Heading to North, Destination Chiangrai
เช้าวันที่ 29 ธ.ค. ตื่นกันแต่เช้า น้องชายขับรถจากบ้านคุณแด๊ด (ห่างจากบ้านฉัน 10 นาที) มารับพวกเราแต่เช้า เพื่อล่องเหนือขึ้นไปจ.เชียงราย อันเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทาง
ตั้งแต่เมื่อวาน พอรู้ว่าตาอ้วนพลาดเที่ยวบิน สมาชิกทุกคนหงุดหงิดขุ่นมัวกันพอสมควร เพราะรู้ว่าอะไร ๆ เริ่มไม่เป็นไปตามแผนแล้ว หลังจากฉันพยายามสงบสติอารมณ์ ก็โทรกลับไปหาตาอ้วน น้ำเสียงพี่แกดีใจสุด ๆ เพราะฉันไม่ได้ด่าอีกแล้ว แถมยังช่วยกันระดมกำลังสมองหาทางแก้ปัญหานี้ (ฉัน ตาอ้วน น้องชาย น้องเหมียว)
สรุปตาอ้วนบอกว่า ได้ติดต่อกับบริษัทHISจองตั๋วเครื่องบินไฟลต์เช้าของTGให้เรียบร้อย งานนี้ตาอ้วนเสียค่าโง่อักโข (ค่าตั๋วเครื่องบินใหม่ 15XXXX เยน แถมตั๋วของNW ก็ขอคืนเงินได้ไม่ถึงครึ่ง เพราะเป็นตั๋วโปรโมชั่น) ที่แย่ไปกว่านั้น เมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิตาอ้วนต้องรีบจับเครื่องบินในประเทศ บินขึ้นเชียงรายโดยทันที เพราะพวกเราจะไปรอรับที่นั่น....ปัญหามีอยู่ว่า ช่วงปีใหม่อย่างนี้ ตั๋วเครื่องบินเต็มหมด การจองตั๋วแบบกระทันหัน ช่างเป็นmission impossible จริง ๆ
ฉันพยายามเช็คสายการบินทางอินเตอร์เนต ไม่ว่าจะเป็น โอเรียนท์แอร์ / นกแอร์ / การบินไทย / แอร์เอเชีย ฯลฯ ไม่มีที่นั่งชั้นประหยัดเที่ยวบินไปเชียงรายหลงเหลืออยู่แม้แต่ที่เดียว เดือดร้อนน้องเหมียว พยายามติดต่อบริษัทขายตั๋วที่เป็นเจ้าจำนำกัน หาตั๋วชั้นธุรกิจไปลงเชียงใหม่ให้ได้ นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายที่มีอยู่ สำหรับตาอ้วน ถึงน้องชายจะบอกว่า โห...ขับรถไปรับที่เชี้ยงใหม่ แล้วย้อนกลับมาเชียงราย อ้อมโคด ๆ แต่พวกเราก็ไม่มีทางเลือกดีกว่านั้น
สุดท้ายน้องเหมียวช่วยเป็นธุระให้ทุกอย่าง ไปรับตั๋วให้ (ออกเงินไปก่อน) แล้วยังมารอรับตาอ้วนที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อยื่นตั๋วให้ พร้อมกับเอากระเป๋าเดินทางใบโตกลับไปไว้ที่บ้านตัวเอง (ให้ตาอ้วนแบ่งเอาเสื้อผ้าบางส่วนใส่กระเป๋าใบย่อม เพื่อใช้สำหรับทริปเชียงรายเท่านั้น)
กำหนดการเครื่องลง ประมาณบ่ายโมงกว่า (จำเวลาเป๊ะ ๆ ไม่ได้) น้องเหมียวก็ไปยืนรอล่วงหน้าก่อนเครื่องลงครึ่งชั่วโมง รอ ร้อ รอ....จนหน้าจอมอนิเตอร์เปลี่ยนข้อมูลบอกเวลาเครื่องลง ไฟล์TGที่ตาอ้วนมานี่ตกหน้ามอนิเตอร์ไปแล้ว ก็ยังไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของนายเจ้าปัญหาคนนี้เลย...น้องเหมียวและน้องชายโทรประสานกันตลอดเวลาที่พวกเราอยู่ในรถ คุณแด๊ดกับแม่เริ่มสันณิษฐานกันไปต่าง ๆ นา ๆ เอ๊ะ....หรือว่าลูกเขยเราจะตกเครื่องอีกรอบ!
น้องเหมียวว่าเดินหาตาอ้วนจากเทอร์มินัลนึงไปสุดเทอร์มินัลนึงในเวลา 2 ชั่วโมงกว่า หากเอาเครื่องมังโปเก (万歩計)ซึ่งเป็นเครื่องที่วัดเดิน 1 หมื่นก้าวมาวัดแล้วละก็ เครื่องคงรวนไม่เป็นท่าไปแล้ว สุดท้ายตาอ้วนก็เดินนวยนาดออกมา เฮ้อ...โล่งออกกันทั้งบ้าน
เมื่อเจอตาอ้วนแล้ว น้องเหมียวซักไซร้ไล่เลียงได้ความว่า พี่แกเสียเวลาไปที่เคาน์เตอร์การบินไทย สำหรับผู้โดยสารที่จะเดินทางต่อไปยังจังหวัดอื่นภายในเมืองไทย เพื่อออกตั๋วชั้นประหยัดไปเชียงราย....ตาอ้วนหาตั๋วบินมาเชียงรายได้! ตาอ้วนว่าได้เล่าปัญหาให้กับ Inflight Manager/ Purserฟัง เขาจึงช่วยติดต่อกับทางGround hostess พาตาอ้วนไปซื้อตั๋ว (ที่ทางTGสงวนเอาไว้สำหรับ emergency case ปกติจะไม่นำออกมาจำหน่าย) เจ้าตัวจึงเดินออกมาพร้อมกับความบานของหน้าเท่าขนมเปี๊ยะไหว้พระจันทร์ เอากับพี่แกสิ....บทจะสามารถขึ้นมา อะไร ๆ ก็ทำได้หมด แต่บทจะล้มเหลวขึ้นมา ทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า แล้วสุดท้ายงานนี้ก็น้องเหมียวอีกแหล่ะ ที่ต้องเอาตั๋วชั้นธุรกิจไปเชียงใหม่ไปรีฟัน (ก็โดนหักเงินไปตามระเบียบ) เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า เพราะตาอ้วนไม่รักษาเวลา ย้อนกลับมาที่การเดินทาง 4 ชีวิตกันต่อ น้องชายขับรถมือเดียวไม่ต้องเปลี่ยน (ชินกับการขับรถระยะทางไกล ๆ มาก เพราะต้องขับรถไปตรวจเหมืองบ่อย ๆ) แต่ก็ต้องมีการแวะพักรถ ออกมาเดินยืดแข้งยืดขาให้เลือดหล่อเลี้ยง เข้าห้องน้ำห้องท่า หาซื้อของขบเคี้ยว (ฉันชอบมากการเดินทางแบบนี้) จุดแรกที่พวกเราแวะทานอาหารเช้ากัน คือ ปั๊มน้ำมัน (จำจังหวัดไม่ได้แล้ว) ขนาดใหญ่โตมหึมา พื้นที่กว้างมาก มีศูนย์อาหารขนาดย่อม สะอาดสะอ้านอยู่ทางซักหนึ่งของปั๊ม ก่อนซื้ออาหารต้องไปแลกซื้อคูปองก่อน (ทำยังกะในห้าง ฯ) ฉันสั่งข้าวมันไก่ ของชอบมากิน ....ไม่อยากจะโม้ว่าฉันทำได้อร่อยกว่านี้เยอะ คุณแด๊ดกับแม่ก็สั่งข้าวแกงมั่ง ข้าวหมูแดงมั่ง รสชาติอาหารโดยรวม ๆ ก็พอประทังหิวไปในแต่ละมิื้อ ไม่ถึงกับ ว๊าว...แล้วจะกลับมากินอีก แต่ที่ติดใจกว่าอาหารเช้าคือฝรั่ง และมะม่วงมุมนี้ ราคาพอสะดุ้งนิด ๆ คือฝรั่งลูกเล็ก 20 ลูกใหญ่ 25 ส่วนมะม่วงลูกละ 20...ราคาผลไม้เนี่ย กินข้าวได้อิ่มเลยว่ะ แต่ก็ไม่ผิดหวัง อร่อยจริง ๆ ฉันกับแม่นั่งข้างหลัง จ้วงกันหนุบหนับ...ส่งฝรั่งไปให้น้องชายข้างหน้าบ้าง ส่วนคุณแด๊ดบ้วนปากแล้ว ไม่เอาเลย...อิอิ เสร็จเรา
มาถึงพิษณุโลกเที่ยงกว่า ๆ ฉันขอให้น้องชายแวะพาไปดูที่ดินที่น้องชายซื้อไว้ ที่ดินขนาดไม่ใหญ่นัก แค่ประมาณ 200 ตารางวาเท่านั้น เป็นที่อยู่ระหว่างในเมืองกับนอกเมือง ฉันก็อธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่าแถวนั้นมีบ้านจัดสรรเยอะ และสามารถเดินลงแม่น้ำน่านได้ไม่เกิน 5 นาที น้องชายซื้อไว้เฉย ๆ (เพราะช่วยลดภาษีรายได้ประจำปีที่ต้องเสีย) ยังไม่มีโครงการจะทำอะไร แต่เห็นเจ้าตัวว่าอาจจะปลูกเป็นหอพักให้นักศึกษาม.นเรศวรมาเช่า (เพราะอยู่ไม่ไกลจากม.นเรศวร) แม่เป็นคนจ.พิษณุโลกโดยกำเนิด ย้ายมาอยู่กรุงเทพ ฯ ก็ตอนมหาลัย แล้วก็กลายมาเป็นคนกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็เคยอยู่ที่นี่ตอนเด็ก ๆ แล้วก็ไป ๆ มา ๆ บ่อย ๆ (ถึงจะไม่บ่อยเท่าฉะเชิงเทรา) แต่ก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วคุณป้า (พี่สาวคนโตของแม่) ก็ยังอยู่จ.นี้ ญาติทางแม่หลายคนก็อยู่ที่นี่ทั้งนั้น
มาพิษณุโลกทั้งทีจะไม่มาวัดใหญ่ (วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร) เพื่อไหว้หลวงพ่อพุทธชินราชก็กระไรอยู่ พระคู่บ้านคู่เมืองเลยเทียว ภายในอุโบสถยังดูสวยงาม ขลัง และอลังการไม่ต่างจากสมัยฉันเด็ก ๆ ผิดกันที่ทางวัดออกกฎระเบียบอะไรมากขึ้น เช่นมีผ้านุ่งให้สวมสำหรับคนนั่งกางเกงขาสั้น ห้ามยืนถ่ายรูป อาจจะเป็นเพราะมีนักท่องเที่ยวต่างถิ่นมาสักการะมากขึ้น
น้องชายก็เช่าพระพุทธชินราชรุ่นปิดทอง 2547 มา 10 องค์ (อ๊ะ อ๊ะ...อย่าเพิ่งงงว่าน้องชายจะเช่ามาแจกใครเยอะขนาดนั้น) คือใจจริงน้องชายต้องการทำบุญอยู่แล้ว พระตกองค์ละ 50 บาท น้องชายก็เลยเช่ามา 10 องค์ ส่วนฉัน 1 องค์ก็พอ (ขนาดจะทำบุญยังงกเลย ) แต่ว่า 1 กล่องใหญ่ บรรจุพระเครื่อง 12 องค์ ฉันก็เลยเปลี่ยนใจเช่า 2 องค์ และให้น้องคานิไป 1 องค์ จากนั้นก็เดินหาซื้อของฝาก ภายในบริเวณวัดมีร้านค้าขายของกิน ของดีจังหวัดพิษณุโลกมากมาย สมัยก่อนที่ขึ้นชื่อก็เห็นจะเป็นกล้วยตาก / กล้วยอบน้ำผึ้ง / หมี่ซั่ว แต่เดี๋ยวนี้ โห...เฮะ...อะไร ๆ ก็มี
สมัยก่อนฉันต้องขอให้แม่ซื้อน้ำตาลสดที่แม่ค้าหาบคอนมาขายเป็นประจำ เที่ยวนี้มองหาไม่เห็นเลย จะมีก็เมี่ยงคำเสียบไม้...ขายมาราธอนมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีขายอยู่
น้องชายชี้ชวนบอกให้ฉันถ่ายรูปข้าวเกรียบว่าว ที่แม่ค้ากำลังปิ้งให้เห็นจะ ๆ สมัยก่อนร้านที่เราจะซื้อของฝากกลับบ้านบ่อย ๆ คือร้านรัตนา แล้วก็ซื้อมาตลอดเป็นเวลานานนับ 10 ปี ไม่แต่เพียงครอบครัวฉันเท่านั้น น้า ๆ ลุง ๆ ทุกคนก็ซื้อจากร้านนี้ด้วย แต่มาเที่ยวนี้ คุณแด๊ดซื้อจากร้านอื่น (อาจจะเปลี่ยนเจ้ามานานพอสมควร แต่ฉันไม่ได้กลับไทยบ่อย ๆ ก็เลยไม่รู้) ฉันซื้อกล้วยอบน้ำผึ้งใส่ถุงละครึ่งโล (50 บาท) แล้วก็พวกมันอบเนย ฟักทองอบแห้งใส่งา ขนมบนหิ้งนี้ขาย 3 ถุงร้อยหมด ข้อดีราคาถูก และเบา ข้อเสีย ขนข้ามน้ำข้ามทะเลมา หากไม่แพ๊คอย่างดี และหิ้วโดยระวัง ขนมจะแตกหมด อาหารกลางวันแม่กับคุณแด๊ดตั้งใจจะไปกินข้าวมันไก่เจ้าอร่อยที่ลุงถึกแนะนำ ฉันว่าที่พิษณุโลกเนี่ย...คนจีนไหหลำอยู่เยอะ (คุณตาของฉันก็มาจากไหหลำเหมือนกัน) มีข้าวมันไก่อร่อย ๆ หลายร้าน ชื่อร้านมักจะเป็นโก....ทั้งหลาย ร้านที่ว่าจะไปกินนี้ มีต้มก้านเผือกดองที่แสนจะอร่อย เป็นเมนูที่ฉันชอบกินตั้งแต่เด็ก ที่อื่นทำยังไงไม่รู้แต่ที่ครอบครัวฉันทำ คือ เอากระดูกหมูต้มน้ำ ใส่ก้านเผือกดอง ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และโรยหน้าด้วยคื่นไช่กับกระเทียมเจียว อร่อยสุด ๆ ไปเลย แต่...ตอนที่ไปถึงร้านขายหมด และกำลังจะเก็บร้าน ทำไงดี....เคว้งคว้างกันอยู่สักพัก น้องชายก็ขับรถไปเรื่อย ๆ ฉันตาไวเห็นป้ายข้างทางบอกก๋วยเตี๋ยวชากังราว ตอนแรกแม่กับคุณแด๊ดทำท่าอิดออด เพราะเป็นร้านข้างทางที่ไม่เคยลองกินมาก่อน ถึงจะอยู่ในตึก 2 ห้องก็ตาม แต่ตอนนั้นก็บ่ายแก่ ๆ หิวกันซกทุกคน บวกกับน้องชายผู้เป็นสารถี และมีอำนาจสั่งการจอด/แวะที่ไหนฟันธงว่าร้านนี้แหล่ะ ขี้เกียจหาแล้ว พวกเราก็เลยลงไปนั่งสั่งก๋วยเตียว ขนาดเป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ ลูกค้าก็ยังเข้าร้านไม่บางตา...แม้จะไม่ถึงขนาดแน่นขนัดต้องเล่นเก้าอี้ดนตรี...ร้านสะอาดสะอ้าน อากาศอุณหภูมิไม่ถึงขนาดเตาอบ เพราะร้านไม่มีแอร์ เอาเป็นว่าโดยรวม ๆ ใช้ได้เลย ราคาอาหารส่วนใหญ่ ชามละ 25 บาท พิเศษก็ 30 บาท นอกจากรอนานไปหน่อย ทุกอย่างถูกใจพวกเราหมด ทั้งรสชาติอาหาร ราคา และการบริการ ก๋วยเตี๋ยวชากังราว หรือบางที่เรียกก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยนี้ เป็นก๋วยเตี๋ยวที่ใส่ถั่วฝักยาว ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา มะนาว โรยหน้าด้วยถั่วป่น ที่ฉันเคยกินสมัยก่อนที่ตลาดพิจิตร คุณป้าพี่สาวแม่พาไปกิน จะใส่เนื้อหมูแดงติดมันเยิ้ม ๆ หั่นเป็นชิ้นจิ๋ว ๆ ๆ มาด้วย บรรดาก๋วยเตี๋ยวห้อยขา พับขา กางขา ร้านขนานริมแม่น้ำน่านที่ฉันเคยทานนานมาแล้ว ก็เป็นก๋วยเตี๋ยวสไตล์นี้ทั้งสิ้น เมื่ออิ่มหมีพีมัน แม่จ่ายตังค์ค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว น้องชายก็ขับรถบึ่งขึ้นลำปางโดยทันที โดยไม่ได้แวะที่ไหนอีกเลย (ยกเว้นเข้าห้องน้ำตามปั๊ม) ตอนนี้ที่น้องเหมียวเริ่มโทรเข้ามา เนื่องจากเงาของตาอ้วนยังไม่ปรากฎ
อย่ามาถามเส้นทางกับฉันเลย...เพราะขับรถไม่เป็น ก็เลยไม่เคยคิดจะจำเส้นทางกับเค้า ขึ้นรถทีไรก็หลับทุกทีไป เลยรู้แต่ว่าลำปางเป็นจุดที่จะต้องตัดสินใจว่าจะขึ้นเชียงราย หรือขึ้นเชียงใหม่ น้องชายก็ร้อนใจ เพราะน้องเหมียวว่าตาอ้วนหายตัวไปอย่างลึกลับ ทำไงดี...น้องชายจึงตัดสินใจไปตามเส้นทางที่ขึ้นเชียงใหม่ เพราะหากไม่รีบตัดสินใจตอนนี้จะถึงเชียงรายมืดค่ำแน่ ๆ แต่เมื่อน้องเหมียวเจอตาอ้วนเรียบร้อยแล้ว น้องชายจึงเปลี่ยนเส้นทางอีกรอบ เพื่อขึ้นตรงเชียงราย แต่ก็ต้องขับรถอ้อมไป 4-50 กิโลเหมือนกัน
เอาเป็นว่าตอนนี้เรา 4 คนเริ่มสบายใจแล้ว ยังไงตาอ้วนเหยียบผืนแผ่นดินไทยไว้ก่อนก็ค่อยยังชั่ว เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง น้องเหมียวพาตาอ้วนไปนั่งดื่มกาแฟฆ่าเวลาก่อนขึ้นเครื่องในประเทศ พอส่งตาอ้วนขึ้นเครื่องโบกมือลา น้องเหมียวก็โทรมารายงานผล mission accomplished น้องชายก็จัดการรีบซิ่งบึ่ง ตรงไปสนามบินเชียงรายทันที พวกเราไปรอตาอ้วนที่สนามบินเชียงรายร่วม 2 ชั่วโมงได้ จากตอนแรกนึกว่าจะไปไม่ทัน เพราะเครื่องจะลงเสียก่อน ที่ไหนได้เครื่องบินดีเลย์ไปชั่วโมงกว่า ไถ่ถามตาอ้วนภายหลังได้ความว่า เครื่องบินต้องรอผู้โดยสารกลุ่มใหญ่ ประมาณ 10 กว่าคน ที่ยังมาไม่ถึงสนามบิน เมื่อมาถึงและเจอหน้ากัน
สวัสดีครับ ขอโทษนะครับ ตาอ้วนยกมือไหว้คุณแด๊ด กับแม่ ทั้งทักทายและขอโทษไปในเวลาเดียวกัน
2 คำนี้เป็นศัพท์ที่ถูกบันทึกในพจนานุกรมความจำขนาดจิ๋วของตาอ้วน ส่วนชื่ออาหารเนี่ย...ตาอ้วนทำได้อย่างขึ้นใจ ทุกครั้งที่เจอหน้าน้า ๆ อา ๆ ลุง ๆ ป้า ๆ ญาติผู้ใหญ่ของฉันทุกคน ตาอ้วนเป็นต้องรีบยกมือไหว้ในทันที เพราะเจ้าตัวหมั่นสังเกต บันทึกพฤติกรรมของฉัน และทำตามโดยที่ไม่ต้องให้คอยบอก คอยเตือน และอีกครั้งก่อนจะลาจาก ตาอ้วนก็ต้องยกมือไหว้โดยไม่ต้องสอน (อา ๆ ของฉันชมว่าตาอ้วนใหว้สวยกว่าฉันเสียอีก ) หลังจากเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อย คุณแด๊ดกับแม่ก็พาฉันไปกินร้านอาหารเหนือ ชื่อตองตึง ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นร้านนี้ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องจังหวัดเชียงรายนักหรอก เคยมาเที่ยวกับที่ทำงานแม่ตอนสมัย 20 กว่าปีที่แล้ว ก็จำอะไรไม่ค่อยได้ ร้านตองตึงนี้รู้สึกว่าเป็นร้านของพี่/น้องของเมียเพื่อนคุณแด๊ด มาทีไรก็กินทุกที แต่ก็ไม่ได้ลดอะไรเป็นพิเศษหรอก ที่จริงเห็นแม่ว่ามีร้านอื่นที่รสชาติดีกว่านี้ แต่หากดูบรรยากาศรวม ๆ แล้วร้านนี้ดีกว่า ด้วยความที่เสียเวลารอตาอ้วนนาน กว่าจะได้ทานอาหารเย็นก็ดึกโขอยู่ 3 ทุ่มกว่าแล้วหล่ะ คุณแด๊ดก็ไม่แน่ใจว่าร้านจะปิดไปแล้วยัง จึงต้องโทรถามเพื่อนก่อน (ย้ายสำมะโนครัวมาเป็นคนเชียงรายเรียบร้อย) แต่พอเข้าไปนั่งได้ไม่นาน ทางร้านก็ขอให้เรารีบสั่งอาหาร เพราะเป็นlast orderแล้ว
แม่ก็สั่งอย่างคล่องแคล่วว่องไว แทบไม่ต้องขอการตัดสินใจจากฉันเลย (เพราะฉันไม่ค่อยรู้จักอาหารพื้นเมืองของทางเหนือ) แม่เสียอีกรู้มากกว่า เพราะมาเที่ยวเชียงราย-เชียงใหม่หลายรอบแล้ว อาหารเหนือที่ฉันรู้จักก็ น้ำพริกหนุ่ม / น้ำพริกอ่อง / แหนม / ไส้อั่ว / แคบหมู / แกงโฮะ / แกงฮังเล นอกนั้นแบ๊ะ ๆ แล้วรสชาติที่ฉันชอบต้องออกหวานปะแล่ม ๆ ด้วย อันเป็นรสชาติมาตรฐานของคนภาคกลาง เมื่อลองได้ชิมอาหารเหนือแท้ ๆ ฉันถึงรู้สึกไม่คุ้น เพราะมันไม่หวานอย่างที่ฉันเคยกิน น้ำพริกหนุ่มที่ทางร้านยกมาให้มี 2 แบบ คือใส่แมงดา กับไม่ใส่แมงดา ปกติฉันทานน้ำพริกแมงดากระปุก ๆ ขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ (ถึงจะไม่โปรดมาก) แต่พอลองทานน้ำพริกหนุ่มใส่แมงดาแล้ว...ไม่ไหวเลย กลิ่นพิลึก เหมือนเอาน้ำหอมมาพรมใส่อาหารคาว ผิดกับตาอ้วน ถึงแม้จะลองกินเป็นครั้งแรก กลับจ้วงเอาจ้วงเอา
พี่แกบอกว่า 面白い臭い ใฝ่ฝันนักหนาว่า จะต้องกินอาหารเหนือแท้ ๆ ให้ได้ แต่พอลองเข้าทีนึง ไม่มีจานไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษเลย แต่รสชาติก็ไม่ถึงกับไม่อร่อย ก็คงจะอร่อยตามประสาคนท้องที่ ซึ่งคนจรอย่างฉันไม่คุ้นเคย
มื้อนี้แม่จ่าย แล้วพวกเราก็กลับไปนอนตีพุงที่โรงแรม....
Create Date : 17 มีนาคม 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 17 มีนาคม 2550 15:05:52 น. |
Counter : 1977 Pageviews. |
|
|
|