เหมือนที่รู้ๆ กันว่า ได้เพื่อนบ้านดีก็ถือว่าโชคดีไป ...
อันนี้จริงแท้แน่นอนเลยนะคะ เพราะถือว่าทำบุญทำกรรมมาดี
อย่างที่บ้านพ่อแม่ที่อยู่อาศัยก่อนหน้านี้เพื่อนบ้านก็ดีค่ะเป็นญาติกัน แต่ว่าไอ้ที่ไม่ดี
ก็คือว่าการเลี้ยงสัตว์ของแต่ละบ้านนั่นล่ะค่ะ ไก่ นก หมา รวมใจ
พรรครักไทยกันเหลือเกิน make noise ทีละก็เป็นได้พร้อมใจกันสุดๆ
เลยทนไม่ได้ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกดีกว่า ... และแล้วก็ย้ายออกมาจริงๆ ด้วยล่ะค่ะ
บ้านเช่า ... คือทางเลือกของเรา และตอนนี้เวลามันก็เดินกันเร็วเหลือเกิน
มาอยู่บ้านเช่าได้สองอาทิตย์แล้ว ... เรียกว่าทุกอย่างเป็นไป
ด้วยความเรียบร้อย ไม่มีอะไรที่น่าหนักใจเลย อย่างน้อยๆ มลพิษทางเสียง
ก็ไม่มีเท่าบ้านที่อยู่ในเมืองเลยค่ะ ยกเว้นเช้าๆ หน่อย
ช่วงเวลาที่คนออกไปทำงาน หรือว่า ไป รร. ก็จะมีมากหน่อยแต่ไม่ได้ทำความ
เดือดร้อนให้ฉันกับคนข้างๆ เท่าไหร่ค่ะ
และแล้ว อยู่มาได้สองอาทิตย์ ก็เพิ่งมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนบ้านติดๆ กัน
เป็นหนุ่มล่ะค่ะแต่ว่าไม่โสดและไม่หล่อเลย แต่ว่าคารมคมคายมาก
เอาว่าพูดคุยด้วยแล้วมันส์ค่ะ ประหนึ่งว่า รู้จักกันมาแต่เก่าก่อน ..
เพื่อนบ้านคนนี้เป็นพ่อบ้านลูกสองที่เจอภาวะการถูกทิ้ง ทั้งไม่ว่าจากเมีย
ตัวเองที่ทิ้งลูกชายเอาไว้สองคนให้กับเค้าเลี้ยงแบบคนเดียวหัวหาย
ไม่พอเมียที่เคารพยังแถมทิ้งหนี้สินเอาไว้ให้อีก
โอ้ว น่าหนักใจแทนค่ะ เพราะว่าเจอสองครั้ง หนุ่มคนนี้ก็เล่าให้ฟัง
ซะยาวเลย อาจจะเพราะว่าไล่เรียงกันไปครั้งแรกที่ได้เจอ คุยกันไปมา
ก็เลยได้รู้ว่า เค้าเองเป็นรุ่นพี่ รร.เก่าของฉันเอง (แต่ว่าก่อนล่วงหน้าหลายปีแล้วล่ะ)
ซึ่งพอรู้เท่านั้นล่ะค่ะ เลยกลายเป็นว่าเราได้เริ่มคุยเรื่อง รร.เก่า ครู สมัยเก่าๆ แล้วก็
วีรกรรมของแต่ละคนที่ รร. เรียกว่าได้เริ่มคุยกันแล้วยาวไปเลยล่ะค่ะ
คุยกันแล้วมันส์ติดลม เลยได้รู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับคนในละแวกบ้านเช่า
เรียกว่าฉันถามแค่ประโยคเดียวว่า แถวบ้านนี้เป็นยังไงบ้าง
แค่นั้นเอง หลังจากนั้นก็เตรียมฟังยาวได้เลยเพราะว่าเค้าเล่าให้ฟัง
แบบหมดเปลือก ... ว่าแต่ละคนแต่ละซอยเป็นยังไงกันบ้าง
เรียกว่ามันส์ค่ะ คร่าวๆก็แค่ละแวกบ้านก่อน เช่น
ป้าแก่จูงหมาทุกเช้า ... เค้าบอกว่าป้าแกจู้จี้มาก เลี้ยงหมาดีกว่าลูกหลาน
ใครไปแตะหมาแกเข้า ไม่โดนด่าเรียกว่าบุญหนักเลยค่ะ
หนุ่มหนึ่งหลังบ้านฉัน ... ตัวเบ้อเริ่มเหิ้ม แต่ว่าเสียบีบเล็ก แว๊ดๆ ทุกเช้ากับลูกชาย
เค้าเอง กินข้าวลูก ตื่นลูก เบาๆ ทีวีหน่อยลูก เรียกว่าถ้าบ้านนี้อยู่
ไม่มีวันหรอกที่จะเงียบ แต่ว่าก็อยู่ในระดับโอเคค่ะเพราะว่าบ้านมันติดชิดกัน
เกินปกติไปหน่อย .. (เหมือนทาวเฮ้าส์น่ะค่ะ)
สองสามีภรรยาก้นซอย .. เป็น ดร. การทำงานก็ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับการเมือง
ท้องถิ่น เงียบๆ กับการทำงานแต่ชอบสังสรรค์เป็นทุน เจอกันทีไร เฮฮาปาร์ตี้สุดๆ
เจ้าของโครงการบ้านที่อยู่ .. เรียกว่าคนนี้เป็นเมนของการนินทามาก เพราะเธอเอง
เป็น businesswomen ตัวจริงเลย เพราะเธอเองเขี้ยว แล้วก็โกง จนคนในหมู่บ้านระอาใจ
ประมาณว่าแค่ไฟฟ้าตามซอยที่เปิดกันไว้นั่น ยังมีบอกมาว่า soon จะลดเหลือ
การเปิดไฟฟ้าแต่ละเสาแบบเสาเว้นเสา ... ชาวบ้านเลยเดือดร้อนบอกว่า ถ้าเปิดแบบนั้น
มันก็มืดอ่ะสิ ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างถกเถียงกันอยู่ ส่วนเรามาอยู่ใหม่ๆ
ก็ฟังหูไว้หูค่ะ อ้อ หรือว่าไม่จะเป็นเรื่องของการสัญญาเกี่ยวกับบ้านว่าจะทำนั่นนี่
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ทำตามที่พูด เอ๊ ยังไงล่ะเนี่ย นิสัยนักธุระกิจ
เหมือนนักการเมืองดีๆ นี่เองหรอกเหรอ .. ว๊า
ตบท้ายเพื่อนบ้านรุ่นพี่คนนี้ก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องลึกลับของเจ้าที่แต่ละหลัง
ด้วยเพราะว่าบ้านแต่ละหลังเพิ่งสังเกตมาว่าจะมีศาลพระภูมิของแต่
ละบ้านเอาไว้ บ้านเช่าหลังที่ฉันอยู่ก็มี เค้าก็เล่าเรื่องลึกลับ เรื่องเจ้าที่แรง
ให้ฟัง เรียกว่าทำให้ใจฉันเขวๆ ไปหน่อยแล้ว แต่เพราะว่า
ตัวเองเชื่อว่า การมาอยู่ของฉันไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ได้สร้าง
ความเสียหายหรือว่ามาดูถูก ดูหมิ่นใคร เพราะฉะนั้น หลังจากที่ฉัน
ได้จุดธุปบอกกล่าวเจ้าที่ตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ จึงถือว่าเป็นการเพียงพอแล้ว
สำหรับการเริ่มต้นด้วยดีของการมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ...
อิๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ