ล่องเรือสำราญท่องทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน

ไม่ได้มาอัพ blog ซะนาน เนื่องจากยังไม่มีทริปโดนใจจนอยากจะเขียนถึง ก็มีทริปล่าสุดที่เพิ่งไปมาสดๆร้อนๆนี่เอง ที่คิดอยากจะมาแชร์ให้เป็นทางเลือกใหม่ของนักเดินทางที่เบื่อความรีบเร่งของทัวร์แบบปกติที่ต้องตื่นแต่เช้ามืด รื้อกระเป๋าแพ็คกระเป๋าเพื่อเปลี่ยนโรงแรมทุกวัน โปรแกรมเที่ยวแน่นเอี้ยดชนิดที่ลงจากรถไปเดินเที่ยวยังไม่ทันไรก็ต้องไปต่ออีกแล้ว รีบซะจนเหนื่อยไม่เหมือนมาพักผ่อน กลับมาทีกว่าจะหายเหนื่อยเป็นอาทิตย์ เกริ่นมาซะยืดยาวก็เพื่อจะชวนเพื่อนๆ ติดตามไปกับทริปล่องเรือสำราญในทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนกัน เรือที่เราจะไปลงกันนี้ชื่อ MSC Orchestra Panama


เป็นเรือสำราญหรูหนึ่งในหลายๆลำของเครือ MSC เราไปลงเรือกันที่ท่าเรือซิวิทาแวคเซีย กรุงโรม อิตาลี ก่อนจะลงเรือจะมีขั้นตอนเหมือนต้องผ่าน ตม. อีกครั้ง ต้องแสดงพาสปอตร์และตรวสแกนสัมภาระอีกครั้ง หลังจากผ่านขึ้นตอนนี้แล้ว ทางเรือจะจัดทำบัตร Pass ประจำตัวให้ผู้โดยสารแต่ละคนของใครของมัน ในบัตรนี้บรรจุข้อมูลของคนๆนั้นทั้งภาพถ่าย ฯลฯ เราจะใช้บัตรใบนี้สำหรับขึ้นหรือลงเรือตอนเทียบท่า และสำหรับจ่ายค่าบริการต่างๆในเรือ โดยหลังจากเช็คอินแล้วเราจะต้องไปชำระเงินฝากเข้าในบัตรก่อนในเบื้องต้นคนละ 150 เหรียญยูโร การเช็คอินนี้สะดวกสบายมากเราไม่ต้องถืออะไรไป นอกจากแบ็คแพ็กหรือกระเป๋าสะพายติดตัว ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ๆทางเรือจะนำส่งหลังถึงหน้าห้องหลังจากเช็คอินไม่เกิน 2 ชม. สำหรับห้องพักของเราจะอยู่ทางหัวเรือ มีระเบียงเล็กๆ พร้อมโต๊ะเก้าอี้สองชุดให้นั่งชมวิวสบายๆ แต่ก็สไตล์ห้องพักบนเรือที่แม้จะเป็นเรือสำราญขนาดใหญ่ แต่พื้นที่ภายในห้องก็ค่อนข้างจำกัด


ห้องพักเราอยู่ที่ชั้น 11 เลยได้วิวค่อนข้างสูง


ภายในห้องพักก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกมาตรฐานครบ ทั้งทีวี(ฟรีทีวีและเพย์เพอร์วิว) ตู้เย็น(มินิบาร์) ที่เป่าผม แอร์หรือฮีทเตอร์ ห้องน้ำค่อนข้างเล็กแต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัด



หลังจากสำรวจห้องแล้ว เราก็พบว่าเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่บริการของเรือสำราญที่เน้นความหรูหราสะดวกสบายกลับไม่มีน้ำดื่มบริการฟรีเป็นมาตรฐาน โดยจะมีบิลบอกราคาไว้ที่โต๊ะ ลองๆเช็คดูน้ำดื่ม
ก็ประมาณขวดละ 120 บาท(รวมภาษี) ขนาดขวดละ 1 ลิตร หรือเราอยากได้แบบสปาร์กกิ้งก็ราคาเท่ากัน ส่วนมินิบาร์ไม่ได้สนใจดูเพราะเราเตรียมซื้อขนมติดมาพอสมควร สำหรับกิจกรรมต่างๆ รวมถึงเวลาบริการของห้องอาหารบนเรือ เราจะต้องเช็คเอาจากใบแจ้งตารางต่างๆของเรือ ซึ่งทางแม่บ้านจะนำมาไว้ในห้องของเราในทุกๆวัน โดยอาหารเช้าจะเลือกได้ว่าจะกินเป็นแบบ Buffet ที่ห้องอาหารหลัก หรือ Continental Breakfast ที่ห้องอาหารรอง ส่วนอาหารเย็นจะเป็นแบบอาลาคาท แต่ถ้าเราอยากจะกินง่ายๆก็สามารถไปใช้บริการ Buffet ได้ ส่วนบางคนที่อยากจะกินห้องอาหารจีน หรือญี่ปุ่น ก็สามารถจะไปใช้บริการได้แต่ต้องจ่ายเอง บนเรือจะมีส่วนสันทนาการส่วนใหญ่อยู่บนดาดฟ้าเรือ โดยมีสระว่ายน้ำ 2 สระ สระจาุกุชชี่ ห้องฟิตเนส ห้องเกม ฯลฯ สามารถใช้ได้ฟรี ส่วนที่เสียค่าบริการก็จะมีสปา ซาลอน บาร์ต่างๆ อินเตอร์เนตคาเฟ่ คาสิโน. สำหรับขาช๊อปก็มีร้านค้าปลอดภาษีบริการอยู่หลายร้าน ทั้งเสื้อผ้า น้ำหอม กระเป๋า นาฬิกา เท่าที่สำรวจดูพบว่าน้ำหอมจะถูกกว่าซื้อที่สุวรรณภูมิอยู่พอสมควร โดยเราควรรอซื้อวันหลังๆทางเรือจะนำออกมาลดราคาเป็นพิเศษ ส่วนสินค้าที่ระลึกของเรือก็ไม่แพงมาก คุณภาพดีพอสมควร หลังเรือออกจากท่าประมาณ 6 โมงเย็น เราก็ไปใช้บริการห้องอาหารแบบอาลาคาท สำหรับห้องอาหารนี้จะเปิดให้บริการประมาณ 6.30 น.เกือบทุกวัน อาหารส่วนมากก็จะเป็นอาหารอิตาเลี่ยน ก็จะมีออร์เดิฟ มีซุป มีสลัด มีเมนคอร์ส และปิดท้่ายด้วยของหวาน
แต่ละจานมักจะมีให้เลือกได้ 2-3 อย่าง สำหรับรสชาติอาหารคาวและซุปก็ออกเค็มนำเล่นเอาผู้สูงอายุบ่นกันอุบ ส่วนเครื่องดื่มรวมทั้งน้ำดื่มต่างๆต้องเสียเงินเช่น น้ำดื่ม 120 บาท โค๊กกระป๋องพร้อมน้ำแข็ง 120 บาท จะมีดีหน่อยก็ต้อง table wine ค่อนข้างถูกเริ่มที่ไม่ถึง 1000 บาท กาแฟเอสเพรสโซ่ 60 บาท แต่ถ้าเป็นห้อง Buffet ก็จะมีบริการน้ำดื่มรวมถึงน้ำผลไม้ฟรี
วันรุ่งขึ้นเรือไปจอดเทียบท่าที่เมืองปาร์แลโม่ (เกาะซิซิลี) เกาะนี้เป็นต้นกำเหนิดของมาเฟียคนดังชื่อ อัลคาโปน นั่นเอง และเป็นเกาะที่ยังคงเสน่ห์ของอิตาเลียนดั้งเดิม


ท่าเรือเมืองปาร์แลโม่


การลงจากเรือนั้นเราต้องแสดงบัตร pass ประจำตัวของเรา เพื่อให้เจ้าหน้าที่สแกนว่าบุคคลนี้ได้ลงจากเรือโดยข้อมูลจะแสดงทั้งรูปถ่าย ชื่อ นัมเบอร์พาสปอร์ต ฯลฯ ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอน  จุดหมายแรกที่เราจะไปกันในวันนี้คือไปเยี่ยมชมมหาวิหาร Monreale Duomo ซึ่งเป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงว่าอลังการด้วยโมเสกทอง ว่ากันว่าใช้ทองถึง 2,200 กก.มาทำทีเดียว


ภายในโบสถ์



สำหรับความอลังการงานสร้างนั้นยังไม่สามารถจะไปเทียบกับในยุโรปหลายๆแห่ง และรัสเซียได้
บรรยากาศรอบๆ


สถาปัตยกรรม classic


ช่วงบ่ายเรานั่งรถต่อกันไปที่เมือง มอนเรอาเล


ที่นี่สำหรับคนที่ต้องหาของฝากญาติพี่น้อง ก็มีพวกกระเบื้องเซรามิก และศิลปะท้องถิ่น ให้ทยอยซื้อสะสมไว้ได้


ขากลับเรือได้แวะเที่ยวในเมือง มีร้านให้ช๊อปพอไม่ให้ขาช๊อปอกแตกตาย


ร้านค้าค่อนข้างเงียบเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์


ขากลับเรือเราไม่ลืมซื้อน้ำดื่มกลับไปด้วย (สำหรับกฏของเรือนั้นเราสามารถจะนำน้ำดื่มหรือเครื่องดื่ม นำขึ้นไปบนเรือได้ เว้นแต่เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งถ้านำขึ้นไปทางเจ้าหน้าที่จะให้เราฝากไว้กับห้องรับฝากของและจะให้รับกลับได้ตอนเราลงจากเรือขากลับ) ราคาน้ำดื่มตามซุปเปอร์มาเก็ตตกขวดละ 40-60 บาทต่อขนาด 2 ลิตร โค๊กกระป๋องก็ตก 60 บาท เห็นผู้โดยสารก็หิ้วขึ้นไปกินกันแทบทุกคน คนละแพ็กสองแพ็ก เรือจะออกจากท่าประมาณ 18.00 น. ผู้โดยสารจึงควรกลับมาก่อนสักครึ่ง ชม. กันตกเรือ
ก่อนอาหารเย็นมีโอกาสเก็บภาพบรรยากาศในเรือ


โถงล๊อบบี้


ลิฟท์



วันที่สองเรือเทียบท่าที่เมืองตูนิส ประเทศตูนีเซีย


ทางเข้า ตม.


ตึกรามบ้านช่องออกแนวแขก เพราะได้รับอารยธรรมและอิทธิพลจากแขกมัวร์


เราเข้าเมืองคาทาจ ซึ่งเป็นเมืองโบราณริมทะเล เพื่อเข้าไปเยี่ยมชมสุเหร่าเก่าแก่ประจำเมือง สุเหร่าแห่งนี้ล้อมรอบด้วยตลาดโบราณขายของพื้นเมืองต่างๆ ของที่น่าสนใจของที่นี่ที่เหมาะซื้อเป็นของฝากอาทิ ผลอินทผาลัมแห้งชั่งเป็นกิโลตกกิโลละ 80 บาท เครื่องหนังทำจากหนังอูฐเป็นงานแฮนเมด ราคาไม่แพง แต่ฝีมือค่อนข้างหยาบ และก็จะมีงานทองเหลืองพวกถาด ฯลฯ


กลางตลาด


พวกเครื่องทองเหลืองมีทั้งของแท้และแบบชุบ ต้องถามดีๆ แต่เครื่องหนังวิธีทดสอบง่ายๆคือเอาลนไฟดู



ถ่ายรูปกับกระทรวงการคลังเป็นที่ระลึก


หลังจากได้ซื้อของพอให้บรรเทาอาการ Onionmania แล้ว ก็เลยไปชมพิพิธภัณฑ์คาเทจ


พิพิธภัณฑ์นี้เป็นตึกเตี้ยๆมีสองชั้น การจัดวางเรียบง่ายโดยสิ่งของต่างๆวางอยู่ในตู้กระจกคล้ายตู้เลี้ยงปลา และสิ่งของที่นำมาจัดแสดงนั้นก็ดูไม่น่าสนใจเนื่องจากเป็นอารยธรรมโบราณก่อนยุคโลหะ จึงไม่มีเครื่องประดับหรืออะไรที่หรูเลิศอลังการ


ภายในส่วนอาคารจัดแสดง


งานศิลปะที่มีชื่อเสียงแต่จำรายละเอียดไม่ได้ซะแล้ว


หลังจากใช้เวลาเยี่ยมชมไม่นานนัก เราก็ไปต่อกันที่เมือง sidi bou said เมืองนี้เป็นเมืองบนเนินเขาติดทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน บ้านเรือนส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลและอารยธรรมมาจากแขกมัวร์ ตัวบ้านจะทาสีขาว ตัดด้วยสีฟ้าสดใสของประตู หน้าต่าง บวกกับวิวสวยของทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ทำให้ได้บรรยากาศโรแมนติก ชวนพักผ่อนมาก ตรงนี้สำหรับบรรดาตากล้องและนางแบบไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงในการเก็บภาพสวยๆ หลังจากเดินเที่ยวจนทั่วแล้วก็มีของที่ระลึกต่างๆให้ได้ซื้อฝากก่อนกลับด้วย เพราะจะมีร้านค้าอยู่พอสมควรเนื่องจากเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญ


จุดชมวิวต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ 1 กม.


ร้านขายของที่ระลึกพอมีให้เสียเงิน


ร้านกาแฟบรรยากาศสบายสำหรับนั่งชิวๆบนชั้นสอง


เดินพอเริ่มเมื่อยก็เริ่มเห็นวิว


ของจริงสวยมาก


ถ้ามีเวลาน่านั่งเล่นซึมซับบรรยากาศซักชั่วโมง


อีกมุม


ถึงจะอยากอยู่ต่อยังไง ก็ถึงเวลาต้องจรลีแล้ว เพราะวันนี้เรือจะออกจากท่าเมืองตูนิสในช่วงบ่ายสอง อาหารกลางวันก็กลับไปกินกันบนเรือ เลยไม่ได้รู้เลยว่าอาหารพื้นเมืองรสชาติและหน้าตาเป็นยังไง จุดหมายต่อไปของเราคือเมืองไอบีซ่า หมู่เกาะแบรี่แอริก ประเทศสเปน ซึ่งเรือจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 26 ชม. ดังนั้นวันรุ่งขึ้นทั้งวันเราจะต้องพักผ่อนอยู่แต่บนเรือ หลังจากได้ใช้เวลาว่างสำรวจร้านค้า และกิจกรรมต่างๆบนเรือ พบว่าส่วนคาสิโนของเรือปิดเปิดไม่เป็นเวลาถามดูได้ความว่า คาสิโนจะเปิดเฉพาะเวลาที่อยู่ในน่านน้ำสากล เพราะต้องปฏิบัติตามกฏหมายของประเทศนั้นๆเวลาเข้าไปอยู่ในเขตน่านน้ำของแต่ละประเทศ ส่วนร้านค้าต่างๆก็ไม่ได้เปิดตลอดเวลาเนื่องจากทางเรือจะใช้พนักงานชุดเดียวกันทำหลายๆหน้าที่ บางคนเราเห็นขายของอยู่ในร้านตอนกลางวันประเดี๋ยวเดียวมาเสริฟเครื่องดื่มที่บาร์แล้ว ส่วนโชว์ประจำวันของเรือส่วนใหญ่จะแสดงที่โรงละครตอนสองทุ่มครึ่งหลังดินเนอร์ การแสดงจะเปลี่ยนไปทุกๆวันบางวันก็เป็นละครเพลง โชว์ต่างๆ หรืออยากจะชมภาพยนต์ก็สามารถเช็ครอบฉายได้ตามโปรแกรมของเรือ โรงหนังก็ขนาดพอๆกับโรงเล็กของเมเจอร์บ้านเรา ส่วนคนที่อยากแชร์รูป อัพเดท บนโซเชี่ยลมีเดีย ก็สามารถใช้บริการอินเตอร์เนตคาเฟ่ได้ หรือถ้าเอาเครื่องมือสื่อสารมาด้วยก็สามารถซื้อชม.wifi จากบนเรือ อัตราค่าบริการจะค่อนข้างแพงตกชั่วโมงละ 480 บาท แต่เราซื้อเป็นแพ็กเกจ 59 ชม. ก็ตกชั่วโมงละ 240 บาท สำหรับโทรศัพท์ทางเรือไม่แนะนำให้โทรออกและรับสายระหว่างที่อยู่กลางทะเล เพราะเรือใช้สัญญาณผ่านดาวเทียมซึ่งจะคิดค่าบริการแพงมาก บางท่านที่ไม่รู้กลับไปจ่ายค่าโทรศัพท์กันหน้ามืด
เรือเข้าเทียบท่าเมืองไอบีซ่า ช่วงเย็น


เมืองไอบีซ่า เป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงสำหรับปาร์ตี้ยามค่ำคืนที่บรรดาไฮเอนด์ เจ็ทเซ็ท จากทั่วโลกนิยมกันมาก คล้ายๆกับพัทยาบ้านเรา จะมีสถานบริการระดับหรูถึงสุดหรูเปิดให้บริการเต็มเหนี่ยวถึงเช้า แต่ช่วงกลางวันเมืองทั้งเมืองจะเงียบๆ ช่วงหลังอาหารค่ำเราลงจากเรือไปสำรวจเมือง ซึ่งจากท่าเรือสามารถเดินไปได้(ประมาณ 3-4 กม.)


เดินเลียบถนนริมทะเล


รุ่งขึ้นจุดหมายแรกบนเกาะไอบีซ่าก็คือ ป้อมปราการเก่าแก่บนเขาซึ่งมีส่วนที่จัดแสดงอาวุธสมัยโบราณ เช่นปืนใหญ่ ฯลฯ


ส่วนจัดแสดงปืนใหญ่


ด้านบนป้อมเป็นลานโล่ง


วิวมองจากด้านบนป้อม


วิวทางลง


จุดหมายต่อไปของเราคือโบสถ์เก่าแก่ประจำเมืองไอบีซ่า ต้องนั่งรถเข้าไปอีกประมาณ 45 นาที ระหว่างทางแวะชายหาดอนุรักษ์ของเมือง(พื้นที่อนุรักษ์สาหร่ายทะเล ซึ่งเป็นที่อยู่ที่วางไข่ของปลา)


ทางไปโบสถ์ไอบีซ่าต้องเดินผ่านหมู่บ้านเข้าไป


โบสถ์ประจำเมืองไอบีซ่า


แถวย่านนี้ก็มีร้านขายของที่ระลึก เลยต้องเดินสำรวจซะหน่อย


ร้านนี้เก๋มาก ขายของประดับบ้าน




ภายในร้านมี 2 ชั้น


เก็บรูปเป็นที่ระลึกก่อนจาก


จุดหมายสุดท้ายก่อนกลับเรือ คือ walking street เลียบชายหาด แวะถ่ายรูปกับน้ำพุสวยๆ


ที่นี่มีร้านกาแฟและเค็กโฮมเมด รวมถึงไอศครีม ให้นั่งชิวชิวหลายร้าน


ระยะทางก็สัก 2-3 กิโล


ขากลับเรือผ่านคอนโดสุดหรูของที่นี่ ราคาเริ่มต้น 1 ล้านยูโร


ก่อนจากเก็บภาพเป็นที่ระลึก


เรือมุ่งหน้าสู่ท่าเทียบเรือนีซ ประเทศฝรั่งเศส เรามาถึงในช่วงเช้าพอดี



ที่ท่าเทียบเรือนี้ เรือใหญ่ไม่สามารถจะเข้าเทียบท่าได้โดยตรง เรือจะต้องจอดลอยลำอยู่ในทะเลแล้วนั่งเรือเล็กเข้ามาอีกที


ทะเลที่นี่ทั้งสวยและใส


วันนี้เราจะเข้าไปที่ประเทศโมนาโค ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆตั้งอยู่บนชายฝั่งส่วนสุดท้ายของฝรั่งเศส เพื่อไปชมการแข่งขัน F1 ในรายการมอนติคาร์โลที่โด่งดังนั่นเอง

ถนนเลียบหน้าผา วิวสวยๆ


การแข่งที่มอนติคาร์โลนี้เป็นการปิดเมืองแข่ง ดังนั้นรถบัสจึงต้องจอดให้ลงตรงจุดนี้


จากนั้นก็ต้องอาศัยสองเท้าย่ำไป


ร้านขายของที่ระลึก


ถึงซะที เสียงกระหึ่มเร้าใจจริงๆ


เก็บภาพบรรยากาศ


พระราชวัง


แผนเดิมคือจะไปที่คาสิโนแห่งมอนติคาร์โล และเลยไปที่นีซ แต่ต้องเปลี่ยนแผนกระทันหันเพราะวันนี้คาสิโนปิดและรถติดมากๆ จะไปนีซก็กลัวกลับมาไม่ทันเรือ เลยต้องเดินเล่นอยู่แถวนั้น


เจอสาวซิ่งเลยเก็บภาพมาฝาก


แล้วก็ได้เวลาจากลาเมืองสวยๆมีสีสันแห่งนี้ 


วันต่อมาเรามาถึงท่าเทียบเรือ เมืองเจนัว


เมืองเจนัวเป็นเมืองใหญ่สุดของอิตาลีทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นบ้านเกิดของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือชื่อก้องโลกนั่นเอง


จตุรัสกลางเมือง


โบสถ์ประจำเมืองหรือดูโอโม


ภายในโบสถ์


ร้านขายผลไม้หลากชนิด น่ากินมากแถมถูก


ร้านขายต้นไม้ ดอกไม้


หลังออกจากท่าเรือเมืองเจนัว วันรุ่งขึ้นเราก็กลับมายังท่าเรือซิวิทาแวคเซีย(โรม) อีกครั้ง วันนี้เรามีเวลาทั้งวันก่อนเครื่องออกตอนสองทุ่ม ที่แรกที่เราไปชมก็คือ นครรัฐวาติกัน เพื่อเข้าชมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ แต่เห็นคิวเข้าชมแล้วหวั่นๆเลยได้แต่ชมรอบๆพร้อมทั้งหาซื้อของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ


คนเยอะจริงๆ


ร้านขายของที่ระลึกแถวๆนั้น เด่นๆก็จะเป็นพวกพระ ไม้กางเขน เสื้อ กระเป๋า ผ้าพันคอ ส่วนใหญ่ราคาเหมือนๆกัน


ภายในอีกร้านนึง


ร้านนี้มีกาแฟขายในร้านด้วย


บ่ายๆพอมีเวลาเหลือเราจึงได้ไปชมโคลอสเซี่ยม ซึ่งเป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ในสมัยโบราณใช้สำหรับการต่อสู้ของแกลดิเอเตอร์ หลังจากนั้นโปรแกรมสุดท้ายก่อนกลับก็คือไปชมน้ำพุเทรวี่ เพื่อไปโยนเหรียญอธิฐานขอให้ได้กลับมาอีกครั้ง แถวๆน้ำพุเทรวี่เป็นถนนช๊อปปิ้งสำหรับสินค้าไฮเอน เช่นหลุยส์ วิคตอง ชาแนล บัลลี่ อาร์มานี่ ฯลฯ สำหรับขาช๊อปที่ยังซื้อได้ไม่ครบได้มาเก็บตกก่อนกลับ สุดท้ายก่อนไปสนามบินสำหรับคนที่มีเคลมภาษีคืน ควรเตรียมกรอกเอกสารให้เรียบร้อยและแยกบิลตามบริษัทที่รับเคลมภาษี ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3 เจ้า ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นสินค้าไฮเอนจะเป็นบริษัท Blue...(จำไม่ได้แล้ว) ถ้าไม่เตรียมไว้ก่อนจะฉุกละหุกมากเพราะคิวยาวมากๆ ถ้าเอกสารไม่พร้อมนี่เจ้าหน้าที่ศุลกากรของเค้าไล่ให้ไปต่อแถวใหม่ทีเดียว สินค้าที่เคลมภาษีได้จะต้องมีราคาตั้งแต่บิลละประมาณ 170 ยูโรขึ้นไป และตอนที่เราไปเคลมภาษีนี่จะต้องนำสินค้าไปแสดงด้วย ดังนั้นจึงโหลดลงกระเป๋าไม่ได้ ต้องถือใส่แบ็คแพ็คหรือถือถุงขึ้นเครื่องไป.




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2556
1 comments
Last Update : 23 พฤษภาคม 2557 20:38:49 น.
Counter : 4495 Pageviews.

 

จะตามอ่านทุกทริปค่ะ

 

โดย: Wasanasa brown IP: 1.47.72.252 15 ธันวาคม 2557 21:18:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


sg28796
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sg28796's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.