Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
4 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 

ตอนที่๒๒

ตอนที่๒๒
สณาจิณห์เข้าห้องด้วยใบหน้าที่แดงจัดเหมือนคนเป็นไข้ซึ่งเป็นผลจากการประทับจุมพิตของโจนาธาน หัวใจของหล่อนเต้นไม่เป็นส่ำ ดวงตาเป็นประกายด้วยความปีติยินดี ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มอย่างสุขใจ คนที่เดินหน้าชื่นและจิตใจลอยล่องก็ลืมนึกถึงเพื่อนสาวเสียสนิท ฝ่ายหลังที่กำลังอ่านนิตยสารรายปักษ์ก็เหลียวมองคนที่เพิ่งกลับมาและหล่อนก็แลเห็นอาการอย่างคนที่ตกอยู่ในห้วงรักของคนเป็นเพื่อน ทำให้อดที่จะออกปากเย้าแหย่ไม่ได้ว่า

"ฮั่นแน่ ยิ้มมาเชียวน้า"

'แม่หมอ' ทำท่าสะดุ้งกับถ้อยคำของภวาวดีและหลุดคำเรียกขานเหมือนเพิ่งมองเห็นอีกฝ่าย

"วดี"

"แหม รู้สึกจะใจลอยเสียไม่มี ฉันนั่งอยู่นี่ยังไม่เห็น ท่าทางจะแฮปปี้มาก" เพื่อนสาวพูดอย่างล้อเลียน

"แฮปปี้สุดๆ"

"คุณโจน่าเขาทำอะไรให้แฮปปี้ล่ะจ๊ะซัน"

สณาจิณห์ยอมเปิดปากบอกเล่าอย่างที่ภวาวดีอยากรู้ตามประสาเพื่อนที่คบหากันมานานย่อมจะไม่มีความลับต่อกันทำให้คนฟังรู้สึกเอียนเลี่ยนกับความรักที่ชื่นมื่นของคนเล่า ทว่าเรื่องตบท้ายกลับเป็นเรื่องที่เจ้าหล่อนกำลังปริวิตก…เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่คิดร้ายต่อโจนาธาน ยังผลให้บรรยากาศเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน คนฟังก็ออกปากติงคนเป็นเพื่อน

"ยินดีกับความรักของเธอ แต่ขอทีเรื่องคิดโน่นคิดนี่ คิดให้น้อยๆดีกว่าน่าซัน เธอน่ะวิตกจริตเกินเหตุ เรื่องคลี่คลายไปในทางที่ดียังจะเอาไงอีก"

"วิตกให้มากๆมันปลอดภัยกว่าเยอะ" เจ้าตัวแย้ง

"ฉันว่าโก้กับใครๆก็ต้องคิดเหมือนฉัน ไม่มีใครเขาคิดเหมือนเธอ"

"ฉันมั่นใจกับความรู้สึกที่สังหรณ์ย่ะ" คนฟังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เพื่อนสาวเป็นการตอบโต้

"ยัยหัวรั้น ระวังคุณโจน่าจะเบื่อเอานะยะ" ภวาวดีจงใจพูดจาพาดพิงถึงชายหนุ่มลูกครึ่งเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น

ทันทีที่มาร์คัสกลับถึงบ้านและพบหน้าผู้เป็นบิดา เขาก็ขอสนทนาเพื่อถามไถ่เรื่องที่เขาใคร่รู้เกี่ยวกับลอเรนซ์

สีหน้าเคร่งขรึมของบุตรชายทำให้วิลเลี่ยมส์ออกปากบอกภรรยาให้ดูโทรทัศน์เพียงลำพังด้วยตัวเขากับบุตรชายมีเรื่องสำคัญที่ต้องพูดคุย

พวกผู้ชายเลี่ยงออกไปนั่งในห้องอาหาร บุตรชายนั่งเก้าอี้ด้วยหัวคิ้วขมวดมุ่น ผู้เป็นบิดาเดินไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มและรินไวน์ใส่แก้วสองใบ

"มาร์ค" วิลเลี่ยมส์เรียกขานบุตรชายพลางส่งแก้วให้

มาร์คัสก็รับมาจิบแล้ววางลงบนโต๊ะขณะที่ผู้เป็นบิดาไม่แตะต้องแก้วไวน์

"อยากถามอะไรพ่อ"

"ผมรู้เรื่องบางเรื่อง และผมก็หวังว่าคุณพ่อจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำของคุณลุงลอเรนซ์"

"เกี่ยวข้องด้านไหน"

"ฉ้อโกงเงินของบริษัทครับ" ดวงตาของคนพูดจับจ้องใบหน้าของผู้เป็นบิดาอย่างแน่วนิ่ง

"ทำไมมาร์คคิดว่าลุงเขาฉ้อโกงเงิน" สุ้มเสียงห้วนถาม

มาร์คัสตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่สืบเนื่องจากการประชุมลับที่บ้านของญาติผู้น้องให้อีกฝ่ายฟัง สีหน้าของวิลเลี่ยมส์แปรเปลี่ยนเป็นเครียดเคร่ง ความไม่พอใจฉายชัดในดวงตาของเขา สิ้นเสียงของบุตรชาย เขาก็เอ่ยอย่างมีโทสะว่า

"ปรักปรำชัดๆ!"

"คุณอามีหลักฐานครับคุณพ่อ"

"ก็คงจะเป็นหลักฐานที่สร้างขึ้น" วิลเลี่ยมส์แค่นหัวเราะ

"เปล่าครับ เป็นหลักฐานที่คุณลุงไหว้วานให้แม่บ้านช่วยจัดการให้ ยังมีผู้จัดการฝ่ายการเงินที่ต้องสงสัยว่าจะร่วมมืออีกคน"

"รู้อะไรไหมมาร์ค ถึงฉันกับลุงของแกจะไม่ชอบใจนักกับการที่หลานชายอย่างโจน่าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท แต่ฉันก็ขอรับรองว่าไม่มีวันที่ลุงของแกจะทำเรื่องเลวๆแบบนั้นหรอก สงสัยเขา… ก็รวมฉันเข้าไปด้วยเพราะฉันสนิทกับเขาที่สุดสินะ แล้วแกคิดได้ไง ฮึ ไอ้ลูกชาย ว่าลุงของแกจะกล้าทำเรื่องบัดซบนั่น ยังมีฉันที่แกเกิดนึกระแวงอีก" สรรพนามเปลี่ยนตามแรงอารมณ์

คนฟังนิ่งอึ้ง

"ขอโทษครับคุณพ่อ ผมไม่ได้สงสัยคุณพ่อครับ ผมแค่ไม่อยากให้คุณพ่อต้องพลอยเดือดร้อนหรือติดร่างแหไปกับคุณลุงลอเรนซ์" เขาบอกเสียงอ่อน

"ถ้าแกจะสงสัยใครนะมาร์ค ฉันขอแนะนำให้แกสงสัยคุณอาคนดีที่สรุปเรื่องราวอย่างรวบรัดและลงตัวเหลือเกิน" คนพูดประชดอยู่ในที

บุตรชายมองหน้าผู้เป็นบิดาเป็นเชิงถาม

"อ้อ ไม่เคยมีใครบอกพวกแกหรือไงว่าก่อนหน้าที่สุทธินี…แม่ของโจน่าจะแต่งงานกับอัลเบิร์ต…พ่อของเขา หล่อนเคยเป็นคนรักของเอริคและพ่อของโจน่าก็พรากหล่อนไปจากน้องชายทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าน้องชายกับหล่อนรักกัน"

"ผมไม่เคยทราบ"

"ใครจะทราบล่ะในเมื่ออัลเบิร์ตกุมอำนาจในบริษัท และใครจะกล้าหือกับเขา ฉันกับลุงของแกยังเคยดื่มเหล้ายันสว่างเป็นเพื่อนเอริคตอนที่เขาเสียใจอย่างที่สุดกับการกระทำของพี่ชายของตัว ต่อให้เป็นพี่น้อง ฉันยังเดาออกเลยว่าเอริคแค้นใจขนาดไหนที่พี่ชายใช้วิธีสกปรกแย่งคนรักไป นอกจากน้ำตาของลูกผู้ชาย เขายังระบายความในใจออกมาด้วย เป็นความคับแค้นที่เกินจะทน ไม่สิ…สุดจะทนด้วยซ้ำ นี่ยังไม่นับการที่เขาต้องตกเป็นรองพี่ชายมาตลอด แถมยังถูกเปรียบเทียบต่างๆนานาตั้งแต่เล็กจนโต อัลเบิร์ตเก่งอย่างนั้นดีอย่างนี้ เอริคทำไมไม่ได้ครึ่งของพี่ชาย แต่ก็แปลกที่เขาทนเห็นผู้หญิงที่เขารักมีลูกกับพี่ชายผู้ร้ายกาจได้ ฟังละรู้สึกไงล่ะไอ้ลูกชาย มูลเหตุจูงใจพอให้แกสงสัยเขาไหม"

"มันอะไรกันครับคุณพ่อ"

"แค่เรื่องส่วนตัวของคนในครอบครัวที่ฉันไม่เคยบอกแก มันเป็นเรื่องที่สมควรต้องปิดบังและรู้กันภายใน ถ้าไม่เหลืออดฉันก็ไม่อยากพูด แกแหละทำให้ฉันต้องพูดออกมา ทีนี้แกคิดยังไงกับคุณอาผู้แสนดีที่เคยมีสัมพันธ์อันดีกับพวกฉัน ตอนหลังกลับทำอย่างกับฉันและลุงของแกเป็นตัวขวางทางอะไรของเขาสักอย่าง" วิลเลี่ยมส์ย้อนถามเสียงเรียบกึ่งเยาะ

"ผมรู้สึกช็อคกับการกระทำของคุณลุงอัลเบิร์ตครับ"

"ใช่สิ ขนาดแกยังช็อคนับประสาอะไรกับน้องในไส้ที่ถูกพี่ชายแย่งผู้หญิง ถ้าโจน่ากับจิลรู้เข้าคงจะช็อคยิ่งกว่าแก แต่ก็ไม่แน่เพราะเท่าที่ผ่านมาอัลเบิร์ตก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา การกระทำของเขาในแง่ธุรกิจแต่ละอย่างก็เลวร้ายจริงๆ สองพี่น้องคงจะชินชาเพราะรู้เห็นตั้งแต่เด็กๆ สุทธินีโชคดีที่โจน่าจิตใจดีเหมือนหล่อน สำหรับจิลฉันว่าคงจะเหมือนคนเป็นอา" คนพูดวิจารณ์

"ขอบคุณครับที่คุณพ่ออุตส่าห์แฉเรื่องในครอบครัวให้ผมฟัง" เขาพูดประชดบ้าง

"เรียกว่าช่วยให้แกตาสว่างมากกว่ามาร์ค"

"เท่าที่ฟังผมว่าคุณพ่อกับคุณลุงลอเรนซ์ไม่ค่อยถูกกับคุณอาจริงๆใช่ไหมครับ"

คนถูกถามเลิกคิ้วสูง

"ฉันกับลุงของแกแค่ชอบขัดแข้งขัดขาโจน่ากับคุณอาของเขา ถึงจะไม่เต็มใจพวกฉันก็ยินยอมตามที่พวกเขาต้องการอยู่ดี เหตุจูงใจของพวกฉันมันน้อยนิดถ้าเทียบกับความเจ็บปวดที่สั่งสมมาหลายปีของเอริค และพวกฉันก็ไม่ใช่พวกที่ชอบผูกพยาบาทใคร ที่ฉันบอกแกเพื่อให้แกรู้จักมองคนให้ออก ตื้นลึกหนาบางต้องรู้ให้ลึกซึ้ง สิ่งที่เขาแสดงออกกับน้ำใสใจจริงมันต่างกันราวฟ้ากับเหว"

"คุณพ่อจะทำยังไงกับเรื่องคุณลุงลอเรนซ์ครับ"

"ก็ต้องบอกเขา"

"ผมไม่อยากบอกเลยว่าบางทีคุณลุงอาจทำเรื่องที่ผิดโดยที่คุณพ่อไม่รู้"

"ถ้าแกปักใจเชื่อว่าลุงของแกเป็นคนร้าย แกก็ต้องเผื่อใจไว้สงสัยเจตนาของอาที่อาจสร้างเรื่องกลั่นแกล้งลุง ไม่แน่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอาจเป็นการหวังผลบางอย่างและเป็นการสร้างสถานการณ์ที่แนบเนียนอย่างที่อัลเบิร์ตเคยทำกับคนอื่นๆ เรียกว่าเลือดพี่เลือดน้องเข้มข้นแท้ๆ มาร์ค แกต้องคิดหลายๆแง่ การมองอะไรด้านเดียวอาจทำให้แกพลาดสิ่งสำคัญและลืมระวังตัว" เขาดื่มไวน์หมดแก้วก็พูดต่อ

"ฉันจะไปโทร.หาลอเรนซ์" พูดจบเขาก็ลุกเดินออกจากห้องอาหารโดยปล่อยให้บุตรชายใช้ความคิดอยู่คนเดียว

มาร์คัสรู้สึกสับสน เขาควรจะเชื่อถ้อยคำของผู้เป็นบิดา แต่อาก็ไม่เคยกระทำสิ่งที่ส่อเค้าว่าจะเป็นการประสงค์ร้ายต่อใครๆ คำพูดของทั้งสองฝ่ายมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือเท่าเทียม การตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าควรเชื่อใครย่อมยากนัก เขาตรองอย่าง ใช้ความคิดอย่างหนักและชื่อของสณาจิณห์ก็ผุดขึ้นในห้วงคำนึง หล่อนควรต้องรู้เพราะท่าทีของหล่อนบ่งบอกว่าติดใจสงสัยบางประการ เขาต้องการคนหารือและหล่อนก็เป็นบุคคลที่เขาคิดถึง บางทีหล่อนอาจมีคำตอบที่ชัดเจนให้กับเขา

ชายหนุ่มผมทองล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อ เลขหมายของหญิงสาวอยู่ในความทรงจำที่แสนปวดร้าว หากเขาก็กลั้นใจกดตัวเลขทั้งหมดเพื่อติดต่อหล่อน

"สวัสดีค่ะคุณมาร์ค" น้ำเสียงจากปลายสายเรียบเรื่อย

"ผมมีเรื่องอยากปรึกษา"

สณาจิณห์รับฟังอย่างสงบด้วยท่าทางใคร่ครวญ ภวาวดีที่นั่งอยู่หน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์พลอยเงี่ยหูฟังอีกคน

"คุณคิดว่าไงครับ" เขาถามหลังจากที่บอกหล่อนอย่างละเอียด

"อืม มีความเป็นไปได้ทั้งสองทางค่ะ ซันตัดสินไม่ได้ว่าคุณควรเชื่อใคร" หล่อนปด

และการที่มาร์คัสยอมบอกข้อมูลกับหล่อนก็ย่อมจะเป็นการยืนยันข้อข้องใจที่ติดค้างในความรู้สึก ทว่าขาดความกระจ่างในประเด็นเกร็ดย่อย

"แปลว่าคุณสงสัยทั้งคุณลุงลอเรนซ์ทั้งคุณอาเอริค" เขาด่วนสรุป

"ต้องมีข้อเท็จจริงกว่านี้ค่ะคุณมาร์ค"

มาร์คัสต้องการคาดคั้นเอาคำตอบกับหล่อนก็พอดีกับที่เสียงของวิลเลี่ยมส์ดังขึ้น หญิงสาวก็ได้ยินเสียงที่เล็ดลอดเช่นกัน

"คุณมาร์คคะ เกิดอะไรขึ้นคะ"

"เดี๋ยวผมจะออกไปดูเสียหน่อย ถือสายไว้นะครับ"

"ได้ค่ะ"

ชายหนุ่มผมทองเห็นผู้เป็นบิดานั่งเก้าอี้โซฟาด้วยท่าทางราวกับคนอ่อนแรง ดวงตาคู่ที่หม่นแสงไร้แววใดๆติดจะเลื่อนลอย ความหมองเศร้าฉายชัดบนใบหน้า มือข้างที่ถือหูโทรศัพท์ตกลงข้างตัว

"คุณพ่อครับ" บุตรชายเรียกขานเสียงแผ่วเบา

คนถูกเรียกหันมองหน้ามาร์คัส

"แม่บ้านของพี่ลอเรนซ์เป็นคนรับสาย ฉันยังไม่ทันจะพูดอะไรทางนั้นก็สวนคำบอกเสียงสั่นว่าพี่ลอเรนซ์ตายแล้ว ฉันก็ซัก แม่บ้านบอกว่าท่าทางตอนกลับมาของพี่ลอเรนซ์ดูจะเพลียมาก เขาขอพักผ่อน ถึงเวลาอาหารค่อยเรียก แม่บ้านก็ทำตามคำสั่ง พอขึ้นไปตามในห้องนอนก็เห็นพี่ลอเรนซ์นอนอยู่ เธอพยายามปลุกอยู่หลายครั้งก็สำเหนียกถึงความผิดปรกติ เนื้อตัวเขาเย็นเฉียบ แล้วเธอก็เหลือบเห็นยานอนหลับหล่นเกลื่อนพื้นห้อง เธอนึกอะไรไม่ออกนอกจากเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน…ตอนนี้ตำรวจกำลังไปที่บ้าน" น้ำเสียงแผ่วโหยบอกคนฟัง

"คุณลุงฆ่าตัวตายหรือครับ"

วิลเลี่ยมส์พยักหน้าแทนคำตอบ

เสียงสนทนาของสองพ่อลูกดังเข้าหูหญิงสาวที่อยู่ปลายสาย หน้าผากของหล่อนย่นน้อยๆ ดวงตาฉายแววครุ่นคิดกึ่งกลัดกลุ้ม และประเด็นหนึ่งสำหรับความน่าจะเป็นก็บอกตัวหล่อนว่า

'แสดงว่าแม่บ้านของบริษัทอาจบอกอะไรกับลอเรนซ์ เขาเกิดกลัวความผิดเลยชิงฆ่าตัวตาย'

บังเอิญเกินไปหรือเปล่า…อีกความคิดค้านขึ้น ทุกอย่างพ้องกับข้อสันนิษฐานเชื่อมโยงเรื่องราวของเอริค เท่ากับเจอร์ราล์ดไม่จำเป็นต้องตรวจสอบข้อสงสัยของหล่อน ถ้าตำรวจพบจดหมายลาตายที่สารภาพความผิดจะยิ่งสอดคล้องกับรูปการณ์

"คุณซันครับ" เสียงทุ้มของมาร์คัสเอ่ย

"ว่าไงคะ" หล่อนแสร้งถาม

"เอ่อ คาดว่าคุณลุงลอเรนซ์คงจะฆ่าตัวตายครับ"

ปลายสายจงใจปล่อยให้ความเงียบงันเข้าสอดแทรกเพื่อให้เขาเข้าใจว่าหล่อนรู้สึกสะเทือนใจกับข่าวมรณกรรมของลอเรนซ์

"ซันจะแจ้งทางคุณโจน่าค่ะ"

"ก็ดีครับ ผมกับคุณพ่อจะล่วงหน้าไปที่บ้านของคุณลุง"

แรงสังหรณ์ของสณาจิณห์ทำให้เจ้าตัวรู้สึกไม่สบายใจแม้แต่น้อย ทุกอย่างง่ายอย่างน่าหวั่นเกรงภัยร้ายแอบแฝง และหล่อนจะไม่ยอมยุติการค้นหาความกระจ่างแจ้งจนกว่าจะแน่ใจว่าเรื่องร้ายๆยุติอย่างแท้จริง พอหล่อนบอกกับคนเป็นเพื่อน ภวาวดีก็มีสีหน้าสลดกับข่าวร้ายและหล่อนก็จำต้องบอกคนรักซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับญาติผู้ตายอย่างโจนาธาน สองสาวตัดสินใจเปลี่ยนจากชุดนอนที่สวมใส่เป็นชุดลำลองสีดำแบบสุภาพ และรอให้ธัชรัตน์พงศ์รับพวกหล่อนไปที่บ้านของโจนาธาน

เจอร์ราล์ดต้องอยู่บ้านตามคำสั่งของพี่ชาย ทว่าเขามีสณาจิณห์กับภวาวดีอยู่เป็นเพื่อน ส่วนพวกผู้ชายอาทิ โจนาธาน เอริค และธัชรัตน์พงศ์ไปที่บ้านของลอเรนซ์ คนที่รออยู่ทางบ้านคอยรับฟังความคืบหน้าจากคนที่ติดต่อมาเป็นระยะๆ การคาดการณ์ของ 'แม่หมอ' ถูกต้อง…ตำรวจพบจดหมายของผู้ตาย เรื่องที่เอริคอยากให้เก็บเงียบอาจกลายเป็นข่าวใหญ่อื้อฉาวที่ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ

"เรื่องยุ่งๆจบเสียที" ภวาวดีปรารภ

เจอร์ราล์ดมีท่าทางโศกสลดอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นสณาจิณห์ก็อดระแวงไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มเสแสร้งแกล้งทำ หล่อนลอบตรวจสอบเขาอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่พบสิ่งบ่งชี้ส่อพิรุธ น้องชายของโจนาธานมีระดับพลังจิตเท่าเทียมตัวหล่อนและไม่มีท่าทีของความเหนือกว่าแต่อย่างใด

"พี่ซันจะยังทำงานให้พี่ชายผมหรือเปล่าครับ" คำถามสุ้มเสียงเนือยเนิบออกจากปากของเจอร์ราล์ด

"คงต้องเลิกทำค่ะ" หล่อนบอกง่ายๆ

"พี่ซันจะทำต่อก็ได้นี่ครับ ในฐานะของนักพยากรณ์ประจำบริษัท"

"หมดเรื่องก็หมดหน้าที่ของพี่ พี่อยากกลับไปทำงานอย่างเดิมค่ะ"

"พี่โจน่าจะยอมหรือครับ"

สณาจิณห์ไม่ปริปากว่ากระไร เด็กหนุ่มก็พูดต่อ

"ผมอยากให้พี่ซันอยู่ข้างๆพี่โจน่า"

"ไม่มีความจำเป็นที่พี่ต้องอยู่ข้างเขาตลอดเวลานี่คะเพราะคนร้ายตายแล้วก็หมดเรื่องที่ต้องวิตก หรือน้องจิลไม่คิดเหมือนพี่" หล่อนย้อนถามอย่างหยั่งเชิง

"โธ่ พี่ซัน ผมกับคนอื่นๆน่ะรู้สึกสบายใจที่พี่โจน่าปลอดภัยเสียที ขืนต้องคอยวิตกคงจะไม่ดีแน่"

ภวาวดีฟังคำสนทนาของคนทั้งสองอย่างสงบเป็นส่วนใหญ่ผิดกับคนเป็นเพื่อนที่เอ่ยถ้อยคำอย่างมีจุดประสงค์ และช่วงเวลาที่เจอร์ราล์ดตอบคำถาม หล่อนก็มั่นใจว่าเห็นรอยยิ้มและประกายตาประหลาดบนใบหน้าของเขา สณาจิณห์เพียงตีสีหน้าเรียบเฉยเพื่อกลบเกลื่อนอาการจับสังเกตของตน

เกือบครึ่งคืนกว่าพวกผู้ชายจะกลับและพวกเขาก็ถ่ายทอดสิ่งที่รู้เห็นให้สองสาวกับเด็กหนุ่มฟัง คนฟังทั้งสามก็เป็นผู้ฟังที่ดีเพราะไม่เอ่ยข้อซักถาม ระหว่างที่ฟัง 'แม่หมอ' ก็ลอบสังเกตท่าทีของเอริคกับเจอร์ราล์ด หล่อนยิ่งเชื่อมั่นกับสัญชาตญาณของตนเมื่อ แลเห็นท่าทางของเอริคที่คล้ายกับโล่งอกโล่งใจยามเผลอตัวทำให้หลานชายคนเล็กที่มีความระมัดระวังมากกว่าต้องเป็นฝ่ายเหลือบมองเหมือนจะส่งสายตาเป็นเชิงเตือน ฟังพวกผู้ชายพูดจบ สณาจิณห์ก็ถามว่า

"ตำรวจคงไม่ต้องสืบเสาะอะไรมากใช่ไหมคะ"

"ครับ ทุกอย่างชัดเจนอยู่ในตัว" โจนาธานตอบ

"คุณเอริคช่วยพวกเราไว้เยอะเชียว ไม่งั้นซันก็ยังมองไม่ออกว่าใครคือคนร้าย" 'แม่หมอ' เอ่ยเรื่องเดิมด้วยเสียงเรียบเรื่อย ทว่าดวงตาจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่าย

"เราสองคนต่างหากครับคุณซัน" คนพูดหัวเราะในคำ

ริมฝีปากของสณาจิณห์เหยียดเป็นรอยยิ้มขัดกับสายตาที่ขรึมลงกว่าเดิม แต่หล่อนก็เก็บซ่อนความรู้สึกนึกคิดอย่างดีเยี่ยม กระนั้นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเนิ่นนานและพบปะผู้คนมากหน้าหลายตาอย่างเอริคก็พอจะอ่านทีท่าของหญิงสาวออก เขายิ้มน้อยๆให้หล่อน ดวงตาก็เหลือบแลทางหลานชายคนเล็กเร็วๆครั้งหนึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ายหลังทำท่าเหมือนพยักหน้าเพียงนิดเดียวอย่างช้าๆชนิดที่ไม่มีใครดูออก

"โก้ เธอกับสาวๆกลับไปพักผ่อนเถอะ ที่เหลือทางเราจัดการเอง" เอริคบอกเหมือนต้องการตัดบท

เรื่องจบลงอย่างง่ายดายเพราะจดหมายสารภาพความผิดของลอเรนซ์ ตำรวจใช้เวลาในการสืบสวนเพียงไม่กี่วันโดยเริ่มจากเรียกตัวแม่บ้านของบริษัทกับผู้จัดการฝ่ายการเงินไปสอบปากคำพร้อมด้วยหลักฐาน เรื่องหลังจากนี้เอริคจะยื่นซองขาวขับไล่ผู้จัดการฝ่ายการเงินที่สมรู้ร่วมคิดกับญาติผู้พี่ให้ออกจากงาน ส่วนแม่บ้านผู้ถือกุญแจห้องต่างๆในบริษัท กระทำการเพราะถูกบีบบังคับ กับทั้งความขัดสนด้านการเงินที่จะนำไปรักษาบุตรสาวตัวน้อยที่ป่วยไข้ก็ทำให้แม่บ้านจำเป็นต้องรับสินจ้างนำเทปบันทึกเสียงติดซ่อนใต้โต๊ะทำงานของนายจ้าง เอริคจึงยอมละเว้น การตายของลอเรนซ์ที่พัวพันกับการฉ้อโกงเงินของบริษัทกลายเป็นข่าวครึกโครมอย่างที่คนตระกูลแลนด์ดอล์ฟไม่ปรารถนาสักนิด แต่ก็ไร้หนทางหลีกเลี่ยง รวมทั้งเรื่องการคบหาระหว่างโจนาธานกับสณาจิณห์ซึ่งส่งผลให้ผู้หญิงที่เคยจ้องตะครุบตัวชายหนุ่มลูกครึ่งต้องผิดหวังตามๆกัน และเลิกเอาตัวเข้าไปพัวพันด้วยโดยเด็ดขาดเพราะการที่เขาคบใครออกหน้าออกตาย่อมเสมือนเป็นการประกาศให้สาธารณชนรู้โดยนัยว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนรักของเขา และเธอคือผู้หญิงคนเดียวที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะได้แต่งงานกับเขา ผู้หญิงคนอื่นที่รู้จักนิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างดีย่อมไม่ต้องการ เสี่ยงกับการถูกเขาขับไล่อย่างเลือดเย็นให้ตกเป็นข่าวที่จะทำให้ตนต้องเสียหน้า และเสี่ยงต่อการถูกสาธารณชนเดียดฉันท์ เรื่องเดียว ที่สามารถปกปิดได้ก็คือเรื่องเกี่ยวกับพลังจิตของลอเรนซ์ที่มีซองจดหมายสีดำจ่าหน้าถึงโจนาธานราวกับต้องการสารภาพบาป และเอริคก็เป็นคนเจรจากับทางตำรวจเพื่อไม่ให้จดหมายฉบับหลังถูกบรรจุอยู่ในสำนวนคดี หรือแม้แต่แพร่งพรายให้สื่อมวลชนทราบ

สัปดาห์ต่อมางานศพถูกจัดขึ้นโดยมีผู้ร่วมงานตามประเพณีแบบคริสต์น้อยคน นับเป็นงานที่ค่อนข้างเงียบเหงา แต่สณาจิณห์ และภวาวดีกับคนรักก็ร่วมงานอย่างให้เกียรติญาติๆผู้ตาย แม้คนทั้งสามจะนับถือศาสนาพุทธ

'แม่หมอ' ยืนอยู่ข้างกายชายหนุ่มลูกครึ่งที่เฝ้ามองโลงศพถูกหย่อนลงหลุมภายในสุสาน มือเล็กบีบมือใหญ่อย่างปลอบประโลมใจที่เขาต้องพบกับการสูญเสีย แม้ลอเรนซ์จะชื่อว่าเป็นผู้กระทำความผิดก็ตาม ญาติคนอื่นๆที่แวดล้อมตัวเขาต่างพูดคุยด้วยเสียงกระซิบและวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่อัปยศของผู้ตายซึ่งเป็นญาติของตน นับเป็นความน่าละอายที่ทำให้บุตรสาวทั้งสองของลอเรนซ์ ที่พำนักอยู่ต่างประเทศกับสามีไม่กล้าร่วมงาน หลายคนคาดกันว่าหุ้นทั้งหมดที่ลอเรนซ์เคยถือครองจะตกเป็นของโจนาธานเพราะบุตรสาวของผู้ตายแต่งงานกับสามีนักธุรกิจผู้มีฐานะร่ำรวย และจะไม่ยอมรับการถือครองหุ้นจากบุพการีผู้นำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูล พวกหล่อนย่อมจะยกหุ้นทั้งหมดนั้นให้แก่ญาติผู้น้อง
หลุมศพถูกกลบฝังจนมิดและพิธีการเสร็จสิ้น ญาติๆต่างแยกย้ายไปยังสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องกลับถิ่นพำนักโดยไม่พักต่อในประเทศไทยเพราะไม่มีความน่าอภิรมย์ใดๆให้ควรอยู่ต่อ ธัชรัตน์พงศ์กับคู่หมั้นขอตัว เอริคก็เช่นกัน จะเหลือก็แต่โจนาธานกับสณาจิณห์ เขาเดินจูงมือหล่อนผ่านหลุมฝังศพของใครต่อใคร หญิงสาวก็ไม่ถามไถ่

"จิลบอกว่าคุณอยากกลับไปทำงานในแบบของคุณ"

"ค่ะ คุณจะอนุญาตไหมคะ"

"ผมคงต้องอนุญาต" เขาบอกอย่างขัดใจ

เห็นท่าทางติดจะปั้นปึ่งของเขา หล่อนก็หยุดเดินทำให้คนร่างสูงพลอยหยุดเท้า แล้วหล่อนก็ยิ้มประเหลาะแจ่มใสพลางยกมือข้างที่ว่างขึ้นวางทาบลงบนตำแหน่งหัวใจของอีกฝ่ายอย่างเบามือและเอ่ยชัดเจนทุกถ้อยคำ

"ตัวห่างไม่สำคัญ สำคัญที่ตรงนี้ค่ะ"

ถ้อยความของหล่อนทำให้เขายิ้มออก

"คุณรู้ไหม…ทำไมผมยังไม่พาคุณกลับ"

"ไม่ทราบค่ะ"

"ญาติๆของผมรู้จักคุณละ ผมก็อยากให้คุณพบกับคุณพ่อคุณแม่ของผม"

"พวกท่านอยู่ตรงไหนคะ"

"ด้านโน้นครับ…ฝังไว้ข้างกัน" คนพูดบุ้ยใบ้บอกทิศทาง

เจ้าของร่างบางเดินเคียงข้างกับคนร่างสูงกระทั่งหยุดอยู่หน้าหลุมฝังศพของอัลเบิร์ต แลนด์ดอล์ฟ และสุทธินี แลนด์ดอล์ฟ

"คุณพ่อคุณแม่ครับ ผมพาแฟนมาแนะนำให้รู้จักครับ" สุ้มเสียงของชายหนุ่มลูกครึ่งอ่อนโยนยิ่ง

"ซันขอฝากเนื้อฝากตัวนะคะคุณลุงคุณป้า" สิ้นเสียงของหล่อน สายลมอุ่นก็พัดผ่านต้องผิวกายอย่างแผ่วเบาดุจการรับรู้ของคู่สามีภรรยาแลนด์ดอล์ฟ และหูของหล่อนก็แว่วเสียงของผู้หญิง

'ช่วยดูแลโจน่าแทนพวกเราด้วย'

อีกเสียงเป็นของผู้ชาย

'เราเชื่อว่าพวกเธอจะต้องปลอดภัย'

เป็นคำฝากฝังที่ช่วยตอกย้ำสัญชาตญาณของ 'แม่หมอ' เสียดายที่โจนาธานไม่อาจสดับเสียงของบุพการี

'ซันจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังค่ะ และเราทั้งคู่จะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน' หล่อนรำพึงราวกับให้คำมั่นสัญญา




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2550
0 comments
Last Update : 4 กรกฎาคม 2550 19:36:58 น.
Counter : 309 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


กาญจน์ฏี
Location :
ลำปาง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โอม ศรี คเณศา ยะ นะ มะ ฮา โอม คะชานะนัม ภูตะคะณาธิเสวิตัม กะปิตะถะชัมพูผะละ จารุภักษะณัม อุมาสุตัม โศกะวินาศะการะกัม นะมามิ วิฆเนศวะระปาทะปังกะชัม.


ลิขสิทธิ์ของงานเขียนทุกชิ้นใน blog นี้เป็นของผู้เขียนตามกฎหมาย ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อ ด้วยวิธีใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ ไม่ว่าเป็นการส่วนตัวหรือเชิงพาณิชย์ กรุณาติดต่อขออนุญาตโดยติดต่อผ่าน ได้ที่อีเมลล์ภายในบอร์ดข้อมูลส่วนตัว มิฉะนั้นอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

**คำบูชาองค์ไกรลาสบดี**
'โอม นะมัห ศิวายะ'









Friends' blogs
[Add กาญจน์ฏี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.