หลวงพ่อ
เมื่อวานเล่าถึงแม่ วันนี้เล่าถึงพ่อครับ ผมชอบพูดถึงท่านทั้งสองคนในบล้อกติดๆ กัน ถ้าคนเคยอ่านบล้อกเก่าๆ คงรู้ว่าวันถัดๆ คงมีเรื่องพี่สาวเป็นแน่แท้ เป็นแพ็คเกจครับ เพราะจะให้เล่าเรื่องใด ก็คงไม่รื่นรมย์เหมือนเรื่องครอบครัว
อย่างที่แม่ชีกระซิบบอกเราเรื่องที่หลวงพ่อแนะนำให้ ติดท่อสูงปรี๊ดเพื่อกันน้ำเข้าเครื่องยนต์ พอเรามาถึงวัด ก่อนที่จะได้พบแม่ หลวงพ่อก็เดินมาที่รถสำรวจ ร่องรอยน้ำและแนะนำด้วยท่าทางชวนขำเรื่องการติดท่อไอเสีย ตอนนั้นก็ขำไปแล้วครับ พอแม่มากระซิบบอกอีกครั้ง ผมก็ได้หัวเราะร่วนเป็นรอบสอง
ความจริงพ่อก็เป็นคนพูดน้อยครับ แต่เวลาพูด พูดไม่หยุดเลย เผลอๆ แย่งกันพูดกับแม่แต่ใครชนะใครเห็นจะไม่มี เพราะสลับกันเป็นคนปิดท้าย จะหยุดพูดก็ต่อเมื่อลูกเดินหนีหายไปใหน ก็ไม่รู้ครับ ฮ่าๆๆๆ ซึ่งมักเป็นผมคนแรกที่เดินออกจากวงสนทนาเสมอ แต่ไม่ต้องแปลกใจ วิธีการนี้เราเป็นกันทั้งครอบครัว ลูกไม้มันหล่นไม่ไกลต้นหรอกครับ นิสัยของผมผสมผสานเป็นวิตามินรวมพ่อแม่พี่ๆมาอยู่ที่เจ้าดอยหนึ่งคน
แม่แทบจะไม่พูดเรื่องการแต่งงานกับผมแถมบอกใครต่อใครเสียอีก ว่าผมคงไม่แต่งงาน ในขณะที่หลวงพ่อกลับเป็นคนเกริ่นเรื่องนี้ เสียหลายรอบแต่เป็นที่เข้าใจได้ครับ ผมเป็นลูกคนสุดท้องซึ่งอายุห่างกับพี่ๆ พอควร ดังนั้นถ้าพ่อแม่พี่ๆ จากไปก่อน ท่านก็คงกลัวว่าจะไม่มีใครมาคอยห่วงใย ตามประสาพ่อแม่ครับ แต่หลังๆ ท่านคงชินและเข้าใจแล้วว่าผมไม่ใฝ่เรื่อง แต่งงานท่านจึงไม่พูดถึงอีกเลย
ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันสองคน ท่านบอกกับผมว่า ดอยหน่ะ สงสัยชาติหน้าจะไม่ได้เกิดเพราะเราไม่มีห่วงแล้ว เนื่องจากไม่ได้แต่งงานมีลูกมีหลานต่อ (วัดที่หลวงพ่อและแม่ชีผมบวชอยู่เชื่อเรื่องกรรม ชาติปางก่อน สวรรค์ นรก และภพหน้า มากครับ) เมื่อไม่มีห่วงจึงไม่ต้องตามห่วงนั้นกลับมาเกิดอีกครั้ง ผมฟังและอมยิ้ม เพระสีหน้าท่านตอนพูดดูจะยินดีกับสิ่งนี้มากทีเดียว ท่านคงเข้าใจสัจธรรมที่ว่า การเกิดนั้นก็เป็นทุกข์ ดังนั้นจะไม่ให้เกิดทุกข์ก็คือการตัดวานะหรือกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นสิ่งร้อยรัดใจให้กระวนกระวาย และการตัดห่วงนี้ได้อาจเรียกว่าภาวะการนิพพาน ในศาสนาพุทธ (ผมตีความเอาเองครับ ผิดถูกประการใดขออภัยด้วย)
ตอนนั้นผมไม่ได้อมยิ้มเพราะผมจะไม่ต้องเกิดตามความเชื่อของท่าน เพราะถ้าถามว่านิพพานคืออะไร ผมยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยครับ ผมไม่รู้จักสิ่งในอนาคต แต่ผมอมยิ้มเพราะผมสุขใจที่เห็นท่านมีสีหน้าเปี่ยมสุข มันอธิบายไม่ได้แต่มันสุขใจ ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่าผมไม่อาจรู้ได้ แต่รู้เพียงวันนั้นตอนนั้นรู้สึกพอแล้ว พึงพอใจแล้วกับการได้ เกิดมาเป็นลูกของท่าน แค่นั้นก็พอแล้วครับ
จากการที่ท่านบวชทำให้ผมได้เรียนรู้สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง พ่อแม่อาจไม่ได้บอกโดยตรงแต่ชีวิตของท่านบอกผม
โลกนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน แม้แต่พ่อแม่สักวันหนึ่งท่านก็ต้องจากเราไป นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจและอยู่ได้โดยสุขใจ
พ่อแม่สอนให้ผมอยู่ได้ด้วยตัวเองและเรียนรู้จะสละห่วงในใจ ผมถือว่านี่เป็นของขวัญที่ล้ำค่ามากเลยครับ มากยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดๆ
'การทำให้คนที่เรารักอยู่อย่างสุขใจได้โดยไม่ต้องมีเรา' (แต่ไม่ใช่การทอดทิ้งนะครับ มันคนละความหมายกัน หุหุหุ)
ขอให้คนอ่านมีความสุขที่อยู่ได้ด้วยตนเองนะครับ ก็เราหายใจด้วยตัวเอง ดังนั้นอยู่ที่ใหนเป็นแบบใด ก็สุขได้ด้วยตัวเอง
อารมณ์ดีๆมากๆๆในวันนี้ครับผม
กลิ่นดอย
ป.ล.1 ภาพนี้ถ่ายจากวัดโพธิ์ครับ ป.ล.2 เมื่อวานค่อยๆ เดินเหมือนเต่าไปตามบล้อกเพื่อนๆ ครับ แต่ยังไปไม่ครบ ถ้าใครแอบเคืองที่ผมไม่ไปบล้อกเสียที ยังไงก็มาบ่นผมได้นะครับ แต่ต้องขอโทษจริงๆ สงสารนิดนึงนะ เน็ตที่ห้องผมมันช้ามากเลย และขอบคุณจริงๆ ที่เข้ามาอ่านนะครับ
Create Date : 20 ตุลาคม 2553 |
|
66 comments |
Last Update : 20 ตุลาคม 2553 10:16:01 น. |
Counter : 1054 Pageviews. |
|
|
|
มุมนี้สวยเลย..
ปล.พี่ก๋าส่งหนังสือไปแล้วล่ะครับ 555
รอรับด้วยนะครับ