All Blog |
กินเพื่ออยู่ หรือ อยู่เพื่อกิน She says: วันนี้คนพลุกพล่าน...เกินไป! ทำให้ประสาทสัมผัสของฉันทำงานขัดข้อง ไม่อย่างนั้นฉันคงอิ่มไปนานแล้ว เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าอาการสำลักน้ำเป็นยังไง ทั้งที่ไม่เคยจมน้ำ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้จมูกอยู่ใต้ผืนน้ำมาก่อน เขานั่งลงยิ้มแต้ ก่อนหันไปพูดกลั้วหัวเราะกับบริกร “บอกแล้ว ว่าเธอรู้จักผม” บริกรหนุ่มยิ้มบางเบาเหมือนทำไปตามมารยาท ก่อนหันมาเอ่ยเสียงเรียบกับฉัน “งั้นที่สั่งใว้เมื่อครู่ก็...” ชายหนุ่มละไว้ สายตาหลุบต่ำลง “เปลี่ยนเป็นทานที่นี่แล้วกันครับ แล้วก็...ทุกอย่างที่เธอสั่ง ขอผมอีกชุด อ้อ รวมทั้งจานที่คุณเก็บไปแล้วด้วย” ผู้ชายตรงหน้าฉันยังยิ้มไม่หุบ ราวกับจะโปรยเสน่ห์ให้ชายหนุ่มที่ถือถาดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าก็ไม่ปาน ส่วนฉันยังคงไอโขลกอย่างควบคุมไม่ได้ แสบไปทั้งคอและจมูก ขณะที่เขา...ยังคงยิ้ม “หายไปเลยนะคุณ ไปอยู่ไหนมา ไม่ยักเจอกัน” “ก็...” ...กำลังพยายามหลบหน้าคุณอยู่น่ะซี ฉันตอบหัวใจตัวเองไปแบบนั้น แต่ปากกลับไม่ขยับ แหงละ...เป็นใครก็ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ทั้งนั้นแหละ ถ้าคนที่คุณบอกรักไปเมื่อวันก่อน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มานั่งถามโน่นถามนี่อยู่ตรงหน้า บริกรมาไวกว่าใจคิด ไอศกรีมช็อคโกแล็ตพาเฟ่ดับเบิ้ลวิปปิงครีมสองถ้วย และสเต๊กเนื้อสับราดซอสเกรวี่ชุ่มฉ่ำวางอยู่ตรงหน้า กับชามะนาวอีกหนึ่งแก้วใหญ่ “ว้าว คิดไว้แล้วเชียวว่ากินเหมือนคุณต้องไม่ผิดหวัง”...เขาพูดได้...น่ารัก ใช่...ฉันบอกรักคนบ้าๆคนนี้ไปได้ยังไงกัน แถมบอกไปตั้งสองครั้ง เหอะ! อยากจะบ้าตาย ฉันรู้จักผู้ชายคนนี้มาเจ็ดปีเต็ม ในเจ็ดปีนั้นเวลาของคำว่าเพื่อนก็กลับกลายเป็นเวลาของความรักไปถึงสองในสาม และสองสัปดาห์ก่อน ฉันบอกรักเขาผ่านข้อความสั้นทางโทรศัพท์ “ฉันชอบคุณนะ” ฉันส่งออกไป “ผมก็ชอบคุณเหมือนกัน แหม...เขิลลล” เขาส่งกลับมาเช่นกัน ประโยคแค่นั้นทำเอาใจฉันเต้นโครมคราม คงจะดีมาก หากเขาคิดชอบฉันจริงๆ เพราะที่ผ่านมา ความรู้สึกชอบมักจะอยู่ในขอบเขตของคำว่าเพื่อนเสมอ แต่แล้ว จากนั้นเขาก็ปฏิบัติต่อฉันเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น... ขณะที่ฉันเองกลับเป็นฝ่ายรู้สึกผิด จริงสินะ...ปกติคงไม่มีใครเขาบอกรักกันทางข้อความกระมัง เขาคงไม่เชื่อ...ไม่เป็นไร ชายหนุ่มตรงหน้ากินไอศกรีมคำสเต๊กคำ เหมือนเป็นกับแกล้ม ทำให้ไม่รู้ว่าไอ้ที่เป็นรอยอยู่เหนือริมฝีปากนั่นคืออะไรระหว่างซอสเกรวี่กับช็อคโกแล็ต ฉันส่งกระดาษเช็ดปากสีน้ำตาลอ่อนสวยให้ เขารับไปพร้อมรอยยิ้ม “วันก่อนคุณสั่งแบบนี้หรือเปล่า” คำถามของเขาผ่ากลางความคิดของฉันอย่างไม่เกรงใจ ...และมันก็ทำให้การบังคับทิศทางของช้อนไอศกรีมในมือฉันเสียศูนย์ไปวูบหนึ่ง ไม่กี่วันต่อจากนั้น ฉันก็พยายามอีกครั้ง ไม่หรอก...ฉันไม่ได้พูดออกไป ฉันไม่ใช่คนกล้าอะไรแบบนั้น ฉันทำได้แค่บรรจงถ่ายทอดความรู้สึกผ่านตัวหนังสือโย้เย้บนกระดาษสีน้ำตาลอ่อน สีเดียวกับที่ส่งให้ไปเมื่อครู่ จ่าหน้าซองถึงเขาก่อนติดแสตมป์ดวงที่คิดว่าสวยที่สุดในชุด และกำลังยืนลังเลอย่างแรงอยู่หน้าตู้ไปรษณีย์หน้าบริษัทขณะที่เขาเดินตรงเข้ามา เอ่ยถึงร้านสเต๊กเปิดใหม่ที่ได้ข่าวว่ารสชาติดีอย่าบอกใคร และลากฉันมาที่นี่...ทั้งๆที่ยังถือจดหมายไว้ในมือ ก็”วันก่อน”ของเขานั่นล่ะ ฉันจำไม่ได้หรอกว่าวันนั้นตัวเองสั่งอะไร แต่ที่จำได้แน่ๆคือเขียนอะไรลงไปต่างหาก โดยสรุปคือ ฉันบอกไปว่าความรู้สึกของฉันมันเป็นของจริง เผื่อว่าเขาจะไม่เชื่อ และให้ความมั่นใจกับเขาไปอีกว่าไม่ต้องตกใจไป ขอเวลาสักหน่อย แล้วทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม...ทำเท่ห์ไปเสียอย่างนั้น และที่จำได้แม่นแม้อยากลืมก็ทำไม่ลงคือ ฉันยัดจดหมายฉบับนั้นใส่มือเขาและหนีออกมาราวกับนางเอกละคร (แน่นอนว่าภายหลังจากเราเช็คบิลและฉันจ่ายส่วนชองตัวเองให้เขาไปเรียบร้อยแล้ว) แม้วันนั้นคนไม่เยอะเท่าวันนี้ แต่ฉันก็ไม่ร้อนรนมากเท่าไหร่นัก เพราะยังไงเขาก็ต้องรอเงินทอนอยู่ดี ไม่มีทางตามฉันทันแน่ๆ เวลาผ่านไปโดยที่ฉันพยายามจัดเวลาให้สวนทางกับเขาตลอด จนถึงวันนี้ วันที่เขาเข้ามาปฏิบัติต่อฉันเสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น...อีกครั้ง อ้อ...เขาคงให้เวลาฉันตามที่ฉันขอไว้ในจดหมายนั่นเอง ...แปดวัน! ตอนแรกที่เห็นเขานั่งลงตรงหน้า(และหายจากอาการสำลักแล้ว) ใจจริงฉันแทบอยากจะจับมือเขาเอาไว้แล้วบอกความในใจอีกสักรอบ ดูสิ คราวนี้จะเชื่อได้หรือยัง แต่มันก็ไม่ใช่แนวฉันเลยสักนิด เอ...หรือเป็นฉันเองที่บ้า ที่ดันไปบอกรักเขาทางจดหมาย เพราะมันก็ไม่ใช่แนวเขาเช่นกัน คงไม่รู้จะตอบยังไง คิดแล้วฉันก็สับสนจนแทบอยากจะเช็คบิลมันเสียเดี๋ยวนี้ ฉันวางช้อนลง เขาคงได้ยิน จึงเงยหน้าขึ้นมอง....โดยที่ฉันหลบสายตาไม่ทัน จำต้องเห็นใบหน้านั้นอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เห็นเสียหลายวัน เฮ้ออออ......ก็ใช่ว่าหัวใจคนเราจะเปลี่ยนแปลงกันได้ง่ายๆ ไม่แคล้ววันนี้ฉันคงต้องผิดคำพูดที่เคยให้ไว้... ขอกินต่อ...เพื่อที่จะได้อยู่กับเขาอีกหน่อยก็แล้วกัน.... He says: ผมเกือบจะเปลี่ยนใจไปร้านอื่นแล้ว ก่อนที่ผมจะเห็น “เธอ” ไม่เสียแรงที่เพียรพยายามวนมากินกลางวันที่ร้านสเต๊กไร้แบรนด์แต่สุดแสนจะมีฝีมือแห่งนี้มันทุกวัน จนท้องไส้แทบจะปั่นป่วนเพราะอาหารไม่ย่อย ผมพยายามอธิบายกับบริกรหนุ่มหน้าเฉยที่มาช่วยรับแขกหน้าร้านเนื่องจากอีกคนที่ทำหน้าที่อยู่เดิมเริ่มจะมีอาการบ้านหมุนเพราะเคลียร์คิวไม่ทัน “เธอรู้จักผมแน่ๆน่า เชื่อสิ” ผมเดินลิ่วนำหน้าไปยังโต๊ะของเธอ โดยมีบริกรหนุ่มคนเดิมตามมาติดๆ ทำท่าจะบอกผมเต็มแก่ว่าก็เห็นเธอมาคนเดียวนี่หว่า จนกระทั่งเห็นเธอทำตาโตสำลักน้ำทันทีที่เห็นผมนั่งลงตรงหน้านั่นล่ะ ถึงได้ยอมเชื่อ “บอกแล้วว่าเธอรู้จักผม” ผมหันไปหัวเราะให้เขา ไม่ใช่เยาะเย้ย แต่กลัวหญิงสาวตรงหน้าจะเขินเพราะหยุดไอโขลกๆไม่ได้มากกว่า บริกรหน้าเฉย เอ่ยถามเธอถึงอะไรสักอย่างที่สั่งไว้ ดูจากสภาพบนโต๊ะมีแค่ถ้วยแก้วทรงสูงที่มีไอศกรีมช็อคโกแล็ตติดก้นก็รู้ว่าเธอกำลังจะกลับ และอะไรที่ว่านั่นก็คงจะเป็นของหวานอีกอย่างที่สั่งใส่กล่องแบบเทคโฮม ผมจึงไม่อาจรอช้ารีบชิงโอกาสขณะที่เธอยังน้ำหูน้ำตาไหล บอกไปว่าให้เปลี่ยนเป็นสั่งกินที่ร้าน และเอาเผื่อผมด้วยอีกชุด รวมทั้งจานหลักที่ถูกเก็บไปก่อนหน้านี้แล้วด้วยอีกจาน พูดจบผมก็ส่งยิ้มไปให้...นึกแล้วไม่ผิด เธอจ้องผมเขม็ง ก่อนไอออกมาอีกชุด “หายไปเลยนะคุณ ไปอยู่ไหนมา ไม่ยักเจอกัน” หากจะบอกต่อว่าคิดถึง ก็รังแต่จะทำให้เธอเหนื่อยเพราะสำลักอีกรอบ พูดจบผมเ ลยได้แต่ยิ้มไว้อย่างนั้น ได้ยินเธอเอ่ยอะไรออกมาเบาๆแต่จับใจความไม่ได้ จนกะทั่งบริกรหนุ่มคนเดิมเวียนกลับมาพร้อมอาหารฉบับรีรัน ประกอบไปด้วยสเต๊กเนื้อจานโตพร้อมเครื่องเคียง และชามะนาว ที่ผมก็นึกไว้แล้วอีกนั่นล่ะ เจ็ดปีที่เป็นเพื่อนกันมา เธอก็ชอบอยู่ไม่กี่อย่าง... “ว้าว คิดไว้แล้วเชียวว่ากินเหมือนคุณต้องไม่ผิดหวัง” ผมกินของคาวของหวานสลับกันไปเรื่อยจนเธอเริ่มงง แต่ยังมีสติพอที่จะเอื้อเฟื้อส่งกระดาษเช็ดปากมาให้ แต่ที่ผิดคาดไปหน่อยคือ อะไรสักอย่างที่เธอสั่งเอาไว้(และผมเองก็ได้ด้วย) คือไอศกรีมช็อคโกแล็ตโปะวิปครีมพูนจนเกือบล้นที่รอบนี้ได้มาสองถ้วย ไม่นับถ้วยเปล่าที่ยังคงวางอยู่ระหว่างเราทั้งคู่ สายตาบริกรที่มองมายังผม สื่อเป็นคำถามได้ว่า อยากจะรับสองถ้วยเหมือนเธอด้วยหรือเปล่า จะได้ไปเอามาเสริฟอีก ท่าจะชอบมากจริงๆ...(แล้วไอศกรีมเทคโฮมนี่มันจะมีหน้าตาเป็นยังไง ผมยังนึกไม่ออก) “วันก่อนคุณสั่งแบบนี้หรือเปล่า” อ่า...ว่าแล้วเชียว ถึงเธอจะพยายามเก็บอาการแค่ไหนก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาคมกริบของผมไปได้ ช้อนในมือเธอกระตุกเพียงเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินคำว่า”วันก่อน” ก็ที่ผมเวียนมาที่นี่ทุกวันก็เพราะไอ้”วันก่อน”นี่ล่ะ ผมยอมรับว่าอึ้งไปไม่น้อย ที่จู่ๆเธอก็ส่งข้อความมาบอกว่า”ฉันชอบคุณ” แต่เธอก็เป็นของเธอแบบนี้ ศิลปินน้อยเสียเมื่อไหร่ และคงไม่มีใครบอกรักกันจริงๆแบบนี้หรอก ด้วยความคิดตื้นๆของผม จึงตอบข้อความเธอไป “ผมก็ชอบคุณเหมือนกัน แหม...เขิลลล” หยอดคำวัยรุ่นไปนิด จะได้ออกแนวศิลปินบ้าง แต่ลึกๆแล้วผมกลับคิดว่า คงจะดีมาก หากเธอคิดชอบผมจริงๆ เพราะที่จริงแล้วผมเองก็ชอบเธอไม่น้อย แต่ที่ผ่านมา ความรู้สึกชอบมักจะอยู่ในขอบเขตของคำว่าเพื่อนเสมอ จนกระทั่งวันก่อน ผมลงมาจากออฟฟิศตอนเที่ยง เห็นเธอยืนจ้องตู้ไปรษณีย์นิ่งๆ มือกำกระดาษสีน้ำตาลเอาไว้ ตอนนั้นผมนึกว่าเธอคงวาดรูปทำโปสการ์ดส่งหาเพื่อนๆเหมือนที่เธอเคยส่งให้ผมเป็นประจำ ยืนรออยู่สักพัก เธอก็ไม่มีทีท่าจะหย่อนอะไรในมือลงไปเสียที สงสัยลืมติดแสตมป์ ผมคิดได้ดังนั้นจึงเดินตรงไปหาเธอเพื่อชวนไปหาอะไรกินด้วยกัน โดยไม่สนว่าเธอจะสะดวกใจแค่ไหนก็ตาม แล้วผมก็ลากเธอมาที่ร้านนี้ล่ะ ผมลืมไปแล้วว่าวันนั้นผมกินอะไร แต่ที่จำได้แน่ๆคือ ทันทีที่เช็คบิล เธอยื่นกระดาษน้ำตาลในมือให้ผม แล้วก็เดินออกนอกร้านไปเลย ผมเหวอไปประมาณสี่วิ ก่อนจะรู้สึกได้ว่ากระดาษในมือมันคืออะไร จดหมายติดแสตมป์รูปทะเลสีฟ้าสด จ่าหน้าซองถึงตัวผมเอง... และที่จำได้แม่นแม้ใครมาบังคับให้ลืมก็ไม่ยอม คือข้อความที่เขียนอยู่ข้างใน เพราะมันทำให้ผมลืมเก็บเงินทอนร้อยกว่าบาทมาด้วยเสียอย่างนั้น โดยสรุปคือ เธอบอกว่าความรู้สึกของเธอมันเป็นของจริง เผื่อว่าผมจะไม่เชื่อ และเหมือนจะให้ความมั่นใจกับผมอีกแน่ะ ว่าไม่ต้องตกใจไป ขอเวลาเธอสักหน่อย แล้วทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม...ทำเท่ห์เสียด้วย เฮ้ย! ได้ไงเล่า ใจจริงตอนแรกที่นั่งลงตรงหน้าเธอ ผมแทบอยากจะจับมือเธอเอาไว้ แล้วตอบจดหมายเธอด้วยคำพูดจากใจ ให้สมกับที่ให้เวลาเธอหนีตั้งแปดวัน แต่พอเห็นอาการตื่นๆของเธอแล้ว ผมก็อดแกล้งเธอไม่ได้ทุกที งั้นผมขออยู่ตรงนี้เพื่อกิน...กับเธอต่ออีกหน่อยก่อนก็แล้วกัน |
ปกติจะไม่ตอบ
Rss Feed ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] มธุ ค่ะ ยังไงดี... รักการอ่าน ฟัง วาด และเขียนค่ะ ตั้งใจจะทำให้บ้านนี้รกรุงรังไปด้วยของรักที่บอกไปค่ะ ยินดีต้อนรับทุกท่านนะคะ Link |