชอบตัวเอง

ทั้งตอนก่อนทำ ตอนทำ และหลังทำ แล้วคำตอบก็ชัดออกมา 4 อย่าง

 

“ทำสวน ซ้อมเต้น/ฝึกโยคะ ทำงานเซรามิก แล้วก็เป็น host สถานที่”

 

มันกลายเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คน

เพราะเราเองก็ไม่ชอบคุยกับใครมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ

ชอบเขียนมากกว่า เขียนมาตอบไป สบายใจดี

ตอนฝึกงานที่อะเดย์กับทำงานอยู่ฟรีฟอร์มที่ได้เขียนสมใจอยาก

จำได้ว่าวันที่เครียดที่สุดคือวันที่ต้องออกไปสัมภาษณ์คน 

เออ เราไม่ชอบคุยกับคนจริงๆ นั่นแหละ

 

แต่การคุยกับคน โดยเฉพาะการสอนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และคนแก่

ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เราบังคับตัวเองว่าต้องทำ มาจากความกลัวทั้งนั้น

ถ้าไม่ทำจะไม่มีรายได้ จะไม่มีคุณค่า และเราจะตามคนอื่นไม่ทัน

ซึ่งมันทำให้เรา “งอแง” ทุกครั้งที่ต้องทำงานเหล่านั้น

เพราะมันผลักเราให้ไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ safe space ของเรา

แต่ก็ไม่หยุดทำ ฝืนกับมันจนเหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก

บอกตัวเองตลอดว่าเราต้องโตนะ มันคือการฝึกฝนนะ 

แต่มันทำให้เราล้าและเปลืองพลังไปกับการบังคับตัวเองเหลือเกิน

 

ตอนนี้เราอายุ 37 

ตลกดีนะ เราเข้ามาที่นี่ตั้งแต่ 20 ต้นๆ เวลาผ่านไปโคตรเร็วเลย 

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะนับถอยหลังเข้าสู่ 40 ตั้งแต่ตอนนี้ก็คงไม่เว่อร์เกินไป

เราอยากจะจริงใจกับตัวเองให้ได้สักที 

หาจุดที่เหมาะสมกับตัวเอง และเลิกหาเรื่องใส่ตัวซะที

ทำในสิ่งที่ชอบ ที่เราอยู่กับมันได้ “จริงๆ” 

ให้เป็นแรงผลักจากความรัก ไม่ใช่ความกลัว

ให้มันล้นเต็มออกมาจากข้างในจนต้องแบ่งปัน

ไม่ใช่บังคับตัวเองให้ไปแบ่งปันกับใครโดยที่เราเองก็ง่อนแง่น

(ก็พูดถึงงานสอนนี่แหละ)

ถามว่าทำไมไม่ทำเลย ทำไมต้องตั้งหลักตั้ง 3 ปี

ก็เพราะว่ามันมีหลายอย่างที่มี commitment ไปแล้วไง

อย่างน้อยๆ ก็อีก 1-2 ปีนั่นแหละที่เราต้องจบงานที่เริ่มไปแล้วให้ได้

 

เอาใจช่วยตัวเอง ดีใจที่คลำเจอปมอีกหนึ่งปมในใจของตัวเอง

รักนะ

รักหมดแหละ

ทั้งคนอ่าน ทั้งคนเขียน




 

Create Date : 06 มีนาคม 2565
0 comments
Last Update : 6 มีนาคม 2565 12:08:25 น.
Counter : 469 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2565
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
6 มีนาคม 2565
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.