ประวัติศาสตร์ไม่ได้สร้างขึ้นมาได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
18 เม.ย.52 สนามธันเดอร์โดม
สำหรับแฟนบอลซึ่งเริ่มดูบอลในยุคที่ทันได้เห็น ฝีเท้าขั้นเทพ ของเพชฌฆาตหน้าหยก ปิยพงษ์ ผิวอ่อน, ทันได้เห็นลีลาคลาสสิกของมิดฟิลด์ในแบบฉบับ เกลน ฮอดเดิ้ลเมืองไทย อย่างเฉลิมวุฒิ สง่าพล, ทันได้เห็นความแข็งแกร่งของคู่แบ็กอมตะตระกูลไชยกิตติ ฯลฯ อย่างผมแล้ว
หากจะให้เลือกสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย มีเพียง 4 ทีมเท่านั้นที่จะได้รับเกียรตินั้น
ทหารอากาศ, ราชประชา, ธนาคารกรุงเทพและการท่าเรือฯ (ขออนุญาตละเว้นราชวิถีนะครับเพราะ...เกิดม่ายทัน ^^)
แต่หากจำกัดวงไว้แค่ฟุตบอลไทยในยุคโมเดิร์นที่เริ่มนับตั้งแต่การมีฟุตบอลลีก (แบบอาชีพมั่ง ไม่อาชีพมั่ง จนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในปีนี้...ปีที่ 13) ยอมรับว่าเลือกไม่ถูกเลย เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะเวลา 13 ปีนั้นอาจจะยังดู น้อย เกินไป
การไฟฟ้าฯ, บีอีซี เทโรศาสน, ชลบุรี มีศักยภาพพอที่จะไปถึงจุดนั้น
รวมถึงเมืองทองฯ ยูไนเต็ด ทีมน้องใหม่มาแรงด้วย
...
บรรยากาศคึกคักบริเวณหน้าสนามธันเดอร์โดม
กิเลนผยอง เมืองทองฯ ยูไนเต็ด...
เสียงเพลงประจำสโมสรเมืองทองฯ ยูไนเต็ดดังกระหึ่มปลุกเร้าบรรยากาศตั้งแต่ผมเริ่มย่างเท้าก้าวแรกเข้าสู่รั้วสนามธันเดอร์โดม
สำหรับผู้อ่านทุกท่าน หากจะให้ได้อารมณ์เต็มเหนี่ยว ลองนึกถึงทำนองเพลง Glory Glory Man.Utd. ดูนะครับแล้วร้องคำว่า กิเลนผยอง ด้วยทำนอง Glory Glory และร้อง เมืองทองฯ ยูไนเต็ด ด้วยทำนองตอนร้อง แมนฯ ยูไนเต็ด
ได้แต่ติดตามข่าวคราว, ดูบรรยากาศเอาจากภาพถ่าย ฯลฯ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเยือนสนามเหย้าของทีมฟุตบอลที่มาแรงที่สุดของเมืองไทยในยุคนี้ สโมสรที่ชวนให้คิดถึงบรรยากาศแบบฟุตบอลอาชีพของทางยุโรป ไม่ว่าจะเป็น...
ช็อปขายของที่ระลึกของสโมสรซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าสนาม เป็นร้านค้าที่เป็นร้านจริง ๆ ไม่ได้เป็นบูธขายของเหมือนของหลาย ๆ ทีม ผมตัดสินใจเลี้ยวขวาเข้าร้านดูสักหน่อย อาจจะไม่ใหญ่มากแต่มีสินค้าให้เลือกไม่น้อยเหมือนกันทั้งชุดแข่ง, เสื้อลำลอง, ผ้าพันคอ, ริสแบนด์, หมวก ฯลฯ และสิ่งที่ทีมอื่นไม่มี นั่นก็คือ...
หนังสือโปรแกรมหรือหนังสือ Review หนังสือเฉพาะกิจที่ออกมาเพื่อต้อนรับแม็ตช์เหย้าในแต่ละแม็ตช์ของทีมนั่นเอง
ออกมาจากช็อป ผมเห็นกองเชียร์ในเสื้อแดงเดินกันขวักไขว่ ดีที่คนเสื้อแดงเหล่านี้เป็นเสื้อแดงที่ดี ไม่เผาบ้านเผาเมืองตามบัญชาของนักโทษคนหนึ่งเหมือนคนเสื้อสีเดียวกันเลว ๆ กลุ่มนั้น :(
เข้าไปชมบรรยากาศในสนาม โอ้โห! กองเชียร์อุลตราช่างชวนให้ขนลุกเสียจริง พวกเขาตะโกนเชียร์ตั้งแต่เกมยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ มีธงประจำสโมสรผืนใหญ่ที่แฟนบอลช่วย ๆ กันส่งต่อแบบที่เคยเห็นบ่อย ๆ ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลลีกของยุโรปด้วยนะ
อีกฝั่งของอัฒจันทร์ กองเชียร์สีม่วงของการไฟฟ้าฯ แชมป์เก่าก็คึกคักไม่หยอก ผู้นำเชียร์มีการชวนแฟนบอลทั่ว ๆ ไปมาเป็นแฟนตัวเองแบบดื้อ ๆ ซะด้วย
ถ้ายังไม่มีทีมเชียร์ เชียร์ไฟฟ้าได้นะครับ
เชียร์แบบเมืองทองฯ เชียร์แบบเมืองนอก
2 ภาพ 2 แอคชัน แต่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์เดียว อารมณ์ความดุดันของกองเชียร์แชมป์เก่า
แผงหลังเจ้าบ้านวันนี้ต้องขาดณัฐพร พันธ์ฤทธิ์ไป
11 นักเตะเจ้าถิ่น นำโดยหัวหอกทีมชาติไทย ธีรศิลป์ แดงดา
ส่วนแชมป์เก่านำโดยรณชัย รังสิโย ศูนย์หน้าทีมชาติไทยเช่นกัน
แล้วเกมก็เริ่ม (เฮ้ย! วันนี้ทำไมเล่าเรื่องแบบรวบรัดจัง แป๊บเดียวเข้าเกมซะแระ ^^!)
เจ้าบ้านวันนี้ขาดปราการหลังจอมแกร่งทีมชาติไทยอย่างเจ้าโอ๊ต ณัฐพร พันธ์ฤทธิ์ไป โดยส่งนวพล ตันตระเสนีย์ลงทำหน้าที่แทน
ส่วนทีมแชมป์เก่า วันนี้โค้ชเหม่ง ประพล พงษ์พานิชมาแปลก ดร็อปผู้รักษาประตูตัวจริงอย่างอัมรินทร์ เยาดำไว้ข้างสนามแล้วส่งแซมมวล ป. คันนิงแฮมทำหน้าที่แทน
มันต้องเปลี่ยนบ้าง ทุกอย่างมันอยู่ที่ความเหมาะสมว่าแต่ละแม็ทช์ใครจะเหมาะมากกว่า ผมคิดว่าเกมอย่างนี้แซมมวลเล่นได้ นายใหญ่การไฟฟ้าฯชี้แจง
กลายเป็นว่าประตูทั้งสองฝั่งเลยเป็นการประชันฝีมือของอดีตนักเตะอัสสัมชัญ ธนบุรีในยุคไล่ ๆ กันเลย
เกมที่สูสีกันในครึ่งแรก ถูกตัดสินด้วยเวลาสั้น ๆ ช่วงทดเวลาบาดเจ็บเมื่อเจ้ามุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา...นี่ก็ศิษย์เก่าอัสสัมฯ ธนฯ ได้บอลนอกเขตโทษ โยก ๆ คลึง ๆ แล้วก็จัดการซัดเข้าไปตุงตะข่ายซะงั้น ทำเอาแซมมวลค้อนปะหลับประเหลือกพร้อมกับบ่นในใจ
เพื่อนกัน ไม่ทำกันอย่างนี้
ยายา สตาร์แอฟริกันของเจ้าถิ่นลองส่องฟรีคิกดู
การดวลกันของ 2 นักเตะทีมชาติ พิชิตพงษ์ เฉยฉิว (เมืองทองฯ) และรังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค (การไฟฟ้าฯ)
ลูกบอลมีลูกเดียว แต่ไหงปฏิภาณ เพชรพูล (การไฟฟ้าฯ) กับ ธีรศิลป์ แดงดา (เมืองทองฯ) กลับมองไปคนละที่
ปกาศิต แสนสุขทุ่มเปิดบอลให้พิชิตพงษ์
อากาศร้อน เกมดุเดือด แต่อุณหภูมิในสนามก็ไม่พุ่งปรี๊ด (ปรอท) แตกเท่ากับการโชว์ช่วงพักครึ่งหรอกเมื่อมีการนำสาว ๆ จาก FHM มาสร้างสีสัน ส่วนใหญ่เป็นการตอบคำถาม (แนว ๆ ใต้สะดือ) เช่น
ถ้ามีผู้ชาย 2 คนให้เลือก คนหนึ่งหล่อ รวย แต่ไวไวควิก ส่วนอีกคนไม่หล่อแต่เร้าใจ จะเลือกใคร?
น้องนางแกตอบได้ใจมาก
เลือกคนแรกค่ะ อยากรู้เหมือนกันว่าวันหนึ่ง ๆ จะควิกได้กี่หน...
ฟังแล้ว ผมแทบอยากจะเดินไปต้ม ไวไวควิก กินวันละ 20 หน
ความสวยงามข้างสนามบอล
โฉมหน้า 4 สาวที่ทำเอา (ปรอท) แทบแตก
สี่สาวถ่ายรูปร่วมกับกองเชียร์การไฟฟ้าฯ สังเกตคนยืนขวามือสุด นอกจากทำเนียนเอามือโอบสาว ๆ แล้ว ยังแอบทำหน้าเคลิ้มอีก
เหมือนจะกลัวว่า ปรอท ที่กำลังพุ่งปรี๊ด...จะไม่ถึงจุดแตกหรืออย่างไรไม่รู้ เกมครึ่งหลังจึงดุเดือดมากขึ้น เริ่มจากการแจก 2 ใบแดงให้กับวิศรุต พันนาสี กองหลังเจ้าบ้านกับศัตรูพ่าย ศรีณรงค์ของทีมแชมป์เก่าจากจังหวะกระทบกระทั่งกัน...ที่ดูแล้ว...แค่เหลืองก็น่าจะเพียงพอ
ถัดจากนั้นไม่นาน นักเตะทั้งสองทีมก็กรูเข้าใส่กันอีกหนจากจังหวะปะทะกันรุนแรงและยายา ซูมาโฮโรโดนนักเตะการไฟฟ้าฯ แถมเข้าดอกนึง จึงทำท่าเหมือนจะเอาคืน
เกมต้องหยุดไปพักนึง แต่สุดท้ายก็เคลียร์กันได้
เมืองทองฯ ยูไนเต็ดต้องเปลี่ยนเอายายาที่บอบช้ำเหลือเกินออกและส่งมุสตาฟา มาเนลงมาใช้ความเร็วในการกระชากเข้าทำจากจังหวะโต้กลับแทน ซึ่งก็สร้างความหวาดเสียวได้หลายครั้งหลายครา
จบเกมเมืองทองฯ ยูไนเต็ดกลับมาชนะได้อีกครั้งหลังจากสะดุดเสมอมาก่อนหน้านี้ 3 นัดรวด
วันนี้...ดีใจนะที่เก็บ 3 แต้มได้ เป็นเกมหนักมากเพราะเราเจอแชมป์เก่าซึ่งก็เล่นดี เกมนี้มันอยู่ที่จังหวะ เรามีโอกาสแล้วทำได้...จึงเป็นผู้ชนะ พิชิตพงษ์ เฉยฉิว จอมทัพของทีมเปิดใจพร้อมกับเสริมว่า ที่สะดุดเสมอมา 3 นัดผมมองว่าจังหวะไม่ดีมากกว่า แล้วทีมเรายังลองระบบไปเรื่อย ๆ ด้วย จึงอาจจะยังสะดุดอยู่
ส่วนแชมป์เก่า นี่เป็นการแพ้นัดที่ 3 เข้าไปแล้ว แต่โค้ชเหม่งมองว่ายังตัดสินอะไรไม่ได้หรอก ก็บอลลีกไม่ใช่อะไรที่ ควิก แบบนั้นนี่
ฟุตบอลลีกไม่ได้เล่นแค่ 3-5 แม็ทช์ ผมว่าต้องดูไปจนถึงเลก 2 นะ ว่าจบเลกแรกแล้วทีมไหนเป็นยังไง ทุกทีมมีสิทธิ์เป็นแชมป์หมดแหละ การต่อสู้มันยาวนะ แต่มันก็มีตัวแปร เช่น ผู้ตัดสิน ถ้าเป็นอย่างวันนี้ก็จบ เกมวันนี้ดีหมด แต่ผู้ตัดสิน (ตู๊ด-เซ็นเซอร์ครับ) เกมไม่มีอะไรเลย แต่จะทำให้ผู้เล่นต่อยกัน
ใช่แล้ว...การต่อสู้ยังอีกยาวนาน
ไม่ใช่แค่การคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เท่านั้นนะ...แต่ยังหมายถึงการสั่งสมประวัติศาสตร์ของทีมด้วย
...
รังสรรค์เปิดคอร์เนอร์เข้าไปลุ้นทำประตู
อภิเชษฐ์ พุฒตาล กัปตันทีมการไฟฟ้าฯ จ่ายบอลผ่านหน้ายายา
วิศรุตกับศัตรูพ่ายปะทะกันบ่อยครั้ง
ปะทะกันช็อตนี้เป็นเหตุให้เกิดเหตุชุลมุนวุ่นวาย
ผู้ตัดสินจึงให้ใบแดงทั้งสองคน ตัดปัญหาแบบง่าย ๆ ซะเลย
13 ปีที่ก่อตั้งฟุตบอลลีกสูงสุดของเมืองไทยขึ้นมา ทีมที่ผมยอมรับว่ามี ประวัติศาสตร์ เป็นของตนเองแล้ว น่าจะมีแค่เพียงทีมเดียวเท่านั้น...บีอีซี เทโร ศาสน...นี่คือ 1 ใน 2 ทีมที่ร่วมสังคายนาแข้งมาตั้งแต่ฤดูกาลแรกจนถึงปัจจุบัน (อีกทีมคือการท่าเรือฯ)
แต่เหตุผลที่ผมมองว่าทีมมังกรไฟสมควรได้รับการยกย่องเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกเขาเคยเป็นแชมป์มาแล้ว (ถึง 2 ครั้ง) ส่วนสิงห์เจ้าท่ายัง!
หลังจากเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ มา 12 ปี ฤดูกาลนี้เป็นปีที่ฟุตบอลลีกของไทยแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากการวางรากฐานที่มั่นคง
เมื่อฟุตบอลลีกเริ่มตั้งไข่ได้แล้ว ผมมองว่าคงไม่มีเหตุการณ์แบบ ตกชั้นแล้วยุบทีม หรือ โอนสิทธิ์ให้ทีมอื่นเล่นแทน อีกต่อไปแล้วแหละ จากนี้ไปทุกทีมจะพร้อมใจกันเดินหน้าเพื่อเขียนประวัติศาสตร์ให้กับทีมของตน
รวมทั้งเมืองทองฯ ยูไนเต็ดที่เพิ่งขึ้นมาสัมผัสลีกสูงสุดเพียงปีแรกทีมนี้ด้วย
จากทีม อะไรก็ไม่รู้ อย่างร.ร.หนองจอกพิทยานุสรณ์ ไต่เต้าขึ้นมาจนเล่นในดิวิชัน 1 ได้ในชื่อทีมว่า ไข่มุกดำ หนองจอก
จากนั้นทีมกลับเข้าสู่วัฏจักรที่ตกต่ำอีกครั้งด้วยการหล่นไปเล่นดิวิชัน 2 พร้อม ๆ กับการ รีแบนดิง ครั้งใหญ่จนกลายเป็นทีมเมืองทอง หนอกจอก ยูไนเต็ด ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ลีกสูงสุดของเมืองไทยได้สำเร็จ
สามารถพูดได้แบบเต็มปากเต็มคำว่านี่คือทีมที่พร้อมพรั่งทุกอย่าง ทั้งระบบการจัดการทีมที่ยอดเยี่ยม, แบ็กอัพดี, กองเชียร์แน่นปึ้ก, ร้านขายสินค้าที่ระลึกที่ดูทันสมัย, หนังสือโปรแกรม, เพลงประจำสโมสร ทุกปัจจัยบ่งบอกว่าทีมนี้ก้าวเข้าไปใกล้เคียงกับคำว่า ทีมฟุตบอลอาชีพ แบบต่างประเทศแล้วจริง ๆ
หนังสือ Review เล่มล่าสุดของเมืองทองฯ ยูไนเต็ดในนัดพบกับการไฟฟ้าฯ
แต่ผมก็สะดุดกับคำพูดของกองเชียร์การไฟฟ้าฯบางประโยค
พวกเราเคยเป็นแชมป์มาแล้ว
ใช่แล้ว ประโยคคล้าย ๆ กันนี้คือประโยคที่เดอะ ค็อปใช้บลัฟแฟน ๆ เชลซีมาตลอด
น่าแปลกที่คำพูดนี้ออกมาจากกองเชียร์ของทีมที่เพิ่งร่วมการแข่งขันในลีกสูงสุดเอาฤดูกาลที่ 9 ด้วยซ้ำ แถมก่อนหน้าที่เมืองไทยจะมีฟุตบอลลีก การไฟฟ้าก็ฝังตัวอยู่กับการแข่งขันระดับถ้วย ข ซะด้วยซ้ำไป...ประวัติศาสตร์ของทีมอาจจะไม่ขลัง...แต่พวกเขาก็เคยเป็นแชมป์แล้ว
ทีมที่มีประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่แค่ทีมที่ระบบจัดการต่าง ๆ ดีหรือสร้างสีสันฉูดฉาดให้กับการแข่งขันเท่านั้น...แชมป์ต่างหากที่ช่วยเติมเต็มหน้าประวัติศาสตร์ให้กับสโมสรได้
2 แชมป์จาก 2 ปี แต่เป็นแชมป์ดิวิชัน 2 และแชมป์ดิวิชัน 1 ผมว่ายังไม่เพียงพอหรอก...ต้องแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกเท่านั้นถึงจะ...ใช่เลย!
อย่างน้อยถ้าเกิดเมืองทองฯ ยูไนเต็ดก้าวตามสโมสรต่างประเทศไปอีกขั้น ด้วยการริเริ่มจัด สเตเดี้ยม ทัวร์ ขึ้นมา (ซึ่งผมเชื่อว่าในอนาคต ทีมกิเลนผยองทีมนี้มีศักยภาพที่จะทำแบบนั้นได้และพวกเขาน่าจะทำแน่ ๆ)
แฟน ๆ ที่ร่วมทัวร์จะได้ไม่ต้องจำกัดอยู่ที่การชมแค่สนามสวย ๆ, รูปถ่ายเก่า ๆ ปิดท้ายด้วยการซื้อของในช็อปติดไม้ติดมือกลับบ้านเท่านั้น แต่ยังจะได้ดูไฮไลท์สำคัญอย่างถ้วยแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกที่ตั้งโชว์อย่างโดดเด่นเป็นสง่า บางคนอาจจะขอถ่ายรูปคู่กับถ้วยใบนี้เป็นที่ระลึก...
ถ้วยที่บ่งบอกว่าเมืองทองฯ ยูไนเต็ดทีมนี้ มีประวัติศาสตร์ และเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ
Create Date : 22 เมษายน 2552 |
Last Update : 22 เมษายน 2552 18:52:04 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2004 Pageviews. |
|
|